- ประวัติ
|
|
-
ประวัติของท่านที่ท่านได้บันทึกไว้ความว่า
อาตมาภาพชื่อ พระภิกษุชม
อนํคโณ
เกิดปีจอ (พ.ศ.2453)
เดือน 12
ที่บ้านโง้ง
ตำบลโพธิ์งาม
อำเภอประจันตคาม
จังหวัดปราจีนบุรี
บิดาชื่อทองดี
มารดาชื่อเทา
|
|
-
เมื่อเริ่มเขียนเรื่องนี้อายุได้
42 ปี เมื่อเล็กเป็นคนขี้โรค
โบราณท่านว่าโรคกำเนิดคือโรคชัก
เป็นๆหายๆ
จนถึงอายุ 5-6 ปี
จากนั้นเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำอยู่จนอายุ
29-30 ปี
จึงหายขาด
|
|
-
อาตมามีพี่น้องท้องเดียวกัน
6 คน
อาตมาเองเป็นคนที่สอง
พี่ชายคนโตชื่อผิว
น้องชายคนรองชื่อเบ้า-น้องสาวชื่อเฟื้อย
และรองลงมาอีกคนเป็นชายชื่อโพธิ์
ส่วนคนที่หกสุดท้องนั้นตายตั้งแต่ยังเล็ก
อาชีพบิดามารดาคือการทำนา
เมื่ออาตมาอายุได้
15 ปี
มารดาก็ตายจากไป
พี่ชายได้บวชเป็นสามเณร
อาตมาจึงต้องเลี้ยงน้องที่ยังเล็กๆ
อยู่
ได้รับความลำบากมาก
ต้องเลี้ยงน้องและหุงหาอาหารรวมทั้งการทำนา ไถคราด ปักดำ
ในสมัยนั้นยังไม่มีโรงสีต้องตำข้าวด้วยมือ
เวลาจะฝัดหรือกระทายข้าวก็พอใช้น้องสาวช่วยเหลือ
เวลาเขาใจดีก็ทำให้
เวลาเขาไม่อยากทำเขาก็ไม่ยอมช่วย
จะใช้พี่น้องหนุ่มสาวคนใดก็ไม่ได้อย่างใจ
อาตมาทำไม่เป็น วันไหนใช้ให้เขาทำไม่ได้
ข้าวสารจะหุงก็ไม่มี
บางวันนึกถึงความยากลำบากของตน
คิดถึงพี่น้องที่ยังเล็กๆ
อยู่จะหิวโหย
ก็เลยนั่งร้องไห้เสียใจไม่ใยดี
|
|
-
ขณะที่อาตมาอายุได้
16-17 ปี
ระหว่างนั้นเป็นฤดูกาลทำนา
อาตมาก็ลงมือปักดำอยู่คนเดียว
ในวันนั้นมีจิตคิดเป็นกุศลบังเกิดขึ้น
พิจารณาถึงความทุกข์ของมวลมนุษย์และสัตว์ ซึ่งเกิดมาในโลกนี้มีต่างๆ
กัน
บางคนจนมาก
บางคนมั่งมี
บางคนตาบอดหูหนวก บางคนเป็นเจ้าเป็นนายคนด้วยเหตุผลอันใดหนอ
คิดไปพลางมือก็ปักดำนาไปพลาง
พิจารณาหาเหตุผลอยู่ผู้เดียว
จึงมีจิตอันหนึ่งสว่างขึ้น
เห็นบุญและบาปของมนุษย์และสัตว์
ที่ติดตามแต่อดีตกาล
จึงเกิดเป็นทุกข์
จึงคิดได้ว่าผู้ที่ไม่ได้รักษาศีลมาแต่ชาติปางก่อน
จึงได้รับทุกข์เวทนาต่างๆ
ในชาตินี้
เกิดมาในชาตินี้เป็นคนพิการ
คนจนคนยาก
เสวยผลกรรมต่างๆ
นานา
ก็เพราะชาติก่อนไม่ได้รักษาศีลนี้เอง
เรานี้คงไม่ได้รักษาศีลมาแต่ชาติปางก่อน
จึงเกิดมาเป็นคนทุกข์
ถ้าหากเราได้รักษาศีลมาแต่อดีตแล้ว
เราคงไม่ได้เกิดมาเป็นคนทุกข์เช่นนี้
ถ้าหากเรารักษาศีลมา
เราต้องไปเกิดเป็นเจ้าเป็นนาย
เป็นพ่อค้าข้าราชการ
ไม่มาเกิดเป็นคนลำบากเช่นนี้
คิดได้แล้วก็ยืนงงอยู่ผู้เดียว
จะหาทางออกไปรักษาศีลก็ไปไม่ได้เพราะยังไม่มีช่องทาง
ได้แต่ปักดำนาเรื่อยไป
ความคิดก็คิดเรื่อยไป
แล้วจึงพิจารณาเห็นว่า
อันตัวเรานี้เกิดมาอายุก็ได้
16-17 ปีแล้ว มารดาก็ตายจากไปแล้ว
น้องเราซึ่งเกิดมาทีหลังก็ตายไปเสียก่อนอีก
เรามีอายุถึงบัดนี้ก็เป็นบุญของเราแล้ว
พิจารณาหาทางที่จะเข้ารักษาศีล
หากเรารักษาศีลแต่อายุยังน้อย
และเราจะมีอายุยืนเท่าบิดามารดาก็จะรักษาได้มาก
คิดกลับหน้ากลับหลังอยู่ขณะนั้น
ก็มีจิตอันหนึ่งผุดเกิดขึ้นมา
มองเห็นทางว่า
ถ้าหากเราหาแม่น้ามาเป็นภรรยาให้พ่อของเราแล้ว
เราจะได้ตัดภาระไปหลายอย่าง
ซึ่งแม่น้า
จะได้เป็นผู้อุปถัมภ์บิดาและเลี้ยงน้องให้เราด้วย แต่ก็เป็นห่วงว่าแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงนั้น
ไม่ค่อยจะถูกกัน จะเกิดเรื่องเดือดร้อนภายหลัง
แล้วก็คิดต่อไปว่า
ถ้าหากได้แม่หม้ายที่มีลูกติดมาด้วย
ก็จะลำบากมาก
เพราะลูกผัวกับลูกเมียน้อยจะไม่ถูกกัน
ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าควรจะหาผู้ที่เป็นสาวและสูงอายุหน่อยก็คงจะดี
ต่อมาก็ได้เที่ยวเดินเสาะหาแม่เลี้ยงตามตำบลต่างๆ
ตามที่ดำรินั้น
ก็ไปพบนางสาวพรหม
อยู่บ้านค้อ
ตำบลเกาะลอย
อายุ 30
กว่าปี
พอพบแล้วก็มาตามบิดาไปดู
|
|
-
บิดาไปดูแล้วบอกว่าตามใจลูก
อาตมาก็ไปหาพี่น้องผู้มีอาวุโสไปสู่ขอ
ทางฝ่ายผู้หญิงได้รับหมั้นด้วยทองหนักสองบาท กับเงินอีกแปดสิบบาท
ซึ่งก็เป็นจำนวนเงินที่สูงในสมัยนั้น
อาตมาก็ตกลง
เพราะครอบครัวของอาตมาขณะนั้น
ก็เป็นครอบครัวของผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง
ไม่เดือดร้อนและขัดสนแต่ประการใด
พอได้แม่น้ามาอยู่กินกับบิดาเรียบร้อยแล้ว
อาตมารู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก
เพราะเป็นโอกาสอันดี
ที่อาตมาจะได้รักษาศีลอุโบสถกับเขาบ้าง
ต่อเมื่ออายุของอาตมาย่างเข้าปีที่
18 พอถึงเดือน 8
ซึ่งเป็นฤดูพระเข้าพรรษา
อาตมาพร้อมด้วยแม่น้าและบิดา
ได้เข้ารักษาศีลอุโบสถทุกวันทุกคืนตลอดมา
ที่สำนักวัดบ้านโง้ง
บางครั้งอาตมาไปได้เฉพาะวัน
14-15 ค่ำ
ส่วนวันพระ 8
ค่ำนั้นไปได้เฉพาะบางวันเท่านั้น
ทั้งนี้เนื่องจากภาระอุปถัมภ์บิดามารดาและน้องซึ่งยังเยาว์อยู่
วัดบ้านโง้ง
ที่อาตมาไปรักษาศีลครั้งนั้น
เป็นสำนักของคณะธรรมยุตซึ่งตั้งขึ้นใหม่
อาตมาได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์
ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดนั้น
ท่านสอนหนักไปในทางรักษาศีลและเรื่องธรรม
พร้อมทั้งชี้ทางให้ผู้ปฏิบัติรู้ด้วย
ท่านบอกว่าคำภาวนามี
5 ข้อ
คือ
|
|
|
1)
อรหัง
|
|
2)
พุทโธ
|
|
3)
อนิจจัง
|
|
4)
ทุกขัง
|
|
5)
อนัตตา
|
-
ถ้าจะเอาข้อไหนให้เอาข้อนั้น
ไม่ให้ภาวนาปะปนกัน
ให้ภาวนาแต่ละข้อจนให้เกิด
จนให้มี
จนให้เห็นประจักษ์ขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติ
จนรู้แจ้งเห็นจริงในพระธรรม-พระวินัย
อาตมาก็จะเอาคำภาวนาอย่างนั้นมาจนบัดนี้
ท่านเทศนาต่อไปอีกว่าถ้าเห็นรูปให้ภาวนาว่า
อนิจจัง
จนให้หายในรูปนั้น
ถ้าติดอยู่ในเสียงให้ภาวนาว่า
ทุกขัง
จนให้หายในเสียงนั้น
ถ้าเกิดความรักใคร่ให้ภาวนาว่า
อนัตตา
ให้ระลึกนึกถึงความตาย
จนให้หายจากความรักนั้น ท่านอาจารย์ได้กล่าวต่อไปอีกว่า
มนุษย์เรานี้มี
4 จำพวกคือ
|
|
|
1)
มนุษย์
|
|
2)
เปรต
|
|
3)
อสุรกาย
|
|
4)
เดรัจฉาน
|
|
|
-
ท่านได้ชี้แจงว่า
มนุษย์นั้นชอบให้ทาน
รักษาศีล
และฟังธรรม
ส่วนเปรตนั้นมันให้มีความอยากอยู่เรื่อยไป อยากกิน อยากได้
อยากสรรเสริญ อยากไม่รู้จักพอ
อสุรกายนั้นมันให้เจ็บตรงนั้น
มันให้ปวดตรงนี้ เจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย
ส่วนว่าเดรัจฉานนั้น
มันให้ตรงไปตรงมา
บาปก็ไม่ทำ
กรรมก็ไม่สร้าง
เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกามภพ
ไม่หลุดพ้นไปไหน
อาตมายังจำได้
และปฏิบัติมาจนจนถึงทุกวันนี้
ต่อมาเมื่ออาตมามีอายุได้
20 ปี
อาตมาได้ถือมั่นในศีลอุโบสถอย่างเต็มเปี่ยม เกิดอิ่มเอิบ
และปลื้มปิติอย่างแรงกล้าแต่ก็ไม่วาย
ที่จะถูกกิเลสกามคุกคามมากขึ้นทุกที
ความรักเกิดขึ้นในจิตจึงทำให้คิดไปว่า
การรักษาศีลวันหนึ่งคืนหนึ่งนั้นมีภรรยาก็รักษาได้
จึงเป็นเหตุให้อาตมามีภรรยาในปีนั้น
แต่ก็ได้รักษาศีลอุโบสถอยู่เรื่อยมา
ทุกวันพระตลอดพรรษาไม่ได้ขาด
อยู่ต่อมาบิดาพูดขึ้นว่า
เราต้องรักษาคุณพระเสียบ้าง
คือ
คุณพระสมาธิกรรมฐาน เป็นหนทางให้เราเดินตามไป
คุณพระนี้เป็นที่เคารพของเรา
ผู้ปฏิบัติต้องทำพิธีบูชาคุณพระเสียก่อน
จึงจะลงมือทำสมาธิปฏิบัติต่อไป
จึงจะเกิดโอภาส คือ แสงสว่างเห็นรัศมีสีต่างๆ
แล้วเราก็จะเห็นรัศมีของพระอริยสงฆ์
ต่อไปจะได้เห็นรัศมีของพระธรรม
ต่อไปจะได้เห็นรัศมีของพระพุทธเจ้า
ผู้ปฏิบัติที่เป็นคฤหัสถ์ก็ทำได้
เราจะเดินจงกรมก็ได้
เมื่อเราจะไปอยู่ในถ้ำ
หรือในเขาในป่า
หรือตามสถานที่ต่างๆ
ก็ตาม
เราต้องอาศัยคุณพระเป็นผู้ช่วยคุ้มครองรักษา
-
อุปกรณ์และพิธีจะต้องปฏิบัติ ให้ท่านเตรียมข้าวตอก
ดอกไม้ เทียน 5 เล่ม หนักเล่มละ 1 บาท ธูป
5 ดอก บายศรี 5 ชั้น
บายศรีทำเหมือนรูปพระเจดีย์
เพื่อแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
ซึ่งท่านตรัสรู้มาก่อนแล้ว 25 พระองค์
และให้มีพระปฏิมากรณ์อีกรูปหนึ่งแทนพระพุทธเจ้าเราในศาสนานี้
แล้วการเข้าพิธีเรียนต่อไป
ให้นั่งขัดสมาธิขัดตะหมาดเอาเท้าขวาทับเท้าซ้ายตั้งกายให้ตรง
แล้วบริกรรมในใจ (ไม่ให้ลิ้นกระดก)
คำบริกรรมว่า อรหัง
ให้ตลอดไปนานประมาณชั่วจุดธูปดอกหนึ่ง
ในขั้นต้นที่หัดทำนั้น
จะได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหูข้างใดข้างหนึ่งว่า
"อรหัง" 3 ครั้งติด ๆ กัน หนหนึ่งเท่านั้น
แม้แต่เราเรียนได้แล้วก็ตามท่านจะมากระซิบคำบริกรรม
"อรหัง" ข้างหูอีก 3 ครั้งอย่างเดิม
ผู้ถือคุณพระเป็นที่เคารพนั้น
เวลาถึงหน้าเข้าพรรษาก็จัดแต่งเครื่องบูชา
เหมือนที่เราเรียนขั้นต้นทุกพรรษาตลอดไป
หน้าสงกราต์สรงน้ำพระก็ให้จัดพิธีเป็นที่เคารพเสมอทุกปี
จึงจะถือว่าท่านผู้นั้นเป็นผู้เคารพนับถือ
พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์อย่างแท้จริง
เรานับถือเคารพท่าน ท่านก็จะมารักษาเรา
การที่ท่านมารักษาเรานั้น
ผู้ปฏิบัติจะรู้ด้วยตัวเอง
ในเมื่อได้เริ่มปฏิบัติแล้ว
อาตมาได้พบอุปสรรคหลายครั้งแทบเอาชีวิตไม่รอด
จะเล่าให้ฟังในตอนต่อไป
|
|