วิชาสาม

 

               วิชาสามข้อ 1. คือ  บุพเพนิวาสานุสติฌาน ผู้ปฏิบัติฝึกจิตตนเข้าฌานกำหนดชาติของตนเองย้อนหลังไปได้สี่ชาติ ว่าเราได้เกิดปฏิสนธิในร่างสังขารของมนุษย์และสัตว์ เป็นมาอย่างไรเราก็จะรู้จะเห็นในฌานนั้นได้โดยชัดเจนด้วยตนเอง โดยจำเพาะได้สี่ชาติถึงจะเป็นวิชาสามในฌานโลกียธรรมได้แน่นอน ถ้าเราระลึกชาติในฌานไม่รู้ไม่เห็นก็มิใช่ฌานนะท่าน   เราจะไปสอนไปฝึกผู้อื่นไม่ได้ เพราะเป็นธรรมพิเศษของโลกียธรรม  เราต้องรู้ต้องเห็นเสียก่อน

 

               ข้อ 2.  คือ  จุตูปปาตฌาน  ผู้ปฏิบัติฝึกจิตตนเข้าฌานได้แล้ว   จะรู้จะเห็นสัตว์และมนุษย์ จุติปฏิสนธิมาจากที่ไหนไปอยู่ที่ไหน  ภพภูมิใดจะรู้จะเห็นได้ด้วยตนเอง ด้วยอำนาจฌานผู้ปฏิบัติฝึกจิตตนเข้าฌานได้แล้ว  จะรู้เห็นได้ในภพทั้งสามนี้ ผู้ปฏิบัติเข้าถึงวิชาสามในฌานโลกียธรรมนี้ฌานจะเกิดขึ้นชั่วขณะจะเกิดขึ้นเห็นขึ้นในภูมิต่าง    เพราะสัจจะนี้อย่าง 1  จิตตะนี้อย่าง 1  กะตะกำหนดนี้อย่าง 1  ฌานจะบังเกิดขึ้นให้ผู้ปฏิบัติ พิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร  รู้ได้เห็นได้ในภพและภูมิชั่วคราว  ฌานนั้นก็ดับไปเป็นระยะ ๆ   นอกจากฌานไปแล้วก็รู้ไม่ได้เหมือนกันก็เหมือนจิตคนเราธรรมดา ๆ  นี้เอง แต่จิตผู้ปฏิบัติเข้าถึงฌานแล้วรู้ความมืดรู้ความสว่างได้  เข้าสู่ความมืดเข้าสู่ความสว่างได้ ผู้มิได้ปฏิบัติในฌานโลกียะธรรมนี้  ไม่รู้ความมืดความสว่างในฌานนี้แต่อย่างใด แม้แต่เล่าเรียนมาในตำรับตำราแผ่นที่ตามผู้ปฏิบัติท่านเขียนเป็นแนวทาง  ให้ปฏิบัติไปตามให้มันรู้ให้มันสว่าง   เราผู้ปฏิบัติ  จะรู้จะสว่างขึ้นด้วยตนเอง ถ้าเรามิได้ปฏิบัติหรือปฏิบัติแต่ความสว่างในองค์ฌานยังไม่บังเกิดขึ้นแก่ตนแล้ว  เราจะไปนึกเอาคาดคะเนเอา ว่าความสว่างแห่งฌานนั้นเป็นอย่างนั้น  เป็นอย่างนี้  ไม่มีทางจะรู้จะเห็นได้แต่อย่างใด  จะพูดก็ไม่ถูก จะเดาไปตามอาการนั้นก็ไม่ถูก  เพราะมันเป็นเรื่องของจิตโดยจำเพาะ  มิใช่เรื่องของตาแต่อย่างใดนะท่าน ชาย-หญิง อย่าให้เขาอ่านเอาในตำรามาหลอกลวงเรา  พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า  "โนโนครูติ" ท่านอย่าไปถือว่า ภิกษุรูปนั้นรูปนี้เป็น  ครูบาอาจารย์ของท่าน  ให้ท่านถือว่าบุญมีจริง  บาปมีจริง  ให้ท่านปฏิบัติดูเสียก่อน เราจะได้รู้เราจะได้เห็นด้วยตนเองว่าอะไรเป็นอะไร  อะไรเป็นศีลอะไรเป็นเป็นธรรม  อะไรเป็นฌานอะไรเป็นญาณ มันต่างกันหรือเหมือนกัน  เราก็จะได้รู้จะได้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร   เพราะจะได้รู้ด้วยตนเอง จะได้ไม่หลงไปตามบุคคลบัญญัติแต่อย่างใด  ให้เราปฏิบัติเดินไปตามความสว่างของฌานหรือ ของญาณของพระพุทธเจ้าบัญญัติ  อันนี้ไม่ผิดทางสวรรค์พระนิพพานแต่อย่างใดนะท่าน ชาย-หญิง 

 

               ข้อ 3.  คือ  อาสวะคะยาฌาน  เป็นทางรู้แจ้งด้วยความสำนึกรู้ในอาสวะอุปกิเลสทั้งหลายเป็นสิ่งที่ผูกพันจิตใจตนอยู่รู้ในความสำนึก  ได้ในวิชาสาม  เพื่อจะทำอาสวะของตนให้สิ้นไป  ก็พิจารณาในความไม่เที่ยงในธรรมทั้งปวง ฌานก็บังเกิดขึ้นแก่จิตมีความรู้แจ้ง  ในทางละเว้นปราศจากออกจากภพทั้งสาม ปล่อยวางธรรมโลกียธรรมเข้าสู่ทางโลกุตระธรรมด้วยวิชาสาม  ที่เรารู้แจ้งแห่งธรรมทั้งปวงไม่เที่ยงไม่เอาเป็นอารมณ์  ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์  เข้าสู่นิพพานหนึ่งคือ  “นิพพานัง  ปรมัง  สูญญัง”  ละอาสวะตัณหาแล้วเหลือแต่เบญจขันธ์ นี้เป็นทางปฏิบัติอีกสายหนึ่งที่กล่าวมาในทางโลกียธรรม  ที่เข้าสู่โลกุตตระธรรมด้วยวิชาสาม  เพราะว่าวิชาสามนี้มันเป็นฌาน ผู้ปฏิบัติสว่างในฌานโลกียธรรมนี้รู้จักวิญญาณตนและผู้อื่นท่องเที่ยวอยู่ในภพทั้งสามไม่มีทางที่ จะสิ้นสุดลงไปได้อย่างใด  มีแต่ไปจุติตามภูมิต่าง   ด้วยกุศล-อกุศลในการกระทำของแต่ละท่าน ก็วนเวียนปฏิสนธิในร่างสัตว์มนุษย์คนเราบ้าง  ในร่างสัตว์เดรัจฉานใหญ่บ้างเล็กบ้าง ร่างของสัตว์ตายแล้วแต่จิตวิญญาณตัวเราที่ไม่ตายนั้นก็ไป  จุติตามภูมิต่าง  ๆ กันด้วยกุศล-อกุศลในการกระทำด้วยอกุศลจิตของตน  ที่มีรักมีเกลียดนั้นเอง หนักและเบาในการกระทำของตนเอง  ไปจุติตามภูมินรกบ้าง  ภูมิโลกันต์บ้าง  ภูมิพวกหมู่เปรตต่าง ๆ  บ้าง ภูมิรุกขเทวดา  ป่าไม้  ภูเขาคูหาบ้าง ภูมิโอปปาติกะล่องลอยอยู่จะหาที่อยู่อาศัยมิได้ก็มี  บ้างก็ไปจุติตามภูมิสวรรค์ตามแต่ละชั้นบ้าง  ไปจุติภูมิเทพบ้าง  ไปจุติภูมิพรหมโลกบ้าง  ไปจุติภูมิเทวพรหมบ้าง ไปจุติภูมิพรหมสวรรค์บ้าง  ก็ลงมาวนเวียนเข้าร่างสัตว์มนุษย์บ้าง  สัตว์เดรัจฉานบ้าง เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย อยู่เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ผู้ปฏิบัติ  รู้แจ้งเห็นแจ้งในฌานวิชาสามแล้ว ก็พิจารณาเห็นธรรมทั้งหลายนี้ว่าไม่เที่ยงถึงทำจิตวิญญาณของตน ๆ  ที่ท่องเที่ยว  อยู่ในภพทั้งสามนี้ ให้ออกจากอาสวะทั้งหลายแห่งฌานทั้งปวงให้สิ้นจากจิตวิญญาณของตน  ให้พ้นไปจากธรรมทั้งปวงที่เรา กำหนดอยู่เพ่งเล็งอยู่ในรูปและนามนั้น ๆ  ไม่มีแก่เราจิตวิญญาณก็ตรงไปทางหนึ่งไม่มีสองยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์แห่งเดียว  นี่เป็นทางฌานวิชาสามสำหรับผู้ปฏิบัติในคุณธรรมพิเศษ  จะต้องมีปัญญาถึงจะออกจาก  ธรรมพิเศษนี้ได้นะท่านชาย-หญิง ฯ

 

               วิชาสามนี้เป็นทางปฏิบัติสุดท้ายของโลกียธรรม  เป็นธรรมพิเศษอิทธิฤทธิ์ในภพทั้งสามของมนุษย์ที่ วนเวียนเกิดหลงอยู่อย่างทุก ๆ  วันนี้  เพราะผู้ปฏิบัติยังไม่เข้าถึงวิชาสามนั้นเอง ถึงลังเลสงสัยกันอยู่ในธรรมทั้งปวง  ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรไปได้ฯ

 

               วิชาจะระณะนี้  เป็นวิชาทางปฏิบัติสมาธิปัญญา เป็นทางสายโลกุตตระธรรมเป็นวิชาความสว่างของญาณความหยั่งรู้  อวิชชาตัณหาโลภโกรธหลงอุปทานทั้งปวง ญาณนี้ให้เกิดปัญญารู้แจ้งในทางผู้ปฏิบัติพิจารณารู้ซึ้งโลกรู้ซึ้งธรรมได้ในความสว่างแห่งปัญญา  รู้ทางตรัสรู้ตามพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่ท่านได้ทรงบัญญัติธรรมในธรรม  มีอยู่สองหลักด้วยกันคือ พระตรัยลักษณ์ 1 อัตตา1

 

               พระตรัยลักษณ์   เหตุคือสังขารธาตุร่างกายของสัตว์มนุษย์ชาย-หญิงนี้เอง  อนิจจังสังขารไม่เที่ยง  ทุกขัง  สังขารเป็นทุกข์  อนัตตาสังขารตายแตกดับมิใช่ตัวตนบุคคลเราเขาแต่อย่างใด อนัตตาคือ  ความตายดับสูญไปของสังขารนั้นเอง  มิใช่ตัวตนบุคคลเราเขา  อนัตตาแปลย่อ ๆ  ว่า   ตายสูญนั้นเอง  อัตตาแปลย่อ ๆ  ว่าตนเป็นสิ่ง  ไม่ตาย คือจิตที่มาปฏิสนธิอยู่ในสังขารร่างกายของมนุษย์และสัตว์นั้นเอง  “อัตตาหิ อัตตะโนนาโถ”  ตนของตนเป็นที่พึ่งของตน  แปลรวมว่าจิตใจ  เราท่านนั้นเองที่เป็นตัวตนบุคคลเราเขา  ก็คือจิตใจนั้นเองเป็นเราเป็นเขา  เพราะว่าจิตใจเป็นสิ่งไม่ตาย  ถึงได้เป็นเราเขาพูดรู้เรื่องกันก็เพราะจิตใจนั้นเอง  ตนของตนเป็นที่พึ่งของตนก็คือจิตพึ่งใจนั้นเอง  จิตใจนั้นแหละเป็นตัวตนของท่านชาย-หญิง เป็นสิ่งไม่ตายไม่สูญ ที่ไป  สู่นรก-สวรรค์-นิพพาน  ก็คือจิตใจนั้นเองเป็นรูปเป็นนามตาม  ภพภูมิต่าง    ก็คือจิตกับใจนั้นเอง  ตนของตนเป็นที่พึ่งของตนก็คือ  จิตพึ่งลมหายใจเข้า-ออกที่จมูกเราท่านนั้นเอง ถ้าใจดีจิตก็ดีตาม  ถ้าใจชั่วจิตก็ชั่วตาม  ถ้าใจร้อนจิตก็ร้อนตาม  ถ้าใจสงบจิตก็สงบตาม ถึงได้เรียกว่าตนของตนเป็นที่พึ่งของตน  เพราะจิตเป็นไฟใจเป็นลม  สัมผัสอยู่ด้วยกันถึงเป็นตัวตนเราเขาให้จำไว้ ให้รู้ให้เห็นตัวตนกันบ้าง พระพุทธเจ้าท่านถึงให้ศีลเป็นสิกขาบทเพื่อให้ละเว้นทางใจให้เป็นสมาธิไว้ให้ถือใจมั่น ให้ปัญญาไว้ให้รู้ เท่าทันสังขารตนและผู้อื่นว่ามิใช่ตัวตนบุคคลเราเขานะท่าน ท่านให้พิจารณาดูตนของตนให้รู้แจ่มแจ้งว่าอะไรเป็นอะไร  ให้รู้ได้ให้ชัดเจนว่าตัวตนเราเขานี้เป็นสิ่งไม่ตายไม่สูญ ให้มันรู้ให้มันเห็น ด้วยตนของตนเองถึงหาทางกิเลสตัณหาอาสวะ  ให้ออกจากตัวเราคือ จิตใจเพื่อจะเข้าสู่พระนิพพานต่อไป  ถ้าเราไม่รู้ตัวตนของเราแล้ว  เราจะไปหาทางไปสวรรค์-นิพพานกันไปทำไม  ถ้าท่านไปถือว่าสังขารร่างกายชาย-หญิงที่เป็นสัตว์มนุษย์อยู่ทุกวันนี้  ว่าเป็นตัวตนเราเขาอยู่ ท่านจะปฏิบัติไปสวรรค์-นิพพานได้อย่างไรกันเล่า  การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานอันใดใดก็ดี  ท่านให้ดูตัวตนของตนเอง  ให้ดูจิตใจนั้นแหละที่เป็นตัวเรา  เรียกว่า “อัตตาหิ”  ด้วยความเต็มใจแห่งจิต  อัตตะโน นาโถ ท่านเอาอะไรเป็นที่พึ่งของตน  พระพุทธเจ้าท่านให้เอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่อาศัย  เอาจิตคือตัวเรา ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์  ปล่อยวางสิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งไม่เที่ยง  ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงได้อ่านได้ฟังแล้วคงรู้แจ้ง รู้ตนของตนเองว่าอะไรเป็นเราเป็นเขา  สิ่งไม่ตายนั้นแหละเป็นตัวเราให้จำไว้ จิตใจของมนุษย์และสัตว์นั้นแหละไม่ตาย เราอยากจะรู้เราเขาอย่างแท้จริงแล้วให้พิจารณาดูลมหายใจเข้า-ออกนั้นเป็นตัวตนของท่านอย่างแท้จริง ถ้าลมหายใจ ออกจากร่างสังขารสัตว์และมนุษย์เมื่อไหร่เวลาใด สังขารร่างกายมนุษย์นี้ก็จะเป็นซากศพเหมือนขอนไม้อยู่ในป่าช้านั้นเอง ตนตัวเราเขาที่ผู้ปฏิบัติจะจับดูตนของตนนั้น  ก็จะดูได้ทางนิมิตที่นอนฝันออกไปจากร่างคราบเราหลับอยู่  รูปเราเขาที่ออกเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ  นี้อย่างหนึ่ง ๆ

 

               อีกอย่างหนึ่งเป็นนิมิตในทางปฏิบัติ ที่ได้นิมิตรูปฌานเกิดแก่ผู้ปฏิบัติแล้วจะรู้จะเห็นตัวตนของตนเอง   จะรู้จะเห็นว่าตัวตนบุคคลเราเขาอันเป็นสิ่งไม่ตายนี้ว่าเป็นความจริงตามพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้  ในคำว่าเราท่านมาสู่โลกกามภพมาปฏิสนธิในท้องมารดามนุษย์และสัตว์ตามร่างกายต่าง ๆ  ผู้ปฏิบัติละสักกายะทิฐิได้แล้ว  ก็จะรู้จะเห็นตัวตนรูปของตนได้ว่าเราไม่ตาย ความตายนี้ไม่มีแก่เรา  ความตายมีอยู่ที่ธาตุสังขารร่างกายของมนุษย์ และสัตว์เท่านั้นธรรมเหล่านี้ผู้ปฏิบัติหวังเข้าสู่สวรรค์-พระนิพพาน  สมควรประพฤติปฏิบัติให้รู้ให้เห็นด้วยตนเอง  การที่จำแนกเป็นหลักไว้ให้อ่านให้ปฏิบัติดูด้วยตนเองเท่านั้น เพราะท่าได้ปฏิบัติมาตามพระพุทธเจ้าบัญญัติเป็นความจริงทุก ๆ   อย่างนะถึงได้มาจำแนกไว้ที่นี้เพื่อผู้สนใจจะได้ประพฤติปฏิบัติไปตามแนวทางนี้ให้รู้ให้เห็นต่อไป การประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าบัญญัตินี้ ต้องมีสติน้อมนึกได้ว่าจะประพฤติปฏิบัติเพื่อความละเว้นออกจากกองทุกข์ เพื่อบำเพ็ญเพียรบารมีเพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์  เพื่อเข้าสู่พระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพานในอนาคตกาล  ต่อไปเท่านั้น ถึงจะถูกในทางปฏิบัติโดยปลอดภัยนะท่านชาย-หญิง  ถ้าท่านเหล่าใดมีจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูงแล้ว ต้องมีมิจฉาสมาธิเป็นมูล  มูลนั้นแหละจะให้เกิดวิปริตวิปลาสเกิดขึ้นทางหูทางตามทางใจได้ เพราะความนึกคิดของตนที่เป็นผู้แสวงหาธรรมอันยิ่ง ๆ  เพื่อให้ตนดีกว่าเขา  จะเอาชนะเขาด้วยทางปฏิบัติ เลยถูกตัณหาพญามาร-กิเลสสามานย์ที่มีอยู่ในตนก็จะมาแสดงให้เกิดเป็นนิมิตต่าง ๆ  เป็นรูปเป็นนามได้เหมือนกับมากระทำจิตใจตน  ให้เกิดธรรมด้วยสัญญาอุปาทานโลภโกรธหลงของตน คือความอยากของตนที่แสวงหาดวงธรรมอันยิ่ง ๆ  นั้นเอง  เพราะตัณหาทั้งหลายที่มีอยู่ในตนทุก ๆ  คนไป เพราะตัณหาเขาเป็นพี่เลี้ยงของจิตใจมนุษย์และสัตว์อยู่แล้ว  ไม่ว่าท่านชายและท่านหญิง ตัณหานี้เป็นสภาวะอยู่แล้วเขากระทำผู้ปฏิบัติเป็นไปตามความนึกคิดตามมูลของตนให้เกิดให้เห็นขึ้น  เป็นดวงเป็นสีต่าง ๆ  เป็นความสว่างด้วยดวงตาของเป็นรูปพระเป็นรูปเจ้า  เป็นรูปอินทร์เป็นรูปพรหม  รูปต่าง ๆ  สารพัดพรรณนาไม่ไหว  ขอแต่ผู้ปฏิบัติจะพิสูจน์ด้วยตนเองว่าเราจะต้องการอะไรอยู่นั้นมันเป็นทาง ตัณหาหรือทางธรรมต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง  เพราะตัณหาเขารู้ธรรมจนจบแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เหมือนกัน  แต่ตัณหาไม่รู้ความละเว้นปราศจากส่งคืนแต่อย่างใด  ตัณหารู้แต่การสะสมให้ได้มาก ๆ  ให้ดีมาก ๆ  ให้สุขมาก ๆ  ให้เพลิดเพลินมาก ๆ  เท่านั้นก็พอ  ทางสายนี้เป็นตัณหานะท่านชาย-หญิง  เราอยากจะรู้ตัณหานั้น เราอย่าไปดู  ผู้อื่นที่นอกกายเรา  ถ้าเราดูผู้นั้นไม่รักก็ต้องเกลียด  พอใจตนบ้างไม่พอใจตนบ้าง เราจะไปถือว่าผู้อื่นเป็นตัณหาให้เกิดแก่เรา  ดั่งนี้ไม่ถูกนะท่านตัณหามีอยู่ที่เรานี้เอง เรารู้ตัณหานั้นเราให้พิจารณาดูในความนึกคิดของตนนั้นแหละ  จะรู้ได้ดีว่าอะไรเป็นอะไร  ให้ดูที่ทุกข์ที่สุข ที่ไม่ทุกข์ที่ไม่สุขนั้นว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง ฯ

               ทางนิพพานสองนั้น  ผู้ปฏิบัติต้องให้ละเว้นปล่อยวางความรู้ธรรมะวินัยศีลสิกขาบท ในการเล่าเรียนเป็นสิ่งที่จำได้หมายรู้อุปทาน  สมาธิกรรมฐานวิปัสสนาธรรมเหล่าใดใดก็ดี สำหรับของโลกภพทั้งสามนี้ทั้งหมด  กะสิณนิมิตสาม-รูปฌานสี่-อรูปฌานสี่-วิชาสาม  ธรรมเหล่านี้ต้องปล่อยวาง เพราะว่าธรรมเหล่านี้เป็นธรรมประจำภพทั้งสาม  สำหรับผู้ท่องเที่ยวเกิดตายอยู่ในภพทั้งสามนี้ ธรรมเหล่านี้ทั้งปวงต้องทิ้งไว้ในภพนี้  เอาไปไม่ได้  ถ้าท่านเหล่าใดติดอยู่ในธรรม ที่กล่าวมานี้ไม่มีทางจะเข้าสู่พระนิพพานได้แต่อย่างใด  ผู้แสวงหาธรรมหาศีลที่กล่าวมานี้อยู่  จะหาทางจะสิ้นสุดลงมิได้  ท่านผู้นั้นจะต้องวนเวียนท่องเที่ยวเกิดตายอยู่อีกเป็นกัป ๆ นะท่าน เพราะธรรมทั้งหลายเหล่านี้ไม่เที่ยง  ผู้ปฏิบัติชาย-หญิง  ต้องปล่อยวางธรรมเหล่านี้ ทำพระนิพพานให้แจ้งนะท่านชาย-หญิง  ท่านเรียกว่านิพพานสอง  เป็นทางข้ามโอฆะสงสารปราศจากทุกข์ ทั้งปวงไม่มีอีกแล้ว  จบทางปฏิบัติ  ไม่มีอีกแล้ว

 

               สิ่งหนึ่งที่บังเกิดขึ้นแก่มนุษย์ชาย-หญิงไม่ว่าเด็กหรือชรา  โดยปกติหรือไม่ปกติ หรือเป็นไข้หรือนอน  จวน ๆ  จะหลับหรือเคลิบเคลิ้มไปในเวลาทำจิตปฏิบัติสมาธิกรรมฐานที่นิ่ง ๆ  อยู่ด้วยภาวนาอยู่ในคำบริกรรมคาถาเวทมนต์ต่าง ๆ  เพื่อให้จิตสงบหรือครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ดี  หรือผู้ประสาทอ่อนก็ดี  มักจะเกิดขึ้นได้เป็นภาพนานาชนิด  บางท่านก็ตกใจ  บางท่านก็ดีใจว่าเราได้ดวงธรรม ว่าเราเห็นดวงธรรมว่าธรรมเกิดกับเราแล้วดังนี้ก็มี  เพราะตนไม่รู้เท่าทัน “”อาสุ”  เกิดแก่ตนเนื่องจากจักษุตาของท่านนั้นเอง  มันเกิดขึ้นไม่มีประโยชน์นะท่านชาย-หญิง มิใช่นิมิต  มิใช่กะสิณ มิใช่รูปฌานสี่-อรูปฌานสี่  มิใช่อสุภะกรรมฐานแต่อย่างใดนะท่าน  มันเป็นอาสุ  ภาพเกิดนั้นมิได้นึกคิดแต่อย่างใด ก็มีบางท่านรู้ไม่เท่าทันก็ตกใจกลัวทำให้เสียจิตไปก็มีได้ ถ้าท่านเหล่าใดเกิด “อาสุ” ภาพที่กล่าวมานี้ต้องให้ผู้ที่ท่านเคยรู้เคยเห็นผ่านมาแล้วในทางปฏิบัติ หรือผู้มีสติยับยั้งพิจารณาไม่เอามาเป็นอารมณ์ให้เกิดอุปาทานว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวไปต่าง ๆ   ตามคำพูดของตนทำให้ผู้อื่นเสียขวัญไปก็ได้  เพราะมนุษย์คนเรามีสิ่งหลอกหลอนอยู่ออกมากมาย เพราะมนุษย์ชายหญิงอยู่ในตัณหา  มีตัณหาอยู่นั้นเองถึงได้เกิดสิ่งต่าง ๆ  ขึ้นตามอาสุ ภาพต่าง ๆ  ทำให้ดีใจเกินไปก็มีทำให้เสียใจเกินไปก็มี  เพราะอาสุ ภาพหลอกหลอน  นั้นเอง  ทำให้จิตใจฝั่นเฟือนไป  เห็นทางตาบ้าง ได้ยินทางหูบ้าง ทำให้วิปริตวิปลาสคิดอะไรผิด ๆ  พลาด ๆ  งม ๆ  งาย ๆ  กลัวบ้างกล้าบ้าง เหมือนคนเป็นโรคประสาทไปก็ได้  เพราะอาสุเป็นภาพปรากฏขึ้นมาให้เห็น  ถ้าเราไปสนใจในภาพที่กล่าวมานี้ ก็จะกลายเป็นประสาทหลอนไป  จะนึกคิดอย่างไรก็จะปรากฏขึ้นแก่ผู้ที่มีอุปาทานเสมอ ๆ  ไป ถ้าจะให้หายต้องเอารูปพระ  ให้ดูจนติดตาแล้วให้ภาวนาคำว่า  “พุทธังสะระณังคัจฉามิ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ  สังฆังสะระณังคัจฉามิ”  ว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเราว่าไปจนให้ติดใจ  แล้วภาพต่าง ๆ  ก็จะหาย ๆ  ไป สติจะดีขึ้นเป็นปกติประสาทจะหายไป

 

               ส่วนกรมฐานห้าอสุภะสิบนั้น  ผู้ปฏิบัติให้พิจารณาตั้งแต่เกศา  (ผม) ลงไปในสมาธิกรรมฐานจนเกิดปัญญาญาณสว่างเกิดขึ้นแก่จิตใจของผู้ปฏิบัติที่จะละออกจากกามตัณหาสาม  ญาณ ความหยั่งรู้ก็จะเกิดขึ้นแก่ตนเห็นเป็นของสกปรกโสโครกเป็นที่น่าสยดสยองไม่กล้าจะแตะต้องได้ มีความคลายจากความกำหนัดแห่งชาย-หญิง  จิตดิ่งเข้าทางพระนิพพานหนึ่งไม่มีสองต่อไปอีกแล้ว ดังนี้ถึงจะเป็นอสุภะโดยแท้นะท่านชาย-หญิง  อสุภะสิบมิใช่นิมิตนะท่าน  จำแนกแนวทางปฏิบัติกรรมฐานไว้โดยย่อ ๆ   ให้ผู้ปฏิบัติที่จะละออกจากกองทุกข์ให้พิจารณาด้วยตนเองต่อ ๆ ไป

 

( ภิกษุอนํคโณ ( ชม ) สำนักสงฆ์เขานันทาพาสุภาพ.)

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:00:58

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom