วิญญาณสัมปันโน

 

               "ความนึกคิดคิดรู้สึกทางจิตใจของท่านชาย-หญิงนานาประการคือ วิญญาณนั้นแล" ต่อนี้ไปเป็นเรื่องของวิญญาณ เพราะว่าปวงชาวมนุษย์สนใจกันเป็นส่วนมากในทางวิญญาณ แต่ไม่รู้ซึ้งถึงวิญญาณตนและผู้อื่นที่มีอยู่ในตน ถึงเป็นผู้หลงอยู่ในสิ่งที่ตายว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขาอยู่ทุกคืนวัน ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกันเลยหนอ ผู้รู้ในวิญญาณที่ประจำตนของตนมีอยู่ ไม่รู้กระทั่งตนเองว่าอะไร สังขารร่างกายชาย-หญิงมีแต่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ที่รวบรวมกันอยู่เป็นรูปร่างชาย-หญิงเท่านั้น ธาตุเหล่านี้เคลื่อนไหวไปมามิได้-ถ้าไม่มีวิญญาณ ธาตุรูปนี้มีเจ้าของอยู่ภายในถึงได้เคลื่อนไหวไปมาได้ เราจะรู้ได้ชัดคือเสียงที่พูดออกมาให้เราได้ยินนั่นเอง ผู้ไม่รู้ก็ถือว่าแต่ร่างกายชาย-หญิงเป็นตัวพูดเลยหลงรักหลงเกลียดกันว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ไม่รู้กระทั่งน้ำ ดิน ลม ไฟ ว่าเป็นอะไรโดยโง่เขลา ผู้รู้แจ้งถึงได้รู้ชั้นวิญญาณว่าเป็นเจ้าของ ๆ สังขารร่างกายรูปธาตุชาย-หญิง ผู้ไม่รู้ก็ไปเหมาเอารูปธาตุว่าเป็นตัวบุคคลเราเขา เลยหลงรักสังขารที่ตายแตกดับ สิ่งที่ไม่ตายทำไมไม่รู้กันบ้างฯ

 

               ธรรมเหล่านี้จะรู้แจ้งในมรณะนุสสติ ถึงจะรู้ในธรรมอันไม่ตายคือวิญญาณของท่านชาย-หญิง ที่มีมาประจำธาตุร่างกายภายในร่างนั้นเอง ที่พูด ที่นึก ที่คิด ที่สัมผัสถูกต้องที่รู้สึกที่หัวเราะที่ร้องไห้ ที่เคลื่อนไหวไปมาพาสังขารชาย-หญิงกระทำบาปบ้างบุญบ้างเพราะว่าวิญญาณเป็นธรรมอัน ไม่ตายนะท่านชาย-หญิง ท่านอย่าไปหลงในทางอันโง่ ๆ ไปรักเอาสิ่งที่ตาย สิ่งที่ไม่ตายทำไมไม่รักกันบ้าง ท่านเหล่าใดถือว่าตายสูญในธรรมเหล่านี้คือตัณหาพานึกพาคิด พาพูดออกมาเพราะเป็นผู้บ้ากาม ต้องถูกตัณหาลงโทษจนถึงวันสังขารของตนแตกดับ เพราะท่านเหล่านี้หลงอยู่ในสิ่งที่ว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขานั้นเอง ผู้ท่านอยากจะรู้วิญญาณให้ท่านพิจารณาธรรมนอกเสียก่อน ให้มันรู้โดยชัดเจนเสียก่อน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าให้หมู่ท่านรู้ธรรมนอกด้วยรู้ธรรมในด้วยรู้ธรรมในธรรมด้วย เพราะว่าวิญญาณชาย-หญิงมันเป็นธรรมใน มันเป็นธรรมอันไม่ตายให้จำไว้มีประจำอยู่ทุกตัวคน ไม่ว่าท่านชายและท่านหญิงอันเป็นสิ่งไม่ตายคือวิญญาณนั้นแล ผู้โง่เขลาอยู่อาตมาภาพจะชี้ทางธรรมนอกนี้ให้ดูให้พิจารณาต่อ ๆ ไปเครื่องบินเหาะขึ้นไปบนฟ้าอยู่ทุกวันนี้มีมนุษย์คนเราขับเครื่องขึ้นไปหรือเปล่า หรือไปแต่เครื่องโดยลำพังเครื่องเอง  ถ้าท่านชาย-หญิงใดรู้ว่าคนขับเครื่องไป คนอยู่ภายในเครื่อง ๆ ถึงได้ไปเช่นนี้ ท่านรู้คนขับเครื่องไปเครื่องถึงได้ไป ท่านเหล่านี้ให้พิจารณาธรรมในต่อ ๆ ไป ก็จะรู้ว่ามนุษย์และสัตว์มีวิญญาณประจำอยู่ในร่างกายของตนอยู่ถึงได้รู้ว่าวิญญาณพูดออกมา เพราะว่าวิญญาณเป็นเจ้าของร่างกายของตนมีอยู่ถึงได้รู้ภาษากันในเรื่องต่าง ๆ นานา เป็นหน้าที่วิญญาณทั้งสิ้น อาตมาจำแนกธรรมไว้เพื่อท่านชาย-หญิงพิจารณาให้รู้เท่าทันสังขารตนและผู้อื่นกันบ้าง อย่าไปหลงตามสังขารอันที่ตายดับสิ่งที่ทนอยู่มิได้ เพราะสังขารแต่ละท่านชาย-หญิงต้องตายแตกดับสูญไปทั้งนั้น ผู้ไม่รู้ซึ้งถึงวิญญาณของตนก็ถือว่าตายแล้วดับสูญไปไม่มีอันใดเหลืออยู่ เพราะตนไม่รู้ตนของตนนั้นเองว่ามีวิญญาณครองอยู่ภายในหรือไม่ วิญญาณก็คือความนึกคิดอยู่ในจิตใจของท่านชาย-หญิงอีกต่อหนึ่ง วิญญาณอาศัยสัมพันธ์กันอยู่กับจิตนั้นเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ภูตรูป-อภูตรูป ภูตรูปก็คือรปูตัณหาที่ดิ้นรนนั้นเอง อภูตรูปก็คือรูปวิญญาณของท่านชาย-หญิงนั้นเอง  ท่านชาย-หญิงทำไมไม่พิจารณาให้รู้แจ้งกันเสียบ้าง มันถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาปอย่างแท้จริงเพราะท่านไม่รู้ซึ้งถึงวิญญาณของตนนั้นเอง ถึงได้ถกเถียงกันอยู่ทุกวันนี้ วิญญาณเป็นสิ่งอันไม่ตายนะท่านวิญญาณอาศัยสังขารกระจายเสียงออกมา ให้สัตว์มนุษย์รู้เรื่องในสิ่งนั้น ๆ ในกามภพโลกมนุษย์เราท่านถึงได้ยินรู้ภาษากัน เพราะอาศัยร่างสังขารธาตุ 6 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ที่ประชุมรวมกันอยู่เป็นร่างสังขารชาย-หญิงที่เราท่านเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ รูปร่างสวยหรือไม่สวย ขาวหรือดำอันนี้เป็นกรรมปรุงแต่งแต่ละท่าน ในการกระทำของแต่ละท่าน ส่วนวิญญาณแห่งจิตมิได้ปรุง วิญญาณเป็นแต่เพียงรับรู้ในสิ่งต่าง ๆ เท่านั้นฯ

 

               เมื่อท่านชาย-หญิงทำดีหรือทำชั่วนั้น วิญญาณของท่านจะรับเอาไปในการกระทำ ของท่านนั้นเอง การกระทำมีอยู่สองอย่างด้วยกัน สิ่งที่เป็นตัณหาก็มี สิ่งไม่เป็นตัณหาก็มี สิ่งไม่เป็นตัณหานั้นมีดังต่อไปนี้ สิ่งที่เสียสละด้วยทรัพย์ก็ดี ด้วยทางกาย ทางวาจา ทางใจก็ดี มิใช่ทางตัณหาดอกท่านชาย-หญิง สิ่งที่สะสมด้วยทรัพย์ก็ดี ด้วยทางกาย ทางวาจา ทางใจก็ดี เป็นทางตัณหาทั้งสิ้นนะท่านชาย-หญิง ความเสียสละได้แก่การปล่อยวางนั้นเอง ความสะสมได้แก่การผูกพันอยู่นั้นเอง การผูกพันนึกคิดที่หลงอยู่ในสังขารตนและผู้อื่นนั้นเป็นตัณหานำพาให้จิตนั้นนึกคิดไปตามสิ่งนั้น ๆ บางคราวขาดจากสติพลั้งเผลอพูดออกมาหลงไปตามตัณหาโดยความมืด ๆ ของตนว่าขอให้เราได้สิ่งชอบใจของเราก็แล้วกัน หรือคิดโดยโง่ ๆ ว่าให้เราร่ำรวยก็แล้วกัน บางครั้งบางคราวนึกคิดเศร้าใจหาทางไปมิได้ เลยพูดออกมาว่าคนเราเกิดหนเดียวตายหนเดียวเท่านั้น เมื่อเราตายไปแล้วมันจะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะอย่างนี้ก็ดี ดูก่อนท่านชายและท่านหญิง ขอให้ท่านยุตินึกคิดอย่างนั้นเสียก่อนให้พิจารณาเสียก่อนอย่าพึ่งร้อนใจไปเลย ความนึกคิด ท่านนั้น มันเป็นอวิชชา ตัณหาความมืด มันทำให้ท่านชาย-หญิงเข้าใจผิดบางท่านก็เลยเข้าใจผิดไปเลยฆ่าสังขารของตน และผู้อื่นให้ตายไปเสียก็มากมาย ท่านหลงผิดไปว่าตายไปแล้วคงสบายดี ความคิดเช่นนี้เป็นผู้เข้าใจผิด เพราะว่าจิตใจมิได้ตายดังสังขารนะ ท่านชาย-หญิง เมื่อจิตใจเกิดเป็นทุกข์ สังขารมิได้เป็นทุกข์ดังจิตใจดอกท่านชาย-หญิง กายสังขารเขามีเวทนาอยู่ในตัวของเขาเอง จะมีเวทนามากน้อยนั้นก็ตามแต่กายสังขารของท่านเหล่านั้น ความทุกข์ของกายสังขารของมนุษย์และสัตว์นี้ไปถึงแค่ตายแตกดับสิ้นไฟสิ้นลมหายใจไปแล้ว สังขารก็เป็นสุขไม่ต้องฆ่าเขาดอก เขาก็ต้องตายของเขาเองไม่ช้าก็เร็วนะท่านชาย-หญิง ส่วนจิตใจของมนุษย์และสัตว์ชาย-หญิงนั้น เมื่อนึกคิดเศร้าโคกกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่นั้นมัน ไม่หายไปได้ดอกท่าน สิ่งนึกคิดเหล่านั้นจิตใจเป็นผู้หุ้มห่อติดตามไปทุกชั้นทุกภูมิจะไปจุติอยู่ที่ใดก็ตาม ความทุกข์นั้นก็จะติดอยู่นั้นเอง จิตใจของท่านมาปฏิสนธิเกิดมาเป็นมนุษย์และสัตว์อีกก็ตามความทุกข์นั้น ก็จะติดตามมาอยู่นั้นเอง เพราะจิตใจเป็นธรรมอันไม่ตายนะท่านชาย-หญิง เพราะจิตใจเป็นนาม-เจตสิกเป็นรูป ความสว่างเบิกบานแจ่มแจ้งเป็นพระนิพพานนะท่านชาย-หญิง (สิ่งที่รู้สิ่งที่เห็นคือวิญญาณนั้นแล)

 

               จิตใจก็ดี เจตสิกก็ดี รูปก็ดี ความสว่างเบิกบานแจ่มแจ้งก็ดีมิใช่ตัวตนเป็นสภาวะธรรมชาติ มีประจำธรรมชาติ จุติปฏิสนธิอยู่ในกายเวทนาของมนุษย์และสัตว์ พูดได้ร้องได้นึกคิดได้ ที่มีอยู่ในกายสังขารของท่านชาย-หญิง ธรรมชาติมิใช่ตัวตน สิ่งอันใดเป็นรูปวัตถุเป็นนามนั้น ๆ มิใช่เป็นสิ่งถาวรไปได้ เป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นสิ่งประกอบทุกข์ สิ่งไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นเวทนา เวทนานั้นมิใช่ตัวตนเป็นเหตุให้เกิดเป็นสิ่งประกอบทุกข์ ความนึกคิดนานาประการ ทางโลกก็ตามทางธรรมก็ตาม เป็นรูปก็ตามเป็นนามก็ตาม ล้วนแต่เป็นเหตุด้วยกันทั้งนั้น ถ้าท่านชาย-หญิงเล่าใดถือว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขาอยู่ท่านเหล่านั้นต้องเกิดความ เศร้าโศกโทมนัสรำพึงรำพันให้เกิดเป็นทุกข์ในสิ่งเหล่านั้น ติดพันในสิ่งเหล่านั้น แปลว่าเป็นยังไม่มีปัญญาเป็นสิ่งรู้เท่าทันในสิ่งนั้น ๆ เพราะว่าท่านทั้งหลายถือเอาสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นตัวตนเป็นที่รักเป็นที่รังเกียจของตนอยู่ ถึงได้เกิดอุปาทานเศร้าโศกแก่ท่านเหล่านั้น เพราะท่านเหล่านั้นยังไม่รู้แจ้งในพระไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่ประจำอยู่ในสังขารของท่านชาย-หญิงมีอยู่ทุกคนว่าแต่ท่านจะรู้ในสิ่งเหล่านั้นหรือไม่เท่านั้น อนึ่งผู้ปฏิบัติชาย-หญิงอย่าเข้าใจผิด คิดผิด นึกผิดก็แล้วกัน บางท่านก็สงสัยลังเลอยู่ก็มี บ้างก็มืดมิดไปเสียเลยก็มี สองท่านนี้พูดหรืออบรมสั่งสอนในทางกรรมฐานก็ดี วิปัสสนาสมาธิอันใดใดก็ดีในทางโลกุตตระธรรมแก่ภิกษุ สามเณร ชี พราหมณ์ อุบาสก  อุบาสิกาเหล่าใดก็ต้องผิดทาง  เพราะตนยังไม่สว่างแห่งทางของจิตเจตสิก รูป นิพพาน ก็จะถือว่าพระนิพพานไม่มีอะไรฯ

 

               ผู้ปฏิบัติยังไม่แจ้งก็จะเกิดวิตกวิจารณ์ เลยไม่เอาเรื่องเอาราวไปเสียเลยก็มี หาว่านิพพานเป็นของสูญเปล่าไม่มีความหมายตายแล้วก็สูญไปไม่มีอะไรเหลืออยู่ ความคิดเช่นนี้แหละจะพาให้ผู้ปฏิบัติเห็นผิดไปในทางปฏิบัติในทาง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปทั้งหมด นี่แหละผู้ปฏิบัติทั้งหลายชาย-หญิง ทุก ๆ ท่านให้พิจารณาดู สิ่งอันใดเป็นตัวตนหรือวัตถุที่ปรุงขึ้นเป็นรูปต่าง ๆ มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็ดี เป็นสิ่งปรุงขึ้นเป็นสังขารรูปร่างชาย-หญิง ปรุงขึ้นด้วยธาตุน้ำ อาโป 12 รวมกันเข้าให้เกิดเป็นของแข็งคือธาตุดินปฐวี 20 รวมกันเป็นอาการ 32 พอดีเป็นรูปมนุษย์ร่างกายชาย-หญิงอย่างทุกวันนี้ ที่เราเห็นกันอยู่ไม่ใช่หรือ สิ่งอันใดที่ปลูกขึ้นได้ สิ่งอันใดเป็นสิ่งประกอบทุกข์สิ่งเหล่านั้นต้องเปลี่ยนแปลงแก่ชราแตกดับไป ท้ายที่สุดทนอยู่มิได้สิ่งไม่ตายคือตัณหา 1 อากาศธาตุ 1 วิญญาณธาตุ 1 จิตเจตสิก รูป นิพพาน 1 แล้วแต่เป็นธรรมอันไม่ตายทั้งสิ้นนะท่าน ส่วนตัณหาเป็นสภาวธรรมอย่าง 1 องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นนามธรรมในสภาวะนั้นว่า กามตัณหา 1 ภาวะตัณหา 1 วิภาวะตัณหา 1 สามสภาวะนี้แหละปรุงขึ้นให้เกิดอวิชชาความมืด ถ้าความมืดเกิดขึ้นแล้ว อุปาทานที่ยึดมั่นในกามความกำหนัดรักใคร่แห่งกายสังขารมนุษย์และสัตว์ชาย-หญิง ว่าเป็นตัวตนถาวรก็เกิดความสะสมแล้วความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เกิดขึ้นมาทำจิตใจของมนุษย์และสัตว์ให้ติดอยู่ในสภาวธรรมอันตัณหาปรุงขึ้นในธรรมนั้น ๆ ทำให้หลงในเรื่องชีวิตสังขารตนและผู้อื่น ทำให้หลงติดอยู่ในปากกับท้องเพราะตัณหาปรุงสภาวธรรมจนให้วิญญาณทั้ง 6 ให้มืดไม่ให้รู้แจ้งในวิชชาจรณะไปได้ วิญญาณทั้ง 6 นั้นคือ วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย วิญญาณทางใจ สภาวะตัณหาปิดบังไว้ไม่ให้รู้ทางออกจากพ้นทุกข์ไปได้ ตัณหามันทำให้หลงรักติดอยู่ในกองสังขารตนและผู้อื่น ให้ติดเนื่องต่อ ๆ กันไป ทำให้จิตใจมนุษย์และสัตว์เกิดความโง่เขลา คิดนึกไปตามสภาวะตัณหาความมืดว่ามนุษย์และสัตว์เกิดหนเดียว ตายหนเดียวเท่านั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่ ตายไปแล้วก็สูญบุญ-บาปก็ไม่มี ความนึกคิดเป็นเช่นนี้มันเป็นสภาวธรรม ของตัณหาปรุงจิตใจให้นึกคิดฯ

 

               ตัณหาปิดทางนรก สวรรค์ นิพพาน ไม่ให้รู้ว่ามี ปิดกระทั่งวิญญาณของมนุษย์และสัตว์ที่มาปฏิสนธิอยู่ในกายสังขารที่เป็นธรรมอันไม่ตาย สภาวะตัณหาเขาปิดกระทั่งวิญญาณลมหายใจเข้าออกไม่ให้รู้ว่าอะไร เป็นอะไรเพราะตัณหากระทำให้มืด เพราะตัณหาทำให้ก่อเกิดเป็น อวิชชานั้นเอง ดูก่อนภิกษุ สามเณร ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา ให้พิจารณาในสภาวธรรมในธรรมเหล่านี้ด้วย ถ้าท่านเหล่าใดไม่รู้ไม่พิจารณาตามสภาวธรรมให้รู้แจ้งแล้วจะเป็นตนของตน เป็นที่พึ่งของตนได้อย่างไรกันเล่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ในธรรมเหล่าหนึ่งที่ท่านสรรเสริญว่า “ อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ” ตนของตนเป็นที่พึ่งของตนแล ดังนี้อันว่าตนของตนเป็นที่พึ่งของตนได้ เพราะรู้เหตุรู้ผล รู้บุญ รู้บาปได้อย่างแท้จริง เพราะว่าบุญ-บาปนี้รู้ได้ยาก เพราะว่าเป็นสภาวธรรมเหมือนกันอย่างที่กล่าวมา เพราะว่าบุญนั้นได้แก่การกระทำเพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่น โดยมิได้บังเบียดแก่มนุษย์และสัตว์ จิตวิญญาณที่ไม่ตายนั้นจะได้รับโดยอิ่มเอิบชุ่มชื่นในการกระทำในสิ่งเหล่านั้น บาปได้แก่การกระทำบังเบียดแก่มนุษย์และสัตว์จิตวิญญาณที่ไม่ตาย จะได้รับในสิ่งเศร้าหมองเหล่านั้น ท่านเหล่าใดหลงรักสังขารว่าเป็นตัวตนเป็นสิ่งถาวร ท่านเหล่านั้นจะได้รับความเศร้าโศกโศกามานะภายหลังไม่ผิด เพราะไปหลงติดตัณหาแห่งกามปรุงแต่งนั้นเอง ดูก่อนภิกษุ สามเณร ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา ให้ท่านรู้ซึ้งในวิญญาณตนของท่านกันบ้าง แม้แต่เราท่านที่อยู่ด้วยกันเพราะวิญญาณเป็นตัวเขาอยู่ในสังขารร่างกายของท่านทุกตัวคน ท่านถึงได้พูดกันรู้เรื่องรู้ภาษากันดีบ้างชั่วบ้าง เราควรกระทำดีไว้ดีกว่า เพราะว่าสังขารเราท่านแตกดับไปแล้ว ส่วนวิญญาณเราท่านออกจากกามภพนี้ไปแล้วก็เข้าสู่ภพต่อไป เราท่านก็จะได้พบได้เห็นกันอย่างเราท่านเห็นกันอยู่อย่างทุกวันนี้เช่นกัน เพราะวิญญาณเราท่านตายสาบสูญไม่เป็นดังสังขารดอกท่านชาย-หญิง ให้ท่านจงพิจารณาลมหายใจเข้า-ออกของท่านนั้น มันเป็นอันเดียวกันกับ สังขารร่างกายของท่านหรือเปล่า เมื่อสังขารร่างกายแตกดับไปแล้ว ลมหายใจเข้า-ออกนั้นมันไปที่ไหนท่านรู้กันหรือไม่ฯ

 

               สังขารร่างกายของท่านชาย-หญิงจะมีความเป็นอยู่ในโลกกามภพที่มนุษย์และสัตว์จะอยู่ด้วยกัน ได้ก็เพราะลมหายใจเข้า-ออก เขาอยู่ในสังขารร่างกายของท่านไม่ใช่หรือ ส่วนวิญญาณที่มาปฏิสนธิอยู่ในสังขารร่างกายท่านที่เป็นอยู่ วิญญาณนั้นก็อาศัยลมหายใจที่มีอยู่ในสังขารร่างกายของท่านที่ความเป็นอยู่ไม่ใช่หรือ มนุษย์และสัตว์จะอยู่ในโลกนี้ได้เพราะวิญญาณเขาอยู่ไม่ใช่หรือ วิญญาณเป็นสภาวธรรมเป็นสิ่งที่รู้ที่เห็น วิญญาณคือจิตที่นึกคิดสภาวธรรมเป็นสิ่งที่ปรุงจิตใจ วิญ แปลว่ายกเอาสิ่งนั้น ๆ ญาณ แปลว่ายินดีในสิ่งนั้น ๆ ตามสภาวธรรมที่รู้ที่เห็น ที่จำได้หมายรู้ จะเป็นทางตัณหาหรือเป็นทางศีล-สมาธิ-ปัญญา ถ้าจิตใจนึกคิดเห็นชอบว่าสังขารที่เป็นรูปร่างเป็นสัตว์มนุษย์หรือเป็นสัตว์เดรัชฉานนาๆชนิดถ้าจิตท่านชาย-หญิงว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นที่พึ่งที่อาศัยในวัตถุนั้น ๆ เป็นของ ๆ ตน ยึดมั่นถือมั่นในวัตถุสังขารเรียกว่าอุปาทานเป็นผู้ยินดีไปตามสภาวธรรมของตัณหานั่นเอง เมื่อถึงวาระสังขารตายแตกดับไปแล้ว จิตวิญญาณจะออกไปตามสภาวธรรมที่ตนได้นึกคิดอยู่นั่นเอง

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:02:15

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom