-
วิญญาณสัมปันโน
|
|
-
"ความนึกคิดคิดรู้สึกทางจิตใจของท่านชาย-หญิงนานาประการคือ
วิญญาณนั้นแล"
ต่อนี้ไปเป็นเรื่องของวิญญาณ
เพราะว่าปวงชาวมนุษย์สนใจกันเป็นส่วนมากในทางวิญญาณ
แต่ไม่รู้ซึ้งถึงวิญญาณตนและผู้อื่นที่มีอยู่ในตน
ถึงเป็นผู้หลงอยู่ในสิ่งที่ตายว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขาอยู่ทุกคืนวัน
ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกันเลยหนอ
ผู้รู้ในวิญญาณที่ประจำตนของตนมีอยู่
ไม่รู้กระทั่งตนเองว่าอะไร
สังขารร่างกายชาย-หญิงมีแต่ธาตุดิน
น้ำ ลม ไฟ
ที่รวบรวมกันอยู่เป็นรูปร่างชาย-หญิงเท่านั้น
ธาตุเหล่านี้เคลื่อนไหวไปมามิได้-ถ้าไม่มีวิญญาณ
ธาตุรูปนี้มีเจ้าของอยู่ภายในถึงได้เคลื่อนไหวไปมาได้
เราจะรู้ได้ชัดคือเสียงที่พูดออกมาให้เราได้ยินนั่นเอง
ผู้ไม่รู้ก็ถือว่าแต่ร่างกายชาย-หญิงเป็นตัวพูดเลยหลงรักหลงเกลียดกันว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขา
ไม่รู้กระทั่งน้ำ
ดิน ลม ไฟ
ว่าเป็นอะไรโดยโง่เขลา
ผู้รู้แจ้งถึงได้รู้ชั้นวิญญาณว่าเป็นเจ้าของ
ๆ
สังขารร่างกายรูปธาตุชาย-หญิง
ผู้ไม่รู้ก็ไปเหมาเอารูปธาตุว่าเป็นตัวบุคคลเราเขา
เลยหลงรักสังขารที่ตายแตกดับ
สิ่งที่ไม่ตายทำไมไม่รู้กันบ้างฯ
|
|
-
ธรรมเหล่านี้จะรู้แจ้งในมรณะนุสสติ
ถึงจะรู้ในธรรมอันไม่ตายคือวิญญาณของท่านชาย-หญิง
ที่มีมาประจำธาตุร่างกายภายในร่างนั้นเอง
ที่พูด ที่นึก
ที่คิด
ที่สัมผัสถูกต้องที่รู้สึกที่หัวเราะที่ร้องไห้
ที่เคลื่อนไหวไปมาพาสังขารชาย-หญิงกระทำบาปบ้างบุญบ้างเพราะว่าวิญญาณเป็นธรรมอัน
ไม่ตายนะท่านชาย-หญิง
ท่านอย่าไปหลงในทางอันโง่
ๆ
ไปรักเอาสิ่งที่ตาย
สิ่งที่ไม่ตายทำไมไม่รักกันบ้าง
ท่านเหล่าใดถือว่าตายสูญในธรรมเหล่านี้คือตัณหาพานึกพาคิด
พาพูดออกมาเพราะเป็นผู้บ้ากาม
ต้องถูกตัณหาลงโทษจนถึงวันสังขารของตนแตกดับ
เพราะท่านเหล่านี้หลงอยู่ในสิ่งที่ว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขานั้นเอง
ผู้ท่านอยากจะรู้วิญญาณให้ท่านพิจารณาธรรมนอกเสียก่อน
ให้มันรู้โดยชัดเจนเสียก่อน
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าให้หมู่ท่านรู้ธรรมนอกด้วยรู้ธรรมในด้วยรู้ธรรมในธรรมด้วย
เพราะว่าวิญญาณชาย-หญิงมันเป็นธรรมใน
มันเป็นธรรมอันไม่ตายให้จำไว้มีประจำอยู่ทุกตัวคน
ไม่ว่าท่านชายและท่านหญิงอันเป็นสิ่งไม่ตายคือวิญญาณนั้นแล
ผู้โง่เขลาอยู่อาตมาภาพจะชี้ทางธรรมนอกนี้ให้ดูให้พิจารณาต่อ
ๆ
ไปเครื่องบินเหาะขึ้นไปบนฟ้าอยู่ทุกวันนี้มีมนุษย์คนเราขับเครื่องขึ้นไปหรือเปล่า
หรือไปแต่เครื่องโดยลำพังเครื่องเอง
ถ้าท่านชาย-หญิงใดรู้ว่าคนขับเครื่องไป
คนอยู่ภายในเครื่อง
ๆ
ถึงได้ไปเช่นนี้
ท่านรู้คนขับเครื่องไปเครื่องถึงได้ไป
ท่านเหล่านี้ให้พิจารณาธรรมในต่อ
ๆ ไป
ก็จะรู้ว่ามนุษย์และสัตว์มีวิญญาณประจำอยู่ในร่างกายของตนอยู่ถึงได้รู้ว่าวิญญาณพูดออกมา
เพราะว่าวิญญาณเป็นเจ้าของร่างกายของตนมีอยู่ถึงได้รู้ภาษากันในเรื่องต่าง
ๆ นานา
เป็นหน้าที่วิญญาณทั้งสิ้น
อาตมาจำแนกธรรมไว้เพื่อท่านชาย-หญิงพิจารณาให้รู้เท่าทันสังขารตนและผู้อื่นกันบ้าง
อย่าไปหลงตามสังขารอันที่ตายดับสิ่งที่ทนอยู่มิได้
เพราะสังขารแต่ละท่านชาย-หญิงต้องตายแตกดับสูญไปทั้งนั้น
ผู้ไม่รู้ซึ้งถึงวิญญาณของตนก็ถือว่าตายแล้วดับสูญไปไม่มีอันใดเหลืออยู่
เพราะตนไม่รู้ตนของตนนั้นเองว่ามีวิญญาณครองอยู่ภายในหรือไม่
วิญญาณก็คือความนึกคิดอยู่ในจิตใจของท่านชาย-หญิงอีกต่อหนึ่ง
วิญญาณอาศัยสัมพันธ์กันอยู่กับจิตนั้นเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า
ภูตรูป-อภูตรูป
ภูตรูปก็คือรปูตัณหาที่ดิ้นรนนั้นเอง
อภูตรูปก็คือรูปวิญญาณของท่านชาย-หญิงนั้นเอง
ท่านชาย-หญิงทำไมไม่พิจารณาให้รู้แจ้งกันเสียบ้าง
มันถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาปอย่างแท้จริงเพราะท่านไม่รู้ซึ้งถึงวิญญาณของตนนั้นเอง
ถึงได้ถกเถียงกันอยู่ทุกวันนี้
วิญญาณเป็นสิ่งอันไม่ตายนะท่านวิญญาณอาศัยสังขารกระจายเสียงออกมา
ให้สัตว์มนุษย์รู้เรื่องในสิ่งนั้น
ๆ
ในกามภพโลกมนุษย์เราท่านถึงได้ยินรู้ภาษากัน
เพราะอาศัยร่างสังขารธาตุ
6 คือ ดิน น้ำ ลม
ไฟ อากาศธาตุ
วิญญาณธาตุ
ที่ประชุมรวมกันอยู่เป็นร่างสังขารชาย-หญิงที่เราท่านเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
รูปร่างสวยหรือไม่สวย
ขาวหรือดำอันนี้เป็นกรรมปรุงแต่งแต่ละท่าน
ในการกระทำของแต่ละท่าน
ส่วนวิญญาณแห่งจิตมิได้ปรุง
วิญญาณเป็นแต่เพียงรับรู้ในสิ่งต่าง
ๆ เท่านั้นฯ
|
|
-
เมื่อท่านชาย-หญิงทำดีหรือทำชั่วนั้น
วิญญาณของท่านจะรับเอาไปในการกระทำ
ของท่านนั้นเอง
การกระทำมีอยู่สองอย่างด้วยกัน
สิ่งที่เป็นตัณหาก็มี
สิ่งไม่เป็นตัณหาก็มี
สิ่งไม่เป็นตัณหานั้นมีดังต่อไปนี้
สิ่งที่เสียสละด้วยทรัพย์ก็ดี
ด้วยทางกาย
ทางวาจา
ทางใจก็ดี
มิใช่ทางตัณหาดอกท่านชาย-หญิง
สิ่งที่สะสมด้วยทรัพย์ก็ดี
ด้วยทางกาย
ทางวาจา
ทางใจก็ดี
เป็นทางตัณหาทั้งสิ้นนะท่านชาย-หญิง
ความเสียสละได้แก่การปล่อยวางนั้นเอง
ความสะสมได้แก่การผูกพันอยู่นั้นเอง
การผูกพันนึกคิดที่หลงอยู่ในสังขารตนและผู้อื่นนั้นเป็นตัณหานำพาให้จิตนั้นนึกคิดไปตามสิ่งนั้น
ๆ
บางคราวขาดจากสติพลั้งเผลอพูดออกมาหลงไปตามตัณหาโดยความมืด
ๆ
ของตนว่าขอให้เราได้สิ่งชอบใจของเราก็แล้วกัน
หรือคิดโดยโง่
ๆ
ว่าให้เราร่ำรวยก็แล้วกัน
บางครั้งบางคราวนึกคิดเศร้าใจหาทางไปมิได้
เลยพูดออกมาว่าคนเราเกิดหนเดียวตายหนเดียวเท่านั้น
เมื่อเราตายไปแล้วมันจะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะอย่างนี้ก็ดี
ดูก่อนท่านชายและท่านหญิง
ขอให้ท่านยุตินึกคิดอย่างนั้นเสียก่อนให้พิจารณาเสียก่อนอย่าพึ่งร้อนใจไปเลย
ความนึกคิด ท่านนั้น
มันเป็นอวิชชา
ตัณหาความมืด
มันทำให้ท่านชาย-หญิงเข้าใจผิดบางท่านก็เลยเข้าใจผิดไปเลยฆ่าสังขารของตน
และผู้อื่นให้ตายไปเสียก็มากมาย
ท่านหลงผิดไปว่าตายไปแล้วคงสบายดี
ความคิดเช่นนี้เป็นผู้เข้าใจผิด
เพราะว่าจิตใจมิได้ตายดังสังขารนะ
ท่านชาย-หญิง
เมื่อจิตใจเกิดเป็นทุกข์
สังขารมิได้เป็นทุกข์ดังจิตใจดอกท่านชาย-หญิง
กายสังขารเขามีเวทนาอยู่ในตัวของเขาเอง
จะมีเวทนามากน้อยนั้นก็ตามแต่กายสังขารของท่านเหล่านั้น
ความทุกข์ของกายสังขารของมนุษย์และสัตว์นี้ไปถึงแค่ตายแตกดับสิ้นไฟสิ้นลมหายใจไปแล้ว
สังขารก็เป็นสุขไม่ต้องฆ่าเขาดอก
เขาก็ต้องตายของเขาเองไม่ช้าก็เร็วนะท่านชาย-หญิง
ส่วนจิตใจของมนุษย์และสัตว์ชาย-หญิงนั้น
เมื่อนึกคิดเศร้าโคกกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่นั้นมัน
ไม่หายไปได้ดอกท่าน
สิ่งนึกคิดเหล่านั้นจิตใจเป็นผู้หุ้มห่อติดตามไปทุกชั้นทุกภูมิจะไปจุติอยู่ที่ใดก็ตาม
ความทุกข์นั้นก็จะติดอยู่นั้นเอง
จิตใจของท่านมาปฏิสนธิเกิดมาเป็นมนุษย์และสัตว์อีกก็ตามความทุกข์นั้น
ก็จะติดตามมาอยู่นั้นเอง
เพราะจิตใจเป็นธรรมอันไม่ตายนะท่านชาย-หญิง
เพราะจิตใจเป็นนาม-เจตสิกเป็นรูป
ความสว่างเบิกบานแจ่มแจ้งเป็นพระนิพพานนะท่านชาย-หญิง
(สิ่งที่รู้สิ่งที่เห็นคือวิญญาณนั้นแล)
|
|
-
จิตใจก็ดี
เจตสิกก็ดี
รูปก็ดี
ความสว่างเบิกบานแจ่มแจ้งก็ดีมิใช่ตัวตนเป็นสภาวะธรรมชาติ
มีประจำธรรมชาติ
จุติปฏิสนธิอยู่ในกายเวทนาของมนุษย์และสัตว์
พูดได้ร้องได้นึกคิดได้
ที่มีอยู่ในกายสังขารของท่านชาย-หญิง
ธรรมชาติมิใช่ตัวตน
สิ่งอันใดเป็นรูปวัตถุเป็นนามนั้น
ๆ
มิใช่เป็นสิ่งถาวรไปได้
เป็นสิ่งไม่เที่ยง
เป็นสิ่งประกอบทุกข์
สิ่งไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นเวทนา
เวทนานั้นมิใช่ตัวตนเป็นเหตุให้เกิดเป็นสิ่งประกอบทุกข์
ความนึกคิดนานาประการ
ทางโลกก็ตามทางธรรมก็ตาม
เป็นรูปก็ตามเป็นนามก็ตาม
ล้วนแต่เป็นเหตุด้วยกันทั้งนั้น
ถ้าท่านชาย-หญิงเล่าใดถือว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขาอยู่ท่านเหล่านั้นต้องเกิดความ
เศร้าโศกโทมนัสรำพึงรำพันให้เกิดเป็นทุกข์ในสิ่งเหล่านั้น
ติดพันในสิ่งเหล่านั้น
แปลว่าเป็นยังไม่มีปัญญาเป็นสิ่งรู้เท่าทันในสิ่งนั้น
ๆ
เพราะว่าท่านทั้งหลายถือเอาสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นตัวตนเป็นที่รักเป็นที่รังเกียจของตนอยู่
ถึงได้เกิดอุปาทานเศร้าโศกแก่ท่านเหล่านั้น
เพราะท่านเหล่านั้นยังไม่รู้แจ้งในพระไตรลักษณ์คือ
อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา
ที่ประจำอยู่ในสังขารของท่านชาย-หญิงมีอยู่ทุกคนว่าแต่ท่านจะรู้ในสิ่งเหล่านั้นหรือไม่เท่านั้น
อนึ่งผู้ปฏิบัติชาย-หญิงอย่าเข้าใจผิด
คิดผิด
นึกผิดก็แล้วกัน
บางท่านก็สงสัยลังเลอยู่ก็มี
บ้างก็มืดมิดไปเสียเลยก็มี
สองท่านนี้พูดหรืออบรมสั่งสอนในทางกรรมฐานก็ดี
วิปัสสนาสมาธิอันใดใดก็ดีในทางโลกุตตระธรรมแก่ภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์
อุบาสก
อุบาสิกาเหล่าใดก็ต้องผิดทาง
เพราะตนยังไม่สว่างแห่งทางของจิตเจตสิก
รูป นิพพาน
ก็จะถือว่าพระนิพพานไม่มีอะไรฯ
|
|
-
ผู้ปฏิบัติยังไม่แจ้งก็จะเกิดวิตกวิจารณ์
เลยไม่เอาเรื่องเอาราวไปเสียเลยก็มี
หาว่านิพพานเป็นของสูญเปล่าไม่มีความหมายตายแล้วก็สูญไปไม่มีอะไรเหลืออยู่
ความคิดเช่นนี้แหละจะพาให้ผู้ปฏิบัติเห็นผิดไปในทางปฏิบัติในทาง
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปทั้งหมด
นี่แหละผู้ปฏิบัติทั้งหลายชาย-หญิง
ทุก ๆ
ท่านให้พิจารณาดู
สิ่งอันใดเป็นตัวตนหรือวัตถุที่ปรุงขึ้นเป็นรูปต่าง
ๆ
มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็ดี
เป็นสิ่งปรุงขึ้นเป็นสังขารรูปร่างชาย-หญิง
ปรุงขึ้นด้วยธาตุน้ำ
อาโป 12
รวมกันเข้าให้เกิดเป็นของแข็งคือธาตุดินปฐวี
20
รวมกันเป็นอาการ
32
พอดีเป็นรูปมนุษย์ร่างกายชาย-หญิงอย่างทุกวันนี้
ที่เราเห็นกันอยู่ไม่ใช่หรือ
สิ่งอันใดที่ปลูกขึ้นได้
สิ่งอันใดเป็นสิ่งประกอบทุกข์สิ่งเหล่านั้นต้องเปลี่ยนแปลงแก่ชราแตกดับไป
ท้ายที่สุดทนอยู่มิได้สิ่งไม่ตายคือตัณหา
1 อากาศธาตุ 1
วิญญาณธาตุ 1
จิตเจตสิก รูป
นิพพาน 1
แล้วแต่เป็นธรรมอันไม่ตายทั้งสิ้นนะท่าน
ส่วนตัณหาเป็นสภาวธรรมอย่าง
1 องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นนามธรรมในสภาวะนั้นว่า
กามตัณหา 1
ภาวะตัณหา 1
วิภาวะตัณหา 1
สามสภาวะนี้แหละปรุงขึ้นให้เกิดอวิชชาความมืด
ถ้าความมืดเกิดขึ้นแล้ว
อุปาทานที่ยึดมั่นในกามความกำหนัดรักใคร่แห่งกายสังขารมนุษย์และสัตว์ชาย-หญิง
ว่าเป็นตัวตนถาวรก็เกิดความสะสมแล้วความโลภ
ความโกรธ
ความหลง
ก็เกิดขึ้นมาทำจิตใจของมนุษย์และสัตว์ให้ติดอยู่ในสภาวธรรมอันตัณหาปรุงขึ้นในธรรมนั้น
ๆ
ทำให้หลงในเรื่องชีวิตสังขารตนและผู้อื่น
ทำให้หลงติดอยู่ในปากกับท้องเพราะตัณหาปรุงสภาวธรรมจนให้วิญญาณทั้ง
6
ให้มืดไม่ให้รู้แจ้งในวิชชาจรณะไปได้
วิญญาณทั้ง 6
นั้นคือ
วิญญาณทางตา
วิญญาณทางหู
วิญญาณทางจมูก
วิญญาณทางลิ้น
วิญญาณทางกาย
วิญญาณทางใจ
สภาวะตัณหาปิดบังไว้ไม่ให้รู้ทางออกจากพ้นทุกข์ไปได้
ตัณหามันทำให้หลงรักติดอยู่ในกองสังขารตนและผู้อื่น
ให้ติดเนื่องต่อ
ๆ กันไป
ทำให้จิตใจมนุษย์และสัตว์เกิดความโง่เขลา
คิดนึกไปตามสภาวะตัณหาความมืดว่ามนุษย์และสัตว์เกิดหนเดียว
ตายหนเดียวเท่านั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่
ตายไปแล้วก็สูญบุญ-บาปก็ไม่มี
ความนึกคิดเป็นเช่นนี้มันเป็นสภาวธรรม
ของตัณหาปรุงจิตใจให้นึกคิดฯ
|
|
-
ตัณหาปิดทางนรก
สวรรค์ นิพพาน
ไม่ให้รู้ว่ามี
ปิดกระทั่งวิญญาณของมนุษย์และสัตว์ที่มาปฏิสนธิอยู่ในกายสังขารที่เป็นธรรมอันไม่ตาย
สภาวะตัณหาเขาปิดกระทั่งวิญญาณลมหายใจเข้าออกไม่ให้รู้ว่าอะไร
เป็นอะไรเพราะตัณหากระทำให้มืด
เพราะตัณหาทำให้ก่อเกิดเป็น
อวิชชานั้นเอง
ดูก่อนภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์ อุบาสก
อุบาสิกา
ให้พิจารณาในสภาวธรรมในธรรมเหล่านี้ด้วย
ถ้าท่านเหล่าใดไม่รู้ไม่พิจารณาตามสภาวธรรมให้รู้แจ้งแล้วจะเป็นตนของตน
เป็นที่พึ่งของตนได้อย่างไรกันเล่า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ในธรรมเหล่าหนึ่งที่ท่านสรรเสริญว่า
อัตตาหิ
อัตตะโน นาโถ
ตนของตนเป็นที่พึ่งของตนแล
ดังนี้อันว่าตนของตนเป็นที่พึ่งของตนได้
เพราะรู้เหตุรู้ผล
รู้บุญ
รู้บาปได้อย่างแท้จริง
เพราะว่าบุญ-บาปนี้รู้ได้ยาก
เพราะว่าเป็นสภาวธรรมเหมือนกันอย่างที่กล่าวมา
เพราะว่าบุญนั้นได้แก่การกระทำเพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่น
โดยมิได้บังเบียดแก่มนุษย์และสัตว์
จิตวิญญาณที่ไม่ตายนั้นจะได้รับโดยอิ่มเอิบชุ่มชื่นในการกระทำในสิ่งเหล่านั้น
บาปได้แก่การกระทำบังเบียดแก่มนุษย์และสัตว์จิตวิญญาณที่ไม่ตาย
จะได้รับในสิ่งเศร้าหมองเหล่านั้น
ท่านเหล่าใดหลงรักสังขารว่าเป็นตัวตนเป็นสิ่งถาวร
ท่านเหล่านั้นจะได้รับความเศร้าโศกโศกามานะภายหลังไม่ผิด
เพราะไปหลงติดตัณหาแห่งกามปรุงแต่งนั้นเอง
ดูก่อนภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์ อุบาสก
อุบาสิกา
ให้ท่านรู้ซึ้งในวิญญาณตนของท่านกันบ้าง
แม้แต่เราท่านที่อยู่ด้วยกันเพราะวิญญาณเป็นตัวเขาอยู่ในสังขารร่างกายของท่านทุกตัวคน
ท่านถึงได้พูดกันรู้เรื่องรู้ภาษากันดีบ้างชั่วบ้าง
เราควรกระทำดีไว้ดีกว่า
เพราะว่าสังขารเราท่านแตกดับไปแล้ว
ส่วนวิญญาณเราท่านออกจากกามภพนี้ไปแล้วก็เข้าสู่ภพต่อไป
เราท่านก็จะได้พบได้เห็นกันอย่างเราท่านเห็นกันอยู่อย่างทุกวันนี้เช่นกัน
เพราะวิญญาณเราท่านตายสาบสูญไม่เป็นดังสังขารดอกท่านชาย-หญิง
ให้ท่านจงพิจารณาลมหายใจเข้า-ออกของท่านนั้น
มันเป็นอันเดียวกันกับ
สังขารร่างกายของท่านหรือเปล่า
เมื่อสังขารร่างกายแตกดับไปแล้ว
ลมหายใจเข้า-ออกนั้นมันไปที่ไหนท่านรู้กันหรือไม่ฯ
|
|
-
สังขารร่างกายของท่านชาย-หญิงจะมีความเป็นอยู่ในโลกกามภพที่มนุษย์และสัตว์จะอยู่ด้วยกัน
ได้ก็เพราะลมหายใจเข้า-ออก
เขาอยู่ในสังขารร่างกายของท่านไม่ใช่หรือ
ส่วนวิญญาณที่มาปฏิสนธิอยู่ในสังขารร่างกายท่านที่เป็นอยู่
วิญญาณนั้นก็อาศัยลมหายใจที่มีอยู่ในสังขารร่างกายของท่านที่ความเป็นอยู่ไม่ใช่หรือ
มนุษย์และสัตว์จะอยู่ในโลกนี้ได้เพราะวิญญาณเขาอยู่ไม่ใช่หรือ
วิญญาณเป็นสภาวธรรมเป็นสิ่งที่รู้ที่เห็น
วิญญาณคือจิตที่นึกคิดสภาวธรรมเป็นสิ่งที่ปรุงจิตใจ
วิญ
แปลว่ายกเอาสิ่งนั้น
ๆ ญาณ
แปลว่ายินดีในสิ่งนั้น
ๆ
ตามสภาวธรรมที่รู้ที่เห็น
ที่จำได้หมายรู้
จะเป็นทางตัณหาหรือเป็นทางศีล-สมาธิ-ปัญญา
ถ้าจิตใจนึกคิดเห็นชอบว่าสังขารที่เป็นรูปร่างเป็นสัตว์มนุษย์หรือเป็นสัตว์เดรัชฉานนาๆชนิดถ้าจิตท่านชาย-หญิงว่า
สิ่งเหล่านั้นเป็นที่พึ่งที่อาศัยในวัตถุนั้น
ๆ เป็นของ ๆ ตน
ยึดมั่นถือมั่นในวัตถุสังขารเรียกว่าอุปาทานเป็นผู้ยินดีไปตามสภาวธรรมของตัณหานั่นเอง
เมื่อถึงวาระสังขารตายแตกดับไปแล้ว
จิตวิญญาณจะออกไปตามสภาวธรรมที่ตนได้นึกคิดอยู่นั่นเอง
|
|