-
อัตตาหิ
อัตตะโน นาโถ
|
|
-
อัตตาหิ
อัตตะโน นาโถ ตนของตนเป็นที่พึ่งของตนแล
ต่อนี้เป็นการปฏิบัติจิตใจของตนให้พิจารณา
อันพระพุทธเจ้าว่าตักเตือนภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์
ผู้ทรงเพศพรหมจรรย์ที่อยู่ในศีลสิกขาบทว่า
ดูก่อนท่านทั้งหลาย
อย่าเป็นผู้เบียดตนและผู้อื่นโดยอันไม่ชอบ
อันไม่ธรรม
การบังเบียดตนนั้นได้แก่การนึกคิดที่ประกอบทุกข์คือ
จิตใจนึกคิดไปต่าง
ๆ นานา ที่พาตนให้เศร้าโศกกลุ้มอกกลุ้มใจอันหาประโยชน์มิได้เลย
ความนึกคิดเช่นนี้ท่านเรียกว่าตัณหาอาสวะ
ทำให้ตนตกลงไปในที่ต่ำลามก
หาปัญญามิได้
ยิ่งคิดยิ่งเร่าร้อนเผาตนเอง
เพราะจิตใจที่นึกคิดนั้นไม่ตาย
เมื่อตายแตกดับไปแล้วสังขารเป็นสุข
แต่จิตใจนั้นจะหาทางสิ้นจากกองทุกข์ไปนั้นย่อมไม่มี
เพราะตนเป็นผู้บังเบียดตนด้วยความนึกคิดอันไม่เป็นธรรมนั้นเอง
เพราะจิตใจไปตกอยู่ในบ่วงของโลกทำให้เกิดทุกข์โศกเสียเปล่า
ๆ
สังขารตายแล้วก็ยังไม่ขึ้นจากกองทุกข์ไปได้เลย
เพราะตนนึกคิดบังเบียดตนเองโดยไม่รู้สึกตัว
จิตใจที่รับความเศร้าหมองอยู่นั้นก็จะได้รับความเป็นทุกข์อยู่นั้นเอง
เพราะว่าจิตใจเป็นผู้นึกคิดก่อเหตุขึ้นด้วยตนเอง
ก็ได้รับด้วยการกะทำของตนเอง
ได้แก่การนึกคิดที่ตนกระทำที่บังเบียดตนให้เกิดความเร่าร้อนเผาตนเอง
ไฟราคะจะลุกขึ้นได้เพราะตนนึกคิดจุดก่อขึ้น
ความนึกคิดสิ่งไม่เป็นธรรมนั่นแหละมันเป็นเชื้อเพลิงของไฟแห่งกาม
กามนั่นแหละให้เกิดความเศร้าหมองของจิตใจมันเกิดขึ้นได้เพราะความนึกคิดนั้นเอง
กรรมก็ดีเวรก็ดีมันเกิดขึ้นเพราะกามความนึกคิดนั่นเอง
แม้แต่สังขารตายจากโลกนี้ไปแล้วก็หาความสิ้นสุดจากทุกข์มิได้
เพราะจิตใจความนึกคิดนั้นไม่ตายดังสังขารนะท่านชาย-หญิง
เพราะความนึกคิดเป็นเรื่องของจิตใจไม่ใช่เป็นเรื่องของสังขาร
จิตใจมาปฏิสนธิอยู่ในสังขารต่างหาก
จิตใจก็คือลมอัสสาสะปัสสาสะหายใจเข้า-ออก
ที่สังขารมนุษย์และสัตว์เป็นอยู่นั่นเอง
เมื่อสังขารดับอันตรายไปวิธีใดก็ตายลมนั้นก็จะออกไป
วิญญาณทั้งหลายที่รู้สึกที่พบหรือถูกต้องทำให้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็จะออกติดตามไป
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งไม่ตายนะท่านชาย-หญิง
ความนึกคิดที่ไม่ประสบอารมณ์ที่สงเคราะห์เข้ากันมิได้นั้นแหละมันทำให้เกิดฟุ้งซ่านเศร้าหมอง
แห่งจิตใจให้บังเกิดบังเบียดตนเอง
ความนึกคิดไม่สมปรารถนาก็ให้เกิดเป็นทุกข์
เมื่อได้มาสมความปรารถนาก็เป็นทุกข์
เมื่อสิ่งได้มานั้นพลัดพรากจากไปก็มีความโศกเศร้าเสียใจ
ได้เบียดเบียนตนให้เกิดเป็นกองทุกข์เศร้าโศกเพราะความนึกคิดในสิ่งเหล่านั้น
โดยบังเบียดตนเองอยู่
จึงนึกคิดอยู่ในนั้นมิใช่ตัณหานำพาดอกท่านชาย-หญิง
จิตที่คิดถึงก็ดี
คิดถึงเพื่อความรักก็ดี
จิตคิดเพื่อโกรธเคืองก็ดี
จิตเหล่านี้เป็นจิตตัณหาเป็นพญามารอาสวะนำพาให้เกิดบังเบียดตนและผู้อื่นอยู่นั้นเองฯ
|
|
-
ต่อไปเป็นจิตที่นึกคิดบังเบียดตนและผู้อื่น
มีจิตบังเกิดทำให้ตนหลงผิดยกตนข่มท่านโดยไม่รู้สึกตัวเลยหาว่าแต่ตนคิดดีนึกดี
กลายเป็นจิตวิปริตนึกว่าตนได้บรรลุธรรมแล้ว
ขาดปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง
ไม่รู้ผิด
ไม่รู้ถูก
กลายเป็นผู้อวดดีอวดรู้ไปทั้งหมด
กลายเป็นจิตวิปริตหาสติมิได้
นึกคิดว่าตนรู้จิตท่านชาย-หญิงทุก
ๆ ท่านทั้งหมด
หลงจดหลงเขียนไปตามวัดวาอาราม
เรื่องราวของท่านเหล่านั้นเหล่านี้
ว่าท่านเหล่านั้นท่านเหล่านี้เป็นดังนั้นเป็นดังนี้
ว่าตนรู้จิตใจของมนุษย์และสัตว์
ดี-ชั่วรู้หมดหลงจดหลงเขียนเปลี่ยนแปลงนานา
ยกจิตข่มท่านหว่านพืชไปทั้งหมด
ตนของตนไม่ตรวจค้นออกมาดู
อวดรู้แต่จิตผู้อื่น
ไม่รู้ความผิดที่ติดตามมาจะเกิดให้ตนเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว
จิตชนิดนี้เป็นจิตวิปริตผิดวิสัยในทางปฏิบัติ
จิตชนิดนี้เกิดแก่ท่านชาย-หญิงเหล่าใด
มักเดินทางผิดทุกเพศทุกวัย
หาดีขาดมิได้
หาได้มิดี
คล้าย ๆ
ผีเข้าผีออก
เพราะจิตหลอกตนเอง
เพราะขาดจากสัมปชัญญะความรู้ตัวว่าตนเป็นมาอย่างไร
หาตัวรู้มิได้ล่วงศีลพระวินัย
เพราะคำพูดของตนเองกล่าวธรรมอุตริที่ไม่มีในตน
หลงไปค้นแต่จิตของท่านผู้อื่นมาพิจารณาว่าท่านเหล่านั้นเป็นดังนั้นเป็นดังนี้
ด้วยความนึกคิดของตนเองโดยโง่เขลาหาปัญญามิได้
ตั้งตนเป็นใหญ่แย่งพูดแย่งคุย
นึกว่าตนเป็นผู้สว่างรู้ศีลรู้ธรรม
บังเบียดท่านผู้อื่นอยู่เสมอ
ๆ ไป
จิตใจชนิดนี้เกิดแก่ท่านชาย-หญิงเหล่าใดย่อมเป็นไปในทางวิปริตวิปลาสขาดจากสติไปทุกท่าน
ไม่มีผิดจะกลับตนเข้าสู่ศีลสู่ธรรมได้ยาก
เพราะมีจิตเกิดบังเบียดยกตนข่มท่านผู้อื่นอยู่เสมอ
ๆ
เป็นทางเห็นของตนเองอยู่เสมอ
ๆ มิได้ขาดระยะ
บางครั้งบางคราวนึกว่าตนเป็นพระอรหันต์แล้วดังนี้ก็มี
ไม่รู้ว่าตนติดอยู่ในธรรมอันสรรเสริญแห่งโลกธรรมแปดประการ
เป็นทางเดินเข้าสู่โลภ-โกรธ-หลง
เป็นดงอันแสนลึก
เป็นทางจิตมิจฉาสมาธิปัญญาที่เกิดนั้นก็เป็นปัญญาวิปัสสนูอุปกิเลส
เพราะตนยังติดอยู่ในความยินดียินร้ายอยู่นั้นเองเลยหลงนึกคิดในทางสภาวะทางตัณหาพญามาร
ด้วยธัมมะของตัณหาที่ปรุงขึ้นด้วยอุปาทานในความนึกคิดของตน
โดยขาดความพิจารณาในทางสภาวธรรมศีลสิกขาบทที่ละเว้นที่ปราศจากตัณหา
หลงไปตามธัมมะตัณหาก่อเกิด
ไม่รู้สภาวธรรมทางมรรคและผลต่อ
ๆ
ไปมันเป็นทางเหล่าใด
สภาวะเหล่าใด
ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงต้องรู้สภาวะนั้น
ๆ
เสียก่อนจะเป็นพระธรรมพระวินัยของพุทธบัญญัติหรือเปล่า
ถ้าท่านไม่รู้ในทางสภาวธรรมในทางสมาธิปัญญาของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในความหมายแห่ง
ธรรมในทางโลกุตตระธรรม
แล้วก็จะเดินวิถีจิตเจตสิกของตนให้เดินทางผิดในทางมรรคแปดของพุทธบัญญัติ
ที่ให้ภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์
ผู้ทรงเพศพรหมจรรย์เข้าใจผิดไปตามกันทั้งหมด
เพราะตนไม่รู้ในทางสภาวธรรมที่เดินเข้าสู่ทางตัณหาพญามารก็มี
สภาวะนั้นมันเป็นทางเดินของจิตเจตสิกจิตใจของท่านชาย-หญิงให้ติดก็มี
เป็นสภาวะอันหนึ่งคือทางกามตัณหา
เกิดเข้าไปสู่ในทางสะสมอยู่ในกองหมู่พวกแห่งกามในทางเพลิดเพลินในการที่ความกำหนัด
ชาย-หญิงนี้อย่างหนึ่ง
ทำให้จิตใจชาย-หญิงให้เดินเข้าไปสู่สภาวะในการสะสมวัตถุกามนี้อย่างหนึ่ง
มันเป็นทางนอกพระธรรมพระวินัยสัตถุศาสนาของพระพุทธเจ้าไปเสียแล้ว
ภิกษุ-สามเณร
ชี-พราหมณ์
ให้พิจารณากันบ้างเพราะหมู่เราท่านเป็นเขตบุญเนื้อนาบุญของมนุษย์เทวดา
เทวบุตร อินทร์
พรหม
ให้เกิดศรัทธาเคารพกราบไหว้บูชาน้อมนำจิตท่านทั้งหลายให้เข้าสู่
คุณพระพุทธ
พระธรรม พระอริยสงฆ์
เป็นที่พึ่งที่อาศัยของจิตเจตสิกในหมู่ท่านเหล่านั้นสืบ
ๆ
ต่อกันไปก็เพราะหมู่ภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์
เหล่านั้นรู้จักสภาวธรรมนั้นเองฯ
|
|
-
ผู้ที่ปฏิบัติอยู่ในธรรมเหล่าใดก็ดี
ปฏิบัติจิตให้เดินตามสมาธิกรรมฐานอันใดใดก็ดี
ให้รู้ซึ้งในทางสภาวธรรมนั้น
ๆ
ให้พิจารณาดูเสียก่อนมันเป็นทางสภาวะในทางไหน
กันแน่ผู้ทำจิตด้วยตนเองก็ดี
หรือผู้อื่นอบรมจิตใจภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์
ผู้เป็นนักบวชให้เข้าใจผิดในทางสภาวธรรมไปแล้วทำจิตใจของตนและผู้อื่นให้เดินผิดสภาวธรรม
ไปตกอยู่ในนอกศีลและธรรมเข้าทางศีล
สมาธิ ปัญญา
ของพระพุทธเจ้ามิได้แล้วเพราะตนเดินสภาวะผิดทำด้วยตนเองก็ดี
หรือสั่งสอนท่านผู้อื่นให้เข้าใจผิดกัน
ผู้สอนผู้พิจารณาด้วยตนเองก็ดี
เมื่ออยู่เป็นมนุษย์ก็อยู่ในสภาวะที่ประกอบทุกข์
เมื่อสังขารกายเวทนาแตกดับตายไปแล้ว
จิตใจเจตสิกวิญญาณของท่านที่เป็นธรรมอันไม่ตาย
ที่เราคิดนึกกันอยู่นี้จะไปตกนรกนะท่าน
เพราะตนของตนทำให้ตนเข้าใจผิดและสอนให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในทางสภาวธรรม
ทางศีลพระวินัยประเพณีอันดีงาม
สอนจิตใจให้เดินทางผิดไปตามตัณหาพญามารที่ปรุงสภาวธรรม
ๆ
ที่ผิดจากศีลพระวินัยประเพณีที่พระธรรมบัญญัติ-พุทธบัญญัติในเมตตาสามัคคีธรรม
เป็นทางร่วมสายสามัคคีก่อสร้างกุศลผลบุญเข้าสู่ความสงบสุขอยู่ด้วยกันสันติสุขธรรม
ธรรมเหล่านี้ที่เป็นพระธรรมบัญญัติพระพุทธบัญญัติก่อสร้างสภาวธรรมให้น้อมนำจิตใจ
ของมนุษย์และสัตว์ให้เกิด
ยินดีไปตามในสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล
ให้เกิดทางตา
หู จมูก ลิ้น
กาย ใจ
ลมหายใจเข้า-ออกให้ยินดีไปตามสภาวธรรมในธรรมเหล่านี้เป็นธรรมกุศลให้เกิดผลบุญต่อ
ๆ ไป
ธรรมอกุศลนั้นเป็นตัณหาพญามารปรุงสภาวธรรมขึ้น
หมู่พวกอธรรมนำเอาสภาวธรรมเหล่านี้ไปใช้ไปอบรมจิตใจให้เข้าใจผิดไปจากศีลและพระวินัยของ
พระธรรมบัญญัติพุทธบัญญัติให้
ขาดจากประเพณีอันดีงามของบุคคลบัญญัติไปทั้งหมด
เพราะหมู่พวกอธรรมที่ไม่มีสภาวธรรม
ศีล พระวินัย
ไปยึดถือเอาสภาวะธรรมของตัณหาพญามารปรุงขึ้น
สิ่งปรุงขึ้นแปลว่า
ครอบงำ
ปิดจิตใจของท่านชาย-หญิง
ให้ยินดียินร้ายไปตามสิ่งครอบงำนั้น
แปลว่าได้ในธรรมนอกโดยวัตถุ
ถูกบุคคลเอาโป๊ะหลอดแก้วโลหะสีต่าง
ๆ
ไปห่อแสงไฟให้ไฟนั้นกลายเป็นสีต่าง
ๆ ไปได้
จะเป็นสีดำ
สีแดง สีเขียว
ก็ตาม
ไฟก็จะสะท้อนแสงออกไปเป็นสีอย่างนั้น
เหมือนสิ่งครอบงำไว้นั่นเอง
เพราะจิตใจเป็นไฟแสงสว่างโดยประภัสสรของเขาเอง
โดยธรรมชาติแสงสว่างถ้าถูกสิ่งอันใดเข้าครอบงำไว้ได้แล้ว
แสงสว่างของจิตเจตสิกของท่านชาย-หญิงต้อง
เปลี่ยนแปลงไปในสิ่งนั้น
ๆ
หรือในสิ่งนั้น
ๆ
ไม่มีผิดนะท่านชาย-หญิง
สิ่งที่จะเอามาครอบนั้นคือความนึกคิดที่ไปตามสภาวะนั้น
ๆ
ของท่านนั่นเอง
จิตใจไม่ได้ปรุงขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
เครื่องครอบงำต่างหากเปลี่ยนแปลงให้เป็นสภาพสภาวธรรมให้เป็นไปในสภาพนั้น
ๆ
เพราะสิ่งครอบงำเมื่อท่านชาย-หญิงเห็นก็ดี
ได้ยินผู้พูดมาจากที่อื่นก็ดี
เป็นเรื่องรักก็ดี
เป็นเรื่องเกลียดก็ดี
ในสิ่งเหล่านั้นจะเข้าครอบงำจิตใจของท่านโดยทันทีไม่มากก็น้อยตามแต่อารมณ์ในสภาวธรรมของท่านเหล่านั้น
ที่ตนยังไม่รู้ไม่ถึงในเหตุนั้น
ๆ
ถ้าท่านเหล่าใดรู้ชัดแจ้งในสภาวธรรมว่าเป็นสิ่งเหล่านี้ครอบงำจิตใจชาย-หญิงใด
ท่านเหล่านั้นก็จะเลือกเอาสิ่งครอบงำของตนไว้ได้
ไม่ยอมให้สภาวธรรมของกามตัณหาพญามารเข้าครอบงำได้เป็นเด็ดขาด
รู้ในสภาวธรรม
ว่าเป็นสิ่งเข้าครอบงำ
เป็นสิ่งทำจิตใจของมนุษย์และสัตว์ให้เปลี่ยนแปลงไปได้ต่าง
ๆ นานา
เพราะสภาวธรรมเข้าครอบงำได้
เพราะความนึกคิดที่เกิดขึ้นในทางตัณหาหรือในทางพระธรรมพระวินัย
สภาวะอันนั้นจะเข้ามาปรุงจิตของท่านเหล่านั้น
สภาวะอันใดที่ตนนึกคิดขึ้น
สภาวะนั้นจะเข้าครอบงำจิตใจของท่านเหล่าใด
สภาวธรรมเหล่านั้นจะนำจิตใจท่านเหล่านั้นว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัยของตนในธรรมเหล่านั้น
เพราะสภาวธรรมนำเปลี่ยนแปลงให้จิตเป็นไปเห็นชอบตามสภาวะอันนั้น
สภาวะดีก็ดีไป-สภาวะชั่วก็ชั่วไป
ตามสภาวะนั้นว่าเป็นที่ดีว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัยของตนโดยไม่รู้ในเหตุและผลในสภาวะนั้น
ๆ
มันเป็นอย่างไรบ้างฯ
|
|
-
ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงทั้งหลาย
สมควรพิจารณาให้รู้แจ่มแจ้งในทางสภาวะที่มันครอบงำ
จิตใจท่านไว้นั้น
สภาวธรรมนั้นแหละมันปรุงจิตใจของท่าน
มันทำให้นึกคิดไปตามสภาวะนั้น
ผู้โง่เขลาก็เลยหลงไปตามสภาวะแห่งกามที่เห็นก็ดีที่ได้ยินก็ดี
สิ่งที่เป็นสัญญาอุปาทานที่จำได้ก็ดี
ที่ตนเคยประสบมาในสิ่งนั้น
ๆ
ที่ตนรักพอใจที่ตนกระทำลงไปแล้วก็ดี
สภาวะนั้นมันเกิดปรุงขึ้นมันทำให้รักให้ชอบโดยไม่รู้ในสภาวะนั้น
มันทำให้ตนติดไปตามในทางสภาวะที่รักนั้นโดยไม่รู้ซึ้งถึงความประกอบทุกข์
ที่จะตามมานะภายหลัง
เพราะตนปล่อยจิตใจของตนให้ไปตกตามสภาวะนั้นว่าเป็นสิ่งที่พึ่งที่อาศัยของสภาวะแห่งกาม
มันทำให้หลงเพลิดเพลินไปตามสิ่งประกอบทุกข์
เพราะสภาวะอย่างนั้นเขาต้องเป็นไปอย่างนั้น
ไม่มีเปลี่ยนแปลง
เว้นไว้แต่ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงจะยกจิตใจของตนให้ออกจากสภาวะอันนั้นเสีย
ให้ข้ามจากสภาวะธรรมแห่งกามตัณหานั้นไปเสีย
ยกจิตใจของตนเข้าไปสู่สภาวธรรมศีลพระวินัยแห่งพรหมจรรย์
ให้เดินทางไปตามสภาวธรรมอันไม่รักไม่เกลียดกายตนและผู้อื่น
ให้เป็นที่พึ่งที่อาศัยของจิตใจเช่นนี้แหละถึงจะพ้นจากกองทุกข์
|
|