-
ทางบาปอกุศล
|
|
-
ต่อไปนี้เป็นทางบาปอกุศล
ผู้ยังไม่รู้เท่าทันบาปอกุศลก็จะชักชวนกันไปตามสายทางเมืองนรกกันเป็นแถวพร้อม
ด้วยญาติมิตรหมู่คณะสามี
ภรรยา
ลูกหลานก็จะไปตกนรกกันเสียทั้งหมด
เพราะเหตุอะไรหมู่ท่านชาย-หญิงรู้กันหรือไม่
ผู้ยังสงสัยอยู่จงให้พิจารณาตามที่มีดังต่อไปนี้ฯ
|
|
-
ขอให้หมู่ท่านจงมีสติเถิด
บุญ-บาปมีจริง
บาปนั้นได้แก่ความขุ่นเคืองด้วยความนึกคิดที่เข้าไปสู่
โทสะพยาบาท
ด้วยความแสวงหาคอยจับเอาแต่ความไม่ดีแก่ท่านผู้อื่น
คอยจับเอาแต่ความทะเลาะวิวาทหรือเป็นสิ่งที่ไม่ดี
นำเอาสิ่งเหล่านั้นไปอื้อฉาวยุยงให้หมู่คณะท่านเหล่านั้นให้แตกสามัคคี
ทำให้ผู้มีศรัทธาเสื่อมคลายขาดจากศรัทธา
นำเอาเรื่องทะเลาะเข้าไปสู่จิตใจของตนให้เกิดความเร่าร้อน
แล้วนำเอาไปประจบสอพลอแก่ท่านผู้อื่นให้เกิดความขุ่นมัวตามตนไป
ด้วยผู้ไม่รู้บุญรู้บาปก็คอยโกรธเคืองตามตนไปด้วย
ท่านเหล่านี้จิตใจขาดจากศีลและธรรมไปแล้วจะหาความสงบจากตนและผู้อื่นมิได้เลยนะท่าน
เพราะท่านเหล่านั้นเดินตามทางบาปอกุศล
ก็รับผลแห่งกรรมเวรในการกระทำของท่านเหล่านั้น
ท่านอย่าไปเห็นแก่กัน
ท่านอย่าไปเห็นแก่กินด้วยทรัพย์นั้น
ๆ
ขอให้รู้ว่าบุญมีจริงบาปมีจริง
หมู่ท่านเหล่าใดหลงผิดไปตามผู้ส่อเสียดติฉินนินทา
ที่นำเอาความเร่าร้อนเข้ามาสู่ตนอยู่นั้น
อาจสามารถนำไปแจกจ่ายให้ผู้อื่นรับเอาบาปอกุศลให้ติดตามตนไปด้วย
เพราะหมวดหมู่พวกพญามารเขาก็ต้องหาเอาหมู่พวกของเขาเหมือนกัน
เพราะเขาจะไปนรกเขาก็หาเพื่อนฝูงเหมือนกัน
เพราะอาตมาภาพรู้แล้วถึงมิได้หวั่นไหวต่อหมู่ท่านกระทำบาปจองเวรนั้น
ๆ
อาตมาภาพเองก็เป็นผู้แสวงหาหมู่พวกเหมือนกัน
อาตมาภาพแสวงหาภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์ อุบาสก
อุบาสิกา
ผู้มีจิตศรัทธาสร้างบุญกุศลบารมีเพื่อจะเข้าสู่สวรรค์นิพพานเหมือนกัน
เพราะว่าทางสายก่อสร้างบุญกุศลบารมีนี้เป็นทางเมตตาสามัคคีธรรมเป็นทาง
พร้อมเพรียงเข้าสู่ทางสงบสุข
เป็นทางดำเนินเดินเข้าไปสู่มนุษย์สมบัติ
ก้าวขึ้นไปสู่สวรรค์สมบัติ
เป็นทางก้าวขึ้นโอฆะสงสาร
ก้าวขึ้นสู่พระนิพพานสมบัติ
ตัดขาดจากกองทุกข์แห่งบาปอกุศลได้อย่างสิ้นเชิงนะท่านชาย-หญิง
ขอให้พิจารณากันดูบ้าง
มันเป็นทุกข์หรือเป็นสุข
ให้พิจารณาตามสายทางที่เราจะดำเนินไปในความนึกคิดของตนนั้น
ๆ
เพราะเราท่านมาปฏิสนธิอยู่ในร่างกายสังขารของมนุษย์นี้เราจะสร้างทางเดินทาง
ไปของเราได้ทุกท่าน
ทางเดินไปนั้นมีอยู่
2 ทางด้วยฯ
|
|
-
ทางที่ 1
คือทางบำเพ็ญบุญด้วยกาย
วาจา ใจ
เป็นสิ่งออกจากพ้นทุกข์ไปได้
ทางสายนั้นแหละเป็นทางผลบุญบารมีเข้าสู่ความสุขความเจริญต่อไปตลอด
ถึงญาติมิตรพี่น้องบิดามารดา
สามี ภรรยา
ลูกหลานเหลนเราท่านนำเอาไปแจกจ่ายให้หมู่ท่านได้รับความสุขเสมอหน้ากันได้ทุกท่าน
จะได้รับผลบุญด้วยกันทั้งชาตินี้และชาติหน้าต่อ
ๆ
ไปเพราะท่านได้รับของดีที่มีคุณค่ามหาศาลด้วยความยินดีในศรัทธาในทางไม่เดือดร้อน
ในตนและผู้อื่น
เพราะท่านมิได้นำเอาสิ่งส่อเสียดทะเลาะวิวาทแต่ตนและผู้อื่นไปจำแนกแจกจ่ายให้ผู้อื่นรู้
มิให้ผู้อื่นได้ยินได้ฟังอีกต่อ
ๆ ไป
ท่านรู้ว่าคำเหล่านั้นสิ่งเหล่านั้นมันไม่ดี
มันเป็นทางอบายมุขเดือดร้อนแก่ตนและผู้อื่น
มันเป็นทางไม่ดีไม่งาม
แม้แต่จะเอาไปขายก็ไม่มีผู้จะซื้อนะท่าน
ผู้ท่านมีศรัทธาเชื่อมั่นแล้วไม่เสื่อมคลายในสิ่งที่ดีทางกายก็ประกอบหอบหุ้มเอาแต่สิ่งที่ดีด้วย
สามัคคีธรรมมิให้ในหมู่คณะใดใดเดือดร้อนในตนและผู้อื่น
มีกายเป็นสิ่งที่ดีไม่มีอัปรีย์จัญไรในกิเลสกามวัตถุกามสะสมในทางผิดไม่เอาเปรียบหมู่คณะใดใด
ไม่ฉ้อโกงจับฉวยเอาของที่มีเจ้าของที่ท่านยังมิได้ยกมอบให้
หรือเป็นสิ่งไม่ดี
ความการทำเช่นนี้ท่านไม่เอาในสิ่งเหล่านี้มันเป็นขยะมูลฝอยกองเต็มไป
อยู่ในร่างกายของท่านชาย-หญิง
มีแต่ท่านจะทิ้งออกไปให้ห่างไกลแสนไกล
เพราะมันเป็นสิ่งไม่ดี
มันเป็นเสนียดจัญไรแก่ตนและผู้อื่นให้เกิดเดือดร้อน
ท่านรู้แล้วท่านถึงไม่ยอมกระทำทางกาย
ท่านเอาแต่การกระทำที่ดี
ทางกายนำเอาไปแจกจ่ายให้แก่ปวงญาติทั้งหลายชาย-หญิงทุก
ๆ
ท่านก็จะได้รับแต่ความผาสุกทางกายต่อ
ๆ
กันไปด้วยการสามัคคีธรรมน้อมนำให้กายประชาชนทั้งโลกจักรวาล
นี้มีความสุขทางกายให้เสมอหน้ากันทุก
ๆ
ท่านดังนี้ขอให้พิจารณาในความเป็นสุขในความเป็นทุกข์ในกายตนและผู้อื่นบ้าง
สิ่งไม่ดีที่เรากระทำทางกายนี้เราเลิกได้เราละได้
เราไม่กระทำเสียดีกว่า
เราอย่าไปเอาแพ้เอาชนะในทางกายกันเลย
ความเดือดร้อนทางกายเราท่านมันจะสิ้นสุดไปในท้ายที่สุด
ให้หยุดเสียในการกระทำที่ชั่วทางกายนั้น
ๆ
เราหยุดแล้วมีแต่ของดีฝังไว้ในกายเอาไปแจกจ่ายให้ปวงญาติก็มีแต่ของดี
กายกรรม 3
ย่อมไม่มีแก่ท่านทุกตัวคน
เพราะเราแจกตั้งแต่ของดีของที่ชั่วมีอยู่ทั่ว
ๆ
ไปแต่เราอย่าเอาไปแจกจ่าย
เพราะมันเป็นของดำแห่งเพลิงเผา
เพราะมันติดต่อตากันได้ง่ายที่สุด
เพราะมันเป็นของต่ำช้าลามกไปตกที่ใดจะฉิบหายที่นั้น
ๆ ท่านชาย-หญิงเรียกไว้ว่าคนมือบอนมันคันเข้าไปสู่ทางผิดแห่งบาปอกุศลอยู่เสมอ
ๆไป
ให้พิจารณาทางกายที่ไม่ดีกันบ้าง
|
|
-
ต่อไปเป็นวาจากรรม
4
ที่จะเป็นกรรมหนักคือได้แก่การพูดส่อเสียดเบียดบังเพื่อจะแสวงหาทรัพย์จากผู้อื่น
พูดยุยงส่อเสียดให้หมู่คณะหรือประชาชนให้แตกสามัคคีออกจากกันไป
พูดทะเลาะหาเอาสิ่งไม่ดีไปนินทาว่ากล่าวอื้อฉาวไปทั่ว
ๆ
โจมตีลัทธิของท่านผู้อื่นแตกกระเด็นไป
พูดใส่ร้ายป้ายสีต้องติท่านผู้อื่นว่าท่านไม่ดีประจบสอพลอ
พูดไปตามสังคมต่าง
ๆ
ให้ท่านว่าเราดี
อัคคีเผาโดยไม่รู้ตัวเพราะความโง่เขลาของตนนั้นเองฯ
|
|
-
ต่อนี้เป็นมโนกรรม
3
เกิดขึ้นด้วยความนึกคิดของตนนั้นเอง
นึกคิดว่าสิ่งอันใดเป็นสิ่งไม่พอใจตน
ก็คิดพายาบาทจองเวรคิดอาฆาตมาดร้ายอยากให้ท่านผู้อื่นพินาศฉิบหาย
คิดทำอันตรายแก่มนุษย์และสัตว์ไม่ให้มีความสุข
คิดหาทางให้ภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์ อุบาสก
อุบาสิกา
ให้แตกจากหมู่คณะในทางดีหรือทางชั่วก็ตาม
คิดทำร้ายผู้ทรงเพศพรหมจรรย์ให้ห่างไกลจากศีลและธรรม
กรรมเหล่านี้เรียกว่ากรรมหนัก
มีแต่พวกหมู่มิคสัญญีนั่นเองเขาคิดกันในธรรมเหล่านี้นะหมู่ท่านชาย-หญิง
กรรมเหล่านี้พระพุทธเจ้าห้ามนักห้ามหนามิให้กระทำนะท่าน
ดูก่อนหมู่ท่านทั้งหลายชาย-หญิงขอให้หมู่ท่านพิจารณาในตนของตนในสิ่งพูดประจบสอพลอ
ธรรมเหล่านี้มันมีประจำจิตใจอยู่ในสันดานของสัตว์และมนุษย์
มันมีอยู่แล้วประจำสันดานอยู่ทุกตัวคน
มันเป็นทางตัณหาอวิชชาความมืด
มันติดตามจิตใจของมนุษย์และสัตว์เสมอมา
หมู่เราท่านถึงได้ยินดียินร้าย
รักบ้าง
เกลียดบ้าง
ธรรมเหล่านี้แหละมันกระทำให้จิตใจมนุษย์และสัตว์วนเวียนว่ายเกิดตาย
หลงอยู่ในความประกอบทุกข์อยู่เสมอ
ๆ
ผู้ไม่พิจารณาเลยไม่รู้ตัวเลยหลงไปตามนึกคิดในความประจบสอพลอนั่นเอง
ความประจบสอพลอนั้นแหละมันเป็นสายทางให้ก่อเกิดบาปอกุศลนะท่าน
ขอให้พิจารณาในตนให้ละเอียดสักหน่อยเถิด
หมู่ท่านชาย-หญิงอาตมาภาพเป็นห่วงหมู่ญาติมิตรที่มีจิตใจมาปฏิสนธิอยู่ในร่างกาย
ของมนุษย์และสัตว์อยู่ทุกวันนี้
ก็จะหลงไปตามสายทางบาปอกุศลกันไปทั้งหมด
เพราะความไม่รู้เท่าเลยหลงคอยเอาแต่ความชนะ
หลงปล่อยจิตใจของตนให้ขาดจากไตรสรณะคมณ์ไปทั้งหมดมันจะมีผลดีไปได้อย่างไร
คิดเอาไฟมาเผาตนเองอยู่ทุกคืนวันเช่นนี้ให้ละเสียเถิดหมู่ท่านชาย-หญิง
มันเป็นทางในผลที่ชั่วลามก
มันเป็นทางที่จะลงไปสู่นรกโลกันต์
ท่านเหล่าใดพิจารณารู้เหตุผลในธรรมเหล่านี้จะรู้ได้ดีที่สุด
แต่กายสังขารยังไม่ทันตายมันก็เกิดวุ่นวายเศร้าโศกกันไปแค่ไหนกันเล่า
เมื่อกายสังขารแตกดับตายไปแล้ว
ทางจิตใจเราท่านมันจะทุกข์ไปแค่ไหน
มันจะเพิ่มความทุกข์ขึ้นไปอีกเป็นแสน
ๆ เท่า
นะหมู่ท่านชาย-หญิง
เพราะจิตใจเดินสายทางผิด
คิดกลับแยกสายทางเสียเถิดยังไม่ทันสายดอกหมู่เราท่านชายและท่านหญิง
เพราะกายสังขารหมู่เราท่านยังอยู่พอจะเลิกละได้ในทางบาปอกุศลฯ
|
|
-
ที่อาตมาภาพได้กล่าวมาแล้วนี้มีทางจะไปได้อยู่
อย่าพากันหลงไปเลยในป่าพญาไฟ
มันมิใช่เป็นทางมรรคและผลดอกท่าน
หมู่เราท่านจงแยกทางมุ่งหน้าเข้าสู่ดงพญาเย็นกันเถิด
คือ ทางศีล
สมาธิ ปัญญา
ของพระพุทธเจ้ายังมีอยู่เป็นคู่กับความสุข
ทุกข์นั้นไม่มีอเวจีต้องไป
ไฟนรกไม่มาถึงเครื่องดึงดูดโลภะอัคคี
โทสะอัคคี
โมหะอัคคี
จะลุกลามมาหาก็ไม่ถึง
เพราะเชื้ออกุศลไม่มี
เพราะหลีกหนีไม่ห่างจากสายทางอกุศลจิต
ไฟนรกโลกันต์จะตามเราท่านไม่ได้
เพราะศีลเป็นแม่น้ำสมุทรใหญ่ไพศาลหาประมาณมิได้
สมาธิเป็นเคมี
ปัญญาเป็นฝนห่าแก้วสกัดแล้วไฟทั้งปวงไปได้ไม่ถึงนะท่านชาย-หญิง
ผู้ท่านเหล่าใดยกจิตใจเข้าไปสู่ศีล
สมาธิ ปัญญา
ได้แล้วไฟราคะ
ไฟโลภะ ไฟโทสะ
ไฟโมหะ
จะลุกลามสักเท่าใดก็ตามย่อมเข้าไม่ถึงจิตใจของท่านเหล่านั้นได้
ไฟที่กล่าวมานี้จะลุกลามเข้าไปถึงจิตใจได้ก็เพราะท่านเหล่านั้นปฏิบัติยังไม่รู้เท่ากาย
สังขารตนและผู้อื่น
ว่ามันเป็นทุกข์หรือเป็นสุข
เราท่านจะได้พลัดพรากจากกายสังขาร
เราท่านไปหรือไม่
ถึงเมื่อความพลัดพรากจากกายสังขารมาถึงเข้าแล้วมันเป็นทุกข์หรือเป็นสุข
ความนึกคิดบังเกิดขึ้นในจิตนั้นนานาประการ
จะนึกดีก็ตาม
จะคิดชั่วก็ตาม
ให้เกิดดีใจและเสียใจก็ดี
มันเป็นหน้าที่ที่ท่านหลงผิดไปติดกายสังขารตนและผู้อื่นนั่นเอง
ถึงแก้ใจได้ยาก
แก้จิตแก้ใจนั้นมันแก้ไม่ได้ดอกหมู่ท่านชาย-หญิง
ขอให้แก้กายสังขารตนและผู้อื่นนั้นมันถึงจะหลุดพ้นออกไปได้นะหมู่ท่านชาย-หญิง
ความนึกคิดอันใดใดก็ดี
ที่มันเกิดแก่ท่านโดยไม่รู้ตนเลยก็มี
สิ่งอันนั้นก็เพราะกายสังขารที่ท่านถือว่าเป็นตัวบุคคลเราเขาอยู่นั่นเอง
ถึงได้เกิดความนึกคิดอยู่ไม่หยุดไม่หย่อน
แม้แต่กายสังขารตายแตกดับไปแล้วก็ตาม
หมู่ท่านก็นำเอามานึกคิดอยู่ไม่หยุดไม่หย่อนไม่ใช่หรือฯ
|
|
-
ขอให้หมู่ท่านแยกเอากายสังขารตนและผู้อื่นมาพิจารณากันบ้าง
ให้มันเกิดปัญญารู้เท่าทันกายสังขารตนและผู้อื่นกันบ้าง
ว่ากายสังขารนี้มิใช่ตัวตนบุคคลเราเขา
เกิดขึ้นมาแล้วย่อมตายดับไป
ทนอยู่มิได้
ให้พิจารณารู้แจ้งกันเสียบ้าง
อย่าไปต้องติแต่ใจของจนว่ามันยากลำบากลำบนกันมากนัก
เพราะจิตใจชาย-หญิงทุกเพศทุกวัยที่มันเกิดนึกคิดยู่ไม่หยุดหย่อนนั้น
ก็เพราะกายสังขารที่ปรุงขึ้นนั่นเอง
ส่งให้ติดอยู่ก็มีสิ่งให้หลงเพลิดเพลินเที่ยวเตร่ไปมาพรรณนาไม่ไหว
ให้พิจารณาเอาเอง
ส่วนที่ว่าจิตใจนึกคิดไม่หยุดไม่หย่อนนั้นเป็นผู้ไม่รู้เท่า
กายสังขารถึงได้นึกคิด
กลุ้มจิตกลุ้มใจของอยู่ไม่มีหยุดหย่อน
กายสังขารที่ปรุงขึ้นอยู่ในโลกกามภพโลกมนุษย์นี้มีอยู่ออกมากมายหลายชนิดต่าง
ๆ กัน จิตใจชาย-หญิงถึงได้หลงอยู่
นึกคิดโดยมัวเมาอยู่
ถึงได้ถอนจิตใจของตนออกจากโลกนี้ได้ยาก
เพราะตนยังไม่มีปัญญาที่จะรู้เท่าทันกายสังขารที่ก่อเกิดขึ้นนั้นยังไม่มี
เลยไปต้องติจิตใจของตนอยู่เสมอไป
กายสังขารที่มีใจครองมีวิญญาณครองอยู่ก็มีคือ
มนุษย์และสัตว์นั่นเอง
สังขารที่มีใจครองแต่ไม่มีวิญญาณครองคือ
ต้นไม้และใบหญ้านานาชนิดนั่นเอง
สังขารคือสังขารที่มนุษย์ปรุงขึ้นเป็นเครื่องใช้สอยนานาชนิดนั่นเอง
ธาตุสังขารที่ปรุงขึ้นเองโดยธาตุแต่ไม่มีใจครองไม่มีวิญญาณครองคือหินเผาและดินนานาชนิด
กายสังขารเหล่านี้แหละกระทำให้ผู้ยังไม่รู้เท่ากายสังขารว่ามันเป็นอะไรถึง
ได้ทำจิตใจให้นึกคิดอยู่ไม่หยุดไม่หย่อน
ขอให้พิจารณาในกองสังขารเหล่านี้ด้วย
ความนึกคิดนานาประการในกายสังขารของภพทั้งสามนี้แหละมันทำ
ให้จิตใจนึกคิดไม่หยุดไม่หย่อนให้พิจารณากันบ้าง
สังขารภายนอกที่เรารู้เห็นกันอยู่ภายนอกนั้น
ผู้ไม่รู้เท่าทันก็ว่าเป็นของสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตนไปเสียอีก
ความนึกคิดเช่นนี้อาตมาภาพเองก็เคยถูกนึกคิดมาแล้วเหมือนกันถึงได้มาจำแนก
ให้ฟังให้อ่านดูให้พิจารณาไป
มันจะออกมันจะหนีจากกายสังขารเหล่านี้ได้หรือเปล่า
ให้พิจารณาดูด้วยกัน
ถ้าเราออกได้หนีได้มันจะเป็นอย่างไร
มันจะเป็นทุกข์หรือเป็นสุข
หมู่เราท่านอย่างไรต่อนี้ยังมีกายสังขารอีกอย่างหนึ่งคือ
กายสังขารเราท่าน
จิตใจวิญญาณเราท่านที่มาอาศัยปฏิสนธิอยู่ได้พาท่านเดินไปเดินมาอยู่ทุกวันนี้
หมู่ท่านรู้ตัวกันแล้วหรือยัง
กายสังขารที่ประจำอยู่ทุกวันนี้มันเป็นทุกข์หรือเป็นสุข
หมู่ท่านรู้กันแล้วหรือยัง
ถ้ายังไม่รู้จงอ่านต่อไป
ทุกข์อันใดอยู่ในโลกจักรวาลนี้จะยิ่งกว่าทุกข์ในกายสังขารนี้ย่อมไม่มี
ผู้หลงเพลิดเพลินอยู่ในกามมิได้พิจารณาในกายสังขารที่ตนมาปฏิสนธิอยู่ในตน
และผู้อื่นก็ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์อยู่นั่นเอง
สิ่งที่หลงเพลิดเพลินอยู่ในโลกจักรวาลนี้ไม่มีสิ่งอันใดจะยิ่งกว่าย่อมไม่มีนะท่าน
ถึงไม่รู้กองทุกข์เพราะเหตุเหล่านี้มันปิดบังไว้
มันตันตา ตันหู
ตันจิตใจท่านชายและหญิง
ไว้ไม่ให้รู้เหตุแห่งทุกข์ไปได้
ความหลงให้บังเกิดแก่จิตใจทั้งหลาย
ให้หลงรักซาบซึ้ง
ทำให้เกิดตามสภาพร่างกายซึมซาบเข้าไปถึงร่างสังขารแห่งเบญจขันธ์คือ
รูป เวทนา
สัญญา สังขาร
วิญญาณ
ให้สะเทือนเข้าไปสู่จิตใจ
ให้เกิดเห็นชอบไปตามความรักความกำหนัด
เกิดอยากสัมผัสถูกต้องในกายสังขารตนและผู้อื่นนั้นคือมันเป็นเชื้อชนิดหนึ่ง
อันนั้นแหละมันทำให้ก่อเกิดกายสังขารในความรักแห่งกามนั้น
ๆ
คือมันเป็นเชื้อติดเนื่องกันมาจากเผ่าพันธุ์
เชื้อเหล่านี้เรียกว่ากามตัณหา
ทำให้เกิดเป็นเผ่าพันธุ์เชื้อเหล่านี้ทำให้จิตใจ
เจตสิก รูป
ให้เกิดรักติดอยู่
ให้หลงอยู่ในความเกิดความตายไม่รู้เท่ากายสังขารตนและผู้อื่น
ว่ามันเป็นทุกข์หรือเป็นสุขหารู้ได้ไม่
เพราะความหลงมัวเมาอยู่กับเชื้อเผ่าพันธุ์น้อมนำเอาจิตใจ
เจตสิก
รูปให้มาเกิดติดให้มาปฏิสนธิรักใคร่
หลงอยู่ในกายสังขารตนและผู้อื่นอย่างเราท่านชาย-หญิงอยู่กันทุก
ๆ วันนี้ฯ
|
|
-
ขอให้พิจารณาดู
ตรวจค้นหาเอามาพิจารณา
มันมีอยู่ในตนทุกคน
มันมีอยู่แล้วไม่ต้องไปค้นหาตำรับตำราที่ไหนกันอีกดอกท่าน
บ้านของตนให้ตรวจค้นให้มันจบ
เราจะรู้ว่าอะไรมันทำให้เกิดซาบซ่านแห่งความรักและความรังเกียจเบียดบังเอาไว้
ทำให้จิตใจหลงมัวเมาอยู่ถึงไม่รู้ทุกข์ว่าเป็นไปได้เพราะเหตุผลอะไร
จิต เจตสิก รูป
เราท่านยังจะเข้าสู่พระนิพพานได้อยู่ทุกตัวคน
ไม่ว่าท่านชายและท่านหญิงไปเข้าสู่พระนิพพานได้ทั้งนั้น
เราหลงติดอะไรอยู่ให้พิจารณาตรวจค้นดูให้แจ่มแจ้งแห่งปัญญากันบ้าง
ในเวลานี้หลง อยู่ในความมืดแห่งอวิชชาตัณหาหมู่กาม
มันทำให้เพลิดเพลินบ้าง
ให้รักให้เกลียดบ้าง
ล้วนแต่ความมืดทั้งนั้น
บางครั้ง
บางคราวมันทำให้กลุ้มจิตใจก็มี
ให้เกิดฟุ้งซ่านหดหู่อยู่ในความมืดไม่รู้อะไรเป็นอะไรก็มี
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นก็เพราะตนหลงไปติดอยู่ในกายสังขารตนและผู้อื่น
ว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขานั่นเอง
สิ่งที่กล่าวมานี้ถึงเมื่อเกิดขึ้นแก่จิตใจเลยหลงไปตามเรื่องตามราว
หลงตามอารมณ์นานาประการ
โดยไม่พิจารณาหลงไปตามความเศร้าโศกหาว่าดีอยู่เสมอ
ๆ ไป
ตายเกิดอยู่ร้อยชาติพันชาติก็ไม่รู้อยู่นั่นเอง
หลงติดอยู่ในมนุษย์สมบัติอันนี้ขัดกันกับทางพระนิพพานนะท่านชาย-หญิง
สะสมวัตถุกามความกำหนัดอันนี้ตัดหนาปิดทาง
พระนิพพาน
ด้วยตนเอง
นะท่าน
กิเลสกาม
ความกำหนัด 1
วัตถุกามความสะสม
1
สองอย่างนี้เป็นเรื่องของ
กายสังขาร
ผู้ไม่รู้ก็หลงว่าเป็น
ที่พึ่งที่อาศัยเลยหลงติดอยู่
ถึงเมื่อกายสังขารแตกดับ
ไปจากโลกนี้แล้วมิได้เอา
ติดตามไป
ส่วนใจจิต
เจตสิก
รูปนั้นที่ไม่ตายได้ออกจากกายสังขารไปก็เป็นห่วงใยนึกคิดถึงสิ่งที่ตนหลงติดนึกคิดอยู่นั้น
ก็ต้องวนเวียนอยู่ที่ตนติดแห่งกามความกำหนัดนั้น
ๆ
ที่ตนได้สะสมวัตถุกามนานาประการนั้น
พาให้หลงเวียนวนมาปฏิสนธิตามกายสังขารของมนุษย์และสัตว์นานาชนิดเมื่อกายสังขาร
เกิดมาแล้วต้องได้พลัดพรากจากกันไป
ทนอยู่มิได้ทางใจจิต
เจตสิก
รูปนั้นก็เกิด
โทมนัส
โศกาเศร้าโศกอุปายาสไปต่าง
ๆ นานา
พรรณนาไม่ไหวเพราะใจจิต
เจตสิก
รูปเราท่าน
เป็นธรรมอันไม่ตายดับสูญไป
ดังกายสังขารของมนุษย์และสัตว์
ความนึกคิดที่หลงติดอยู่ในกายสังขารแห่งกามความกำหนัดที่มีอยู่ในกายสังขารตนและผู้อื่น
อันนี้แหละกระทำให้วนเวียนว่ายหลงติดอยู่ในกายสังขารที่พลัดพรากตายแตกดับ
มีแต่โทมนัสโศกเศร้าโศกาอุปายาสร้องไห้รำพึงรำพัน
โศกเศร้าไปมาพรรณนาไม่ไหว
จะหาทางรู้ในทางปัญญาก็ไม่มีเลยไม่รู้ทุกข์หรือสุข
เพราะตนหลงติดอยู่ในหมู่กามความกำหนัดแห่งกายสังขารของท่าน
ชาย-หญิงที่พลัดพรากแตกดับตายไปที่ทนอยู่มิได้
เพราะความหลงผิดถึงได้ไปติดกายสังขารของมนุษย์และสัตว์
หลงทุกข์ทั้งปวงเพราะกามความกำหนัดปิดบังใจจิต
เจตสิก
รูปของท่านชาย-หญิงไว้ไม่รู้เท่าทันแห่งกายสังขารต่อไป
กายสังขารเราท่านเป็นธาตุ
4 คือ น้ำ ดิน ลม
ไฟ
ประกอบกันอยู่เป็นกายสังขารรวมรูปร่างคือมนุษย์และสัตว์
ชาย-หญิง
น้ำอาโป 12
ล้วนแต่น้ำมีเชื้อให้เกิดนึกคิดรักใคร่โดยความกำหนัด
มันทำให้จิตใจนึกคิดไปตามเชื้อของเขา
ไม่ให้เกิดบีฑาเบื่อหน่ายคลายจากความกำหนัดในกายสังขารได้ง่าย
ๆ
ไม่ให้รู้ในสิ่งสกปรกมูตรคูถไปได้ง่าย
ๆ
มันทำให้จิตใจติดอยู่ในที่นั้น
ดินเป็นธาตุปฐวี
20 นับแต่ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง
เป็นสิ่งที่ห่อหุ้มโครงกระดูก
ห่อหุ้มเอาอาหารเก่าและใหม่ไว้หล่อเลี้ยงกายสังขารเขาไว้เพื่อกันเวทนา
ให้เกิดเป็นรูปชาย-หญิงอย่างเราท่านอยู่กันทุกวันนี้
ธาตุเหล่านี้มีเชื้อมันทำให้จิตใจชาย-หญิงหลงติดอยู่ไม่ให้รู้ในอสุภะ
10 ไปได้ง่าย ๆ
รู้ได้แต่ว่าคนตายซากศพว่าผีเท่านั้นพวกธาตุทั้งหลายก็ปิดบังไว้ให้เกิดรักธาตุที่เป็นอยู่ต่อๆ
ไปอีกผู้ยังไม่มีปัญญาก็หาทางหลีกมิได้เลยหลงรักหลงเกลียดอยู่ในหมู่ธาตุชาย-หญิงอยู่นั่นเอง
จะหาปัญญาน้อมเอาจิต
เจตสิก รูป
ของตนที่มาปฏิสนธิอยู่ในร่างกายสังขารของตนให้ออกจากธาตุนั้นไปเสียให้พ้นภัย
ที่เศร้าโศกอยู่นั้นก็ไม่เป็น
เห็นขี้ดีกว่าไส้ติดตายเพระกามตัณหาพญามารขันธมารคือ
รูปกายสังขารเข้ามาพาลจิตใจชาย-หญิง
ให้หลงอยู่ในรูปกายภายนอกนั้นเองท่านจะเก่งไปขนาดไหนก็เก่งไปเถิด
ท่านจะกล้าก็ให้กล้าไปขนาดไหนก็ให้กล้าไปเถิด
มิได้พ้นจากความตายไปได้ดอกหมู่ท่านชาย-หญิงฯ
|
|
-
ธาตุไฟ
เตโชเป็นไฟ 4
ให้ความอบอุ่นอยู่ในร่างกายสังขารชาย-หญิงนั้น
ธาตุนี้มีเชื้อมีพิษอย่างร้ายแรง
ทำให้จิตใจของมนุษย์และสัตว์นึกคิดอยากสัมผัสถูกต้องเพศตรงกันข้ามอยู่เสมอ
ๆ
ไปไม่หยุดไม่หย่อนแม้แต่กายสังขารนอนหลับไปแล้วก็ยังฝันไปสัมผัสกายสังขารท่านผู้อื่น
เพราะธาตุไฟนั่นเองธาตุเหล่านี้มันเก่งขนาดไหนขอให้ภิกษุ-สามเณร
ชี-พราหมณ์
ไตร่ตรองพิจารณาดูในธาตุเหล่านี้ด้วย
ท่านอย่าไปหลงต้องติแต่จิตกับใจว่ามันนึกคิดไปต่าง
ๆ นานา
ไปหลงห้ามแต่จิตใจเลยไม่รู้มรรคและผล
เพราะตนยังไม่รู้ซึ้งถึงธาตุแห่งพญามาร
ส่วนจิต เจตสิก
รูป
ของท่านนั้นเป็นประภัสสรนอนนิ่ง
ปฏิสนธิอยู่ในร่างกายสังขาร
เพราะความหลงวนเวียนอยู่ในหมู่กองธาตุทั้งหลายนั่นเองฯ
|
|
-
ลม 6 วาโยธาตุ
ที่เดินตามสภาพร่างกายสังขารชาย-หญิงอยู่นั่นเอง
ก็เป็นเชื้ออย่างร้ายแรง
เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดรับอารมณ์ต่าง
ๆ ดีบ้าง-ชั่วบ้าง
หมุนเวียนป่วนปั่นอยู่ในร่างกายสังขาร
ให้เกิดรักชอบในสิ่งที่ประสบกับอารมณ์นั้น
ๆ
ให้เกิดรังเกียจเสียดสีต้องติกล่าวในเรื่องราวสามหาวต่าง
ๆ
รักบ้างเกลียดบ้าง
โลภโมโทโส
อวดตัวอวดตนเล่ห์กลต่าง
ๆ
คิดไปทวนมาฟุ้งซ่านหงุดหงิดเพลิดเพลินไปมาร้องบ่นออกมาด้วยวาจาคือลมปาก
เสียงที่ไพเราะเพราะพริ้งเกิดหลงมัวเมาในธาตุสังขาร
หลงเที่ยวรอบจักรวาลเสพสมต่าง
ๆ
หาว่าเพลินใจผิดห่างออกไปตั้งแสนโยชน์
จิตใจไม่มีโทษดอกหมู่ท่านทั้งหลายทั้งชายและหญิง
เราไม่รู้หลงไปติดต้องแต่หัวใจ
ไฟลุกอยู่ที่ไหนให้ดับที่นั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นก็เพราะธาตุจะไปดับที่จิตจะไปดับอย่างไรกันเล่าฯ
|
|
-
ถ้าผู้ปฏิบัติไม่รู้เห็นงูว่าปลาไหล
กายสังขารหรืออสรพิษที่ร้ายแรงที่สุด
เพราะธาตุประชุมกันอยู่มีเชื้อมีฤทธิ์มีพิษร้ายยิ่งกว่าพิษนานาประการ
จนพรรณนาไม่ไหว
ตายแล้วก็ยังมีพิษติดเนื่องกันไป
พวกหมู่ไสยศาสตร์ยังเอาธาตุคนตายไปทำเล่ห์กลต่าง
ๆ ให้รักให้เกลียด
เพราะธาตุเลือดโลหิต
อาโป 12 ปฐวี 20
พวกรูปธาตุทั้งหลายตายแล้วยังมีพิษอยู่นะหมู่ท่านชายและท่านหญิง
อาตมาภาพ อนํคโณ
ภิกขุ
บรรยายจำแนกธาตุไว้โดยย่อ
ๆ
พอเป็นสังเขปให้ผู้ปฏิบัติธรรมชาย-หญิง
ได้ใคร่ครวญพิจารณาติดตามดูอยู่ในกายสังขารของท่านทั้งหลายให้ดูพิจารณา
เอาเถิดด้วยปัญญาอันยิ่ง
จะเกิดโทษเพราะอะไรกันแน่
ขอท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
ผู้ยังไม่รู้หลงไปติแต่จิตกับใจอยู่นั่นเอง
|
|
-
กามความกำหนัดรักใคร่นั้นเกิดเพราะธาตุน้ำเป็นมูล
ความโลภอยากได้สิ่งนั้น
เกิดเพราะธาตุดินเป็นมูลเหตุและความโทสะหึงหวงดุร้ายนั้นเกิดเพราะธาตุไฟเป็นมูล
ความโมหะหลงกลัวอยู่นั้นเกิดเพราะธาตุลมเป็นมูล
ผู้ปฏิบัติท่านชายและท่านหญิงโดยไม่รู้เท่ากายสังขารตนและผู้อื่นเลย
นึกคิดแสวงหาทางดับทางโลภ
โกรธ หลง
อยู่นั่นเอง
แสวงหาไปจนตายก็ไม่เจอ
เพราะตนยังไม่รู้เท่าทันกายสังขารของตนว่าอย่างไร
จะไปรู้เท่าทันกายสังขารผู้อื่นได้อย่างไร
ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะรู้เท่าทันกายสังขารของมนุษย์และสัตว์กายตนและผู้อื่น
กายสังขารเหล่านี้เกิดขึ้นมาเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เกิดมาแล้วมีแต่ความไม่เที่ยงแปรผันไปมา
แก่ชราแล้วก็เป็นทุกข์เวทนาหาประมาณมิได้
จวนใกล้จะตายยิ่งทุกขเวทนาหนักจนขาดใจตายเป็นทุกข์แสนสาหัสดังนี้
ผู้ปฏิบัติภิกษุ-สามเณร
ชี-พราหมณ์
ต้องรู้ในธรรมเหล่านี้เสียก่อนทุก
ๆ
ท่านถึงได้พิจารณา
เกศา โลมา นะขา
ทันตา ตะโจ
เข้าไปสู่หมู่ธาตุที่ปรุงกายสังขารของมนุษย์และสัตว์ที่เกิดมาเพราะอะไร
เหตุให้มนุษย์และสัตว์เกิดนั้นมันคืออะไรเป็นมูลฐาน
เราจะไม่เกิดอีกไม่ได้หรือ
ผู้ปฏิบัติต้องแสวงหาทางออกจากความพ้นทุกข์ต่อไปไม่ใช่หรือ
ให้พิจารณารูปธาตุ
อาโป 12 ปฐวีดิน 20
รวมกันเข้าเป็นรูปกายสังขารของมนุษย์และสัตว์ชายและหญิงที่เห็นกันอยู่ด้วยตานอก
อยู่อย่างทุกวันนี้ก็รวมกันเข้าครอบอาการ
32
เกิดขึ้นเป็นรูปมนุษย์และสัตว์
นามนั้นเป็นบุคคลบัญญัติ
ส่วนเตโชธาตุไฟ
4 วาโยลม 6
รวมกันเข้าเป็น
10
อันนี้เป็นสภาวธรรมน้อมนำให้กายสังขารที่เป็นอยู่
อากาศธาตุ-วิญญาณธาตุ
รวมกันเข้าให้เกิดความนึกคิดรู้ไปตามอาการนึกคิดเดาไปคาดคะเนไปต่าง
ๆ
นานาพรรณนาไม่ไหวในพวกหมู่กามตัณหาสามโลกธรรมแปดประการ
หาทางจะสิ้นสุดมิได้ไม่มีประมาณ
ใจเป็นมะโนวิญญาณทั้ง
6
ทำให้รู้เห็นบ้าง
ได้ยินบ้าง
รู้กลิ่นบ้าง
รู้รสบ้าง
รู้สัมผัสถูกต้องบ้าง
รู้นึกคิดดีชั่วบ้าง
หาประมาณมิได้
โลกบ้าง
ธรรมบ้าง
รักบ้าง
เกลียดบ้าง
วิตกบ้าง
วิจารณ์บ้าง
สำหรับภพทั้งสามที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่นี้ฯ
|
|
-
ผู้ปฏิบัติคือภิกษุ-สามเณร
ชี-พราหมณ์
อุบาสก-อุบาสิกา
4
เหล่านี้ให้รู้แนวทางเพื่อประโยชน์อะไรหรือ
เพื่อประโยชน์ดังนี้คือ
กรรมฐานห้า
สมถะก็ดี
วิปัสสนาก็ดี
ศีล สมาธิ
ปัญญาก็ดี
ท่านให้ปฏิบัติจิตของตนให้รู้ได้ในทางธาตุเหล่านี้ที่กล่าวมา
เพราะว่าธาตุเหล่านี้มันชอบนึกชอบคิดในเรื่องสัมผัสบ้าง
ในเรื่องถูกต้องบ้าง
ชอบเที่ยวเตร่ไปมา
ดูธาตุต่าง ๆ
ดูการเล่นเพลิดเพลินไปมา
เพราะธาตุเหล่านี้หาผลได้ยาก
การปฏิบัติท่านต้องการจะให้รู้ในธาตุเหล่านี้มิให้ประปนหลงอยู่ในธาตุหมู่กองสังขาร
ความนึกคิดที่อยู่ในภพทั้งสามนี้
รวมตั้งแต่พวกหมู่กองธาตุด้วยกันทั้งนั้น
ส่วนจิต เจตสิก
รูป นิพพาน
สี่อย่างนี้รวมกันเข้าเป็นรูปอย่างเดียวกัน
หนึ่งไม่มีสองไม่มีการเปลี่ยนแปลงเรียกว่ารูปอสังฆตธรรมที่อยู่ของรูปเหล่านี้คือ
พระนิพพาน
คือออกจากธาตุที่กล่าวมานั้นสิ้นไปมิได้
เชื่อมั่นในความนึกคิดของท่านเหล่านั้น
เพราะธาตุเหล่านั้นเขานึกคิดอยู่ไม่หยุดหย่อน
เพราะมันเป็นเรื่องของธาตุ
ผู้ปฏิบัติขอให้รู้ในธรรมเหล่านี้
ถ้าธาตุเขาจะนึกคิด
ก็ให้เขานึกคิดไปเถิด
แต่จิตเจตสิกรูปพระนิพพานนั้นอย่าตามเขาไป
อย่ากระทำตาม
อย่าเอามาเป็นอารมณ์
ท่านอย่าไปหลงข่มจิตของตนประเดี๋ยวจะเกิดความฟุ้งซ่านหงุดหงิดว่าจิตไม่สงบ
เลยหลงผิดโดยลับ
ๆ
เพราะตนยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั่นเอง
หลงไปโทษแต่จิต
เจตสิก ของตน
ถ้าผู้ปฏิบัติยังไม่รู้ธาตุที่กล่าวมาแล้วนี้จะไปรู้เจตสิกได้ย่างไรกันเล่า
ธาตุทั้งหลายเกิดความนึกคิดอยู่ไม่หยุดหย่อน
เพราะจำพวกธาตุเขาเป็นอย่างนั้นผันแปรอยู่เรื่อย
ๆ ไป
เรายังไม่รู้ก็อย่าไปหลงตู่ว่าแต่จิต
มันก็ผิดห่างไกลกัน
เปรียบเหมือนฟ้าห่างไกลกับดินฉันนั้น
ห่างกันจนมองไม่เห็นนะท่านชายและท่านหญิงขอให้หมู่ท่านพิจารณากันเสียใหม่
ธาตุน้ำและดิน
2
อย่างนี้ครบอาการ
32
รวมเข้าเป็นกายสังขารรูปพรรณสัณฐานต่าง
ๆ
ธาตุเหล่านี้ไม่เที่ยงตายแตกดับในท้ายที่สุดนะท่านฯ
|
|
-
ส่วนธาตุไฟและลมนั้น
อากาศธาตุ-วิญญาณธาตุเป็นสภาวธรรม
ธาตุเหล่านี้เป็นสิ่งน้อมจิตให้ติดไปทางการแห่งกามตัณหาอาสวะ
โลภ โกรธ หลง
ไปตามสภาวะธาตุนั้นถึงแม้ธาตุจะทำลายพลัดพรากไปก็มีแต่โทมนัสเสียใจร้องไห้เท่านั้น
ไม่มีมรรคและผลอะไรเลยจะเอาคืนก็ไม่ได้
ค้นหาก็ไม่เจอดังนี้
ส่วนจิตเจตสิกรูปนิพพานอันนี้เป็นธรรมอันไม่ตายเราสมควร
ตั้งสติสัมปชัญญะปัญญาตามพุทธบัญญัติ
น้อมนำเอาจิต
เจตสิก รูป
ตัวเราที่มาปฏิสนธิอยู่ในร่างกายสังขารให้เข้าสู่ศีล
สมาธิ ปัญญา
ตามสภาวธรรมได้อยู่ทุกท่านชายและท่านหญิงตั้งแต่บัดนี้
แปลว่าปฏิบัติจิต
ล้างสิ่งสกปรกในความนึกคิดที่มีอยู่ในจิตของตนนั้น
ให้ออกไปให้ห่างไกลเมื่อมันจะนึกจะคิดสักเท่าไรก็ตามในหมู่ธาตุเหล่านั้น
เราจะไม่ยอมกระทำตาม
เราจะไม่ประพฤติตาม
เราไม่ไปตามสภาวะนั้น
ๆ
ดังนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติจิตของตนนะท่านชายและท่านหญิง
ธาตุทั้งหลายเหล่านั้นเปรียบเหมือนอาหารชนิดหนึ่งที่มีรสโอชาเลิศค่ามหาศาล
พญามารเป็นผู้ปรุงขึ้น
มนุษย์และสัตว์ถึงได้ติดในกายกองกันตายอยู่นับไม่ถ้วนอยู่ในน้ำและบนบก
ถมทับอยู่ในพื้นปฐพีออกมากมายยังหาตัวรู้มิได้เลย
เพราะรสแห่งธาตุที่กล่าวมา
ผู้ไม่รู้รสแห่งธาตุนี้หาทางดีมิได้
ได้แต่ทางหลงเข้าโครงผีดิบ
ไม่รู้อะไรหลงท่องเที่ยวไป
ๆ มา
อยู่ในกามภพเปรียบไปเหมือนกบเหมือนเขียดเบียดกินกันเอง
เห็นฝนก็ว่าฝน
เห็นลมก็ว่าลม
ไม่รู้โทษเหตุผลในสิ่งเหล่านั้น
ธรรมเหล่านี้เป็นของจิตคิดได้คิดเอาเป็นทางปฏิบัติจิตติดธาตุหลงประมาทตนเอง
เราเชื่อธาตุกามตัณหาอาสวะก็ยังเชื่อกันได้
ติดตามกันมาตั้งร้อยชาติแสนชาติลืมจำไม่ได้
เลยหลงพูดออกมาว่าเราเกิดหนเดียวตายหนเดียวเท่านั้น
ที่เราเกิดมาแล้วแต่อดีตชาติออกมากมายมันเกิดมามากจนนับไม่ไหว
เลยไม่เอาใจใส่ในเรื่องเกิดตายดังนี้ต่างหาก
เพราะตนหลงอยู่ในกองของพวกหมู่แห่งธาตุ
เห็นกายสังขารถือว่าตัวตน
ไม่รู้จักว่าธาตุเกิดเป็นสังขาร
ธาตุเหล่านี้ทำลายตนเอง
ปรุงขึ้นมาแล้วก็สลายไปเองนะท่าน
ขอจบเรื่องหมู่ธาตุไว้แต่เพียงย่อ
ๆ
ขอให้ท่านทั้งหลายจงใช้ความพิจารณาเอาเองทุก
ๆ ท่านเถิด
|
|
-
|
วัวควายคชชีพสิ้น
|
สลายลงแล้วแฮ
|
|
|
มีส่วนเขางาคง
|
คั่งค้าง
|
|
|
นรชีพสิ้นปลดปลง
|
เหลือสิ่ง
ใดนา
|
|
|
มีแต่ดี-ชั่วอ้าง
|
ประดับไว้
ให้เห็น
|
|
|
|