-
ธรรมไม่ให้กล่าวคำประมาท
|
|
-
ดูก่อนท่านทั้งหลายชายหญิงทุกเพศทุกวัย
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าท่านทั้งหลายอย่าเป็นผู้ประมาท
ให้ปฏิบัติถึงพร้อมด้วยตนและผู้อื่น
โดยความไม่ประมาทเถิดดังนี้
โดยความไม่ประมาทนั้นอาจจะไม่รู้เสียก็ได้เพราะมันมีมาก
มีดังต่อไปนี้
|
|
-
ความเรายังไม่รู้ซึ้งถึงบุญและบาปนั้นเอง
ความประมาทนั้นว่าคนเรา
ภิกษุ สามเณร
ชี พราหมณ์
อุบาสก
อุบาสิกาอยู่ในโลกนี้
ไม่มีใครจะปฏิบัติตามศีล
สมาธิ ปัญญา
ได้หรอกมีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นจะปฏิบัติได้
นอกจากนั้นจะปฏิบัติไปตามท่านไม่ได้
ไม่มีในโลกคำเช่นนี้แหละ
ท่านเรียกว่าประมาทตนและผู้อื่น
เป็นคำทำลายศีลและธรรม
ศาสนา
ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้เศร้าหมองไปอีก
ขาดจากความเคารพแห่งจิตประชาชนทั้งปวงไปอีกด้วย
|
|
-
อีกอย่างหนึ่งนึกคิดเดาเอาตามใจของตนที่เชื่อมั่นอยู่ในตัณหาอาสวะ
โลภ โกรธ หลง
ของตนที่มีอยู่
กล่าววาจาออกมาว่า
ในสมัยนี้พระโสดา
พระสักกิทาคา
พระอนาคา
พระอรหัต
พระอรหันต์ไม่มี
และไม่เคยเห็นมีอยู่ที่ไหน
ผู้ใดเคยเห็นบ้าง
ตั้งแต่บวชเป็นพระครูเจ้าคุณอุปัชฌาย์อาจารย์
บวชมาหลาย ๆ
ปีก็ยังสึก
อย่างเราทุกวันนี้ก็ต้องปฏิบัติไปไม่ได้
คำกล่าวเช่นนี้ท่านเรียกว่า
พวกหมู่คนเขลา
ที่ประมาทตนและผู้อื่น
เพราะตนยังอยู่ในกาม
โลภ โกรธ
หลงมีอยู่เลยนึกคิดว่าผู้อื่นคงจะคิดไปเหมือน
ๆ ตนเช่นนี้
บางครั้งก็กล่าวว่า
นรก สวรรค์
นิพพานไม่มี
มีอยู่ที่ไหนใครไปเห็นกันบ้าง
คำนี้แหละเป็นคำตัดรอน
ศีล สมาธิ
ปัญญา
บารมีพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง
ถ้าท่านเหล่าใดนึกคิดกล่าวออกมาเป็นเช่นนี้แล้ว
ท่านเหล่านั้นไม่ใช่พระภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์ อุบาสก
อุบาสิกา
อยู่ในพุทธศาสนา
เป็นผู้ทำลายทางวาจา
ทั้งจิตใจตนและผู้อื่นให้เห็นผิดไปตามตนด้วย
บางท่าน บางพวก
บางหมู่เห็นพระปฏิมากรที่เป็นประธานแทนองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านี้อย่างหนึ่ง
เห็นรูปที่ท่านเขียนไว้ตามพุทธบัญญัติคือ
รูปนรก สวรรค์
เป็นตัวอย่างแห่งภพของวิญญาณ
ที่คนเราตายไปแล้ว
วิญญาณนั้นไม่ตาย
วิญญาณของทุกเพศทุกวัย
ต้องไปตามบุญและบาปของตนที่กระทำไว้
ที่ตนได้มาเกิดอยู่ในโลกมนุษย์อย่างเราท่านอยู่กันทุกวันนี้
ท่านทำบาปหรือบุญ
ก็จะไปตามกรรมของท่านนั่น
|
|
-
อีกอย่างหนึ่งเห็นท่านชายหญิงเข้ามาทางดำเนินในพระพุทธศาสนาให้ถาวร
ด้วยปฏิบัติศีลธรรม
และกิจการงานต่าง
ๆ
ที่เกี่ยวกับทางพระพุทธศาสนาโดยศรัทธาความจริงใจ
ของผู้ที่มาทำงานในวัดก็ดี
ผู้ประมาทตนและผู้อื่น
ชอบพูดประมาทตนและผู้อื่นอยู่เสมอว่าท่านนั้นว่าท่านนี้
ไปหากินตามวัดตามวา
อาศัยหากินโดยไม่มีปัญญา
คำกล่าวเช่นนี้แหละ
เรียกว่าประมาทในตนและผู้อื่นอยู่
ไม่รู้เหตุและผลในทางพระพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้า
เลยหลงงมงายอยู่ในกองกิเลส
กิเลสกาม
เลยไม่รู้วัดวาอารามสิ่งที่มีประโยชน์แห่งผลบุญทั้งปวง
พูดรบกวนท่านผู้มีศรัทธา
อย่างนี้ไม่ควรนึก
ไม่ควรพูด
โดยความประมาท
ไม่มีผลหรอกท่าน
|
|
-
อีกอย่างหนึ่งโดยประมาทที่คิดผิด
นึกผิด พูดผิด
ว่าเรานี้หรือผู้อื่นก็ดี
ยังน้อยยังหนุ่มอยู่
หรือเรายังติดภาระอาชีพต่าง
ๆ ยังรักษาศีล
ปฏิบัติยังไม่ได้
หรือปฏิบัติไม่ไหว
ให้เราร่ำรวยให้พอเสียก่อนถึงจะทำได้
คำกล่าวเช่นนี้ก็จัดว่า
เป็นผู้ประมาทตนและผู้อื่นอยู่นั่นเองเพราะการปฏิบัติศีลธรรมทางพุทธศาสนานั้น
ไม่เลือกชั้นวรรณะ
ไม่เลือกภูมิต่ำกลางหรือสูงไม่เลือกจนหรือร่ำรวยแต่ประการใด
ท่านให้รักษากาย
วาจา
และใจด้วยเท่านั้น
ไม่หาบหรือคอนเหมือนวัตถุข้าวของ
ของมนุษย์และสัตว์
เพราะศีลธรรมไม่กินอาหารเหมือนสัตว์อื่น
ๆ
ไม่เห็นยากลำบากอะไรเลย
ตั้งแต่มนุษย์และสัตว์กินอาหารและประกอบเครื่องใช้สอยออกมากมาย
ก็ยังสู้อดทนเลี้ยงกันไปได้
แม้บางครั้งจนถึงนั่งร้องไห้ลำบากลำบนสักเท่าใดหาประมาณมิได้
หมู่ท่านชายหญิงก็ยังฝืนต่อสู้ไปได้
ศีล สมาธิ
ปัญญา
ของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลี้ยงอาหารท่านแม้แต่นิดเดียว
ทำไมหนอถึงปฏิบัติไปตามท่านไม่ได้
เพราะเหตุอะไรให้ตรองดูกันให้มาก
ๆ หน่อยเถิด
จะเกิดผลเพราะตนเอง
ให้รีบเร่งนำตามสังขารท่านบ้าง
|
|
-
อีกอย่างหนึ่งมีจิตคิดขึ้น
นึกขึ้น
ด้วยโทสะสุจริต
ปฏิฆะทุจริต
มันทำจิตของผู้ปฏิบัติให้ฟุ้งซ่านเกิดรำคาญใจ
ทำให้เบื่อหน่ายคลายจากศรัทธาที่ตนเชื่อมั่นในศีลธรรมพระพุทธศาสนา
บางท่านมีจิตวิปริตไปนอกพระธรรมพระวินัย
นำจิตตนนั้นให้ไปตกต่ำไปตามตัณหาแห่งทุกข์ทั้งมวลโดยไม่รู้ตัว
เลยเกิดประมาทตนและผู้อื่น
นึกว่า คิดว่า
เราคงปฏิบัติตามสมาธิกรรมฐานใด
ๆ ไปไม่ได้
ไปไม่ตลอดเป็นแน่
เพราะไม่รู้
เพราะไม่เห็นอะไรเลย
ก็เลยเกิดประมาท
เพราะตนยังไม่รู้ว่าธรรมทั้งหลายเกิดเพราะเหตุนั้นเอง
เหตุที่เราฟุ้งซ่านกลุ้มอกกลุ้มใจนั่นแหละท่านเรียกว่าพระไตรลักษณ์
ความไม่เที่ยงแห่งอารมณ์ของจิต
มันเกิดไม่เที่ยง
มันเกิดเป็นทุกข์
ต่อไปจะเข้าไปสู่อนัตตา
สิ่งเหล่านั้นจะสูญไป
ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะเหตุ
ดับก็เพราะเหตุ
มันเกิดขึ้นเอง
ก็จะดับของมันเอง
|
|
-
ผู้ปฏิบัติชายหญิงอย่าไปเชื่อเหตุที่เกิดเป็นทุกข์
อย่าไปตาม
ติดตามในสิ่งเหล่านั้น
ขอให้เรารู้เหตุที่มีอยู่ในตน
ขอให้เรามีสติ
พร้อมด้วยขันติทำความเพียรด้วยความอดทน
จะได้รับผลนั้นภายหลัง
จะได้รู้ซึ้งแห่งธรรมทั้งปวงก็เพราะเหตุนั้นแหละ
ไม่ว่าโลกหรือธรรม
เมื่อจะได้รับผล
ก็ต้องเอาชีวิตและสังขารเราท่านเข้าต่อสู้ด้วยกันทุกอย่างไป
แต่ผู้ปฏิบัติเล่าเรียนจะรู้หรือไม่
ในเหตุและผลที่อาตมาภาพเปิดเผย
ในทางปฏิบัติ
สมาธิฝึกจิตแห่งกรรมฐาน
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบัญญัติย่อ
ๆ เท่านั้น
ท่านชายหญิงต้องปฏิบัติตามดู
ถึงจะได้รู้ว่ามีเหตุมีผลอยู่ด้วยกัน
บางท่านก็ปฏิบัติไปพอถึงเหตุเท่านั้น
ก็คิดท้อใจไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เพราะว่าตนยังติดความสุขอยู่
แต่ไม่รู้ทุกข์ที่จะเกิดตามมา
เลยละจากศีล
สมาธิ ปัญญา
ไปเสียก็มากมาย
เลยกลายเป็นผู้ลืมตายไปเสียแล้ว
เพราะจิตหลงเพลิดเพลินเข้าสู่กามตัณหาสามโลกธรรมแปดประการ
ไปอยู่ในหมู่บ้านของตัณหาแห่งอบายมุข
โดยไม่รู้เหตุที่เกิดเป็นผลนั่นเองถึงได้เกิดประมาทตนและผู้อื่น
ว่าเราคงจะเหมือนเขา
เขาคงจะเหมือนเรา
อย่างนี้เป็นต้น
เพราะเราขาดจากความเพียรในศีลธรรมแห่งสมาธิกรรมฐานนั่นเอง
เพราะตนไม่รู้ถึง
จึงได้เดินตามจิตใจของตนเข้าไปสู่ตัณหาพญามารแห่งความกำหนัด
โดยไม่รู้เท่าสังขารตนและผู้อื่น
ว่ามันทุกข์หรือสุข
อย่างนี้หารู้ได้ไม่
|
|
-
ผู้ปฏิบัติชายหญิงสมควรพิจารณาให้มาก
ๆ
เพราะสังขารมีแต่เลือดเนื้อหนังห่อหุ้มกระดูกมูตรคูตรทั้งมวล
มันถึงไม่เที่ยง
มันให้เกิดเป็นทุกข์เจ็บไข้ได้ป่วยแห่งเวทนา
อยู่ไม่รู้สร่างซา
ได้แต่อยากได้
ได้แต่อยากหิว
เกิดทุกข์อยู่เรื่อยไป
ถอยเข้าไปสู่ความตายอยู่ทุกเวลาสังขารตายแล้วหมู่ท่านชายหญิงจะไปกันทางไหน
หมู่ท่านรู้กันหรือไม่
ธรรมทานนี้
เหมือนกู่ก้องว่า
กลับมาเถิด ๆ
อย่าหลงไปตามกามตัณหาสาม
โลภ โกรธ หลง
ให้มันมากนักลึกนัก
ตาเห็น
หูได้ยิน
มีแต่รูปกับนามเท่านั้น
ท่านชายหญิงอย่าไปถือว่าสิ่งเหล่านั้น
เป็นตัวตนถาวรแก่นสารไปได้
ที่ไหนมี
ประเดี๋ยวเขาก็เรียกกันว่าผี
ก็คือคนตายนั่นแหละ
ความสุขก็คือ
เราจะละจากการเบียดเบียนตนและผู้อื่นนั่นเอง
ความเสพกามตัณหาสามนั่นแหละ
ท่านเรียกว่าบังเบียดกัน
มีทั้งเกลียด
มีทั้งรัก
หาบหนักยิ่งกว่าภูเขา
ภิกษุ สามเณร
ชี พราหมณ์
ผู้ทรงเพศให้ตรองดูกันบ้าง
ช้างทั้งตัวทำไมมองกันไม่เห็น
ให้รักกันเหมือนพี่น้องถูกครองธรรม
ข้ามมหาสมุทัยไปได้โดยว่องไว
รักกันเหมือนสามีภรรยา
ต้องเป็นขี้ข้าตัณหาจนถึงวันตาย
ตายแล้วก็เป็นทุกข์
เพราะกามกิเลสเขาเป็นนายเรา
|
|
-
ศีลธรรมนำสุขมาให้โดยฉับพลัน
ท่านเหล่าใดเชื่อแล้วให้เดินตาม
ความฟุ้งซ่านย่อมไม่มีศีลธรรมหรือความฟุ้งซ่าน
ที่เกิดอยู่ในจิตใจนั้นเราอย่าไปเดินตาม
ก็ไม่มีทุกข์หรอกท่านชายหญิง
ให้เรานำจิตใจเข้าเดินตามศีลและธรรมก็แล้วกัน
ขอให้หมู่ท่านใช้ปัญญากันบ้าง
ปัญญานั้นมันรู้ทุกข์รู้สุขได้ดี
ไม่เหมือนสัญญาอุปาทานที่ท่องจำให้เกิดความอยากหลอกท่าน
อันนี้เป็นทุกข์
เพราะความอยากได้
อยากเป็น
ท่านว่าหมู่ตัณหาอาสวะหลงเลี้ยงกายตนและผู้อื่นรื่นรมย์ไปตามทุกข์
|
|
-
ดูก่อนท่านชายหญิงทั้งหลาย
ให้ตื่นตัวตื่นใจกันบ้าง
อย่าหลงงมงายไปนอกจากพุทธบัญญัติตามบุคคลที่กล่าวว่า
จะเป็นเด็กก็ตาม
เป็นผู้ใหญ่ก็ตาม
เกิดอยู่นานก็ตาม
เรียนรู้ก็ตาม
ไม่รู้ก็ตาม
ถ้าท่านเหล่านั้นกล่าวว่า
นรก สวรรค์
นิพพาน ไม่มี
หรือไม่ให้พูดไม่ให้กล่าวถึง
ห้ามปรามต่อชาวพุทธศาสนาเราแล้ว
ท่านชายหญิงอย่าไปเชื่อถือนับถือบุคคลเหล่านั้น
พวกเหล่านั้นแหละเขาจะทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง
เป็นนักบวชที่ปลอมตนคิดทำลายศีล
สมาธิ ปัญญา
ของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
นรก สวรรค์
นิพพานนั้น
เป็นพุทธบัญญัติมีมาทุกพระองค์
ถ้านรก สวรรค์
นิพพานไม่มีแล้ว
บุญก็ไม่มี
มนุษย์มาเกิดก็ไม่มี
มีแต่สัตว์เดรัจฉานเท่านั้น
จะมาเกิดอยู่ในโลกนี้
มีแต่จะฆ่าฟันกัน
แย่งกันกินตายแล้วก็ตายไป
ตายโดยไม่มีราคาอะไร
|
|
-
ดูก่อนท่านชายหญิง
ทุกวันนี้พระของเรายังมีอยู่เพราะศีล
สมาธิ ปัญญา
ที่แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราชาวพุทธยังมีอยู่
อย่าไปเชื่อบุคคลผู้หูหนวก
ตาบอด
ที่พูดประมาทตน
ทำลายพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยพวกอลัชชีหมู่พวกเดียรถีย์ที่ไม่มียางอาย
ไม่เกรงกลัวต่อบาปนั่นเอง
|
|
-
อนํคโณ
ภิกขุ
ผู้ให้ธรรมเป็นทานเตือนใจหมู่ท่านชายหญิง
เพื่อให้รู้พระพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริงเท่านั้น
มนุษย์เราเป็นสัตว์ที่สูงสุดกว่าสัตว์อื่น
ๆ แล้ว
สมควรที่จะได้รับคุณธรรมพิเศษ
ธรรมที่ยอดเยี่ยม
เป็นธรรมที่มนุษย์จะปฏิบัติได้
คือศีล สมาธิ
ปัญญา วิมุตติ
วิมุตติญาณทัศนะ
ธรรมห้าประการนี้
มีแต่มนุษย์เท่านั้นจะปฏิบัติจิตใจให้ดำเนินตามไปได้
เราท่านชายหญิงสมควรเดินตามได้แล้ว
ตามพุทธบัญญัติให้เลิกออกจากการกระทำบาป
ให้บำเพ็ญบุญ
นรกมีอยู่จริงแห่งภพวิญญาณ
สวรรค์
นิพพานก็มีจริงไม่ต้องสงสัย
ถ้าท่านเหล่าใดสงสัย
นรก สวรรค์
นิพพาน
อยู่ว่าจะมีหรือไม่มี
ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นเช่นนี้
อย่าเพิ่งไปกล่าวว่ามันไม่มี
เช่นที่กล่าวมาแล้วนั้น
ความโลภ
ความโกรธ
ความหลง
ตัณหามีอยู่ในตัวท่าน
มีอยู่ไม่ใช่หรือ
ถ้าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงแล้ว
นรก สวรรค์
นิพพานก็ต้องมีเช่นกัน
ถ้าท่านยังสงสัยอยู่แล้ว
ขอเชิญให้ฝึกหัดปฏิบัติจิตของท่าน
ให้เดินสมถะกรรมฐานตามพุทธบัญญัติท่านชายหญิงจะรู้ได้ด้วยตนเอง
จะเห็นได้ด้วยตนเองว่า
นรก สวรรค์
พระนิพพาน
ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสบัญญัติไว้นั้นมีอยู่จริง
ผู้ได้ปฏิบัติในทางสมถะกรรมฐานที่เข้าสู่วิญญาณตนแลผู้อื่นให้แจ่มแจ้งแห่งรูปภพ
อรูปภพ
เป็นสิ่งอันไม่ตาย
ที่มีอยู่ในตนเราและผู้อื่นได้แล้ว
นั่นแหละท่านถึงจะรู้
จะเห็นแห่งภพนรก
สวรรค์ นิพพาน
ได้ด้วยตนเอง
นักเรียนนักพูดนั้น
ให้เรียนให้พูดไปจนวันตายก็ไม่รู้ไม่เห็น
ยิ่งเรียนยิ่งเป็นวิจิกิจฉาเรื่อย
ๆ ไป มันจะรู้
มันจะเห็นได้อย่างไร
เพราะธรรมปฏิบัติจิตนี้ไม่ใช่เล่าเรียนท่องบ่น
จำเอามาพูด
มาคุยอวดอ้างว่าตนรู้
ตนเห็น
อย่างนั้นอย่างนี้
โดยนึกเอา
เดาเอา
ไปตามอาการอย่างเรานึกเอาเดาเอานั้นหาไม่
เพราะธรรมยังไม่บังเกิดในตน
ยังไม่มีในตน
จิตวิญญาณจะหลุดพ้นออกจากความมืดได้อย่างไรเพราะธรรมไม่มีในตน
ว่ามีในตนเอง
ถึงไม่เห็นบุญเห็นบาป
เห็นภพเห็นชาติ
เห็นนรก
เห็นสวรรค์
พระนิพพานตามพุทธบัญญัติ
ไม่รู้กระทั่งวิญญาณของตนเองที่เวียนว่ายตายเกิด
เพราะขาดจากวิธีการปฏิบัติสมถะกรรมฐาน
ตามพุทธบัญญัติไว้ให้แก่พระภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์ อุบาสก
อุบาสิกา
ผู้ทรงศีล
ให้รู้แจ่มแจ้งในทางบุญและบาป
ถ้าเราไม่รู้นรก
สวรรค์
พระนิพพานแล้ว
เราจะไปรู้บุญรู้บาปได้อย่างไรเล่า
จะรู้ดี
รู้ชั่วได้อย่างไร
สมณะผู้ทรงศีล
สมาธิ ปัญญา
นั้นก็คือพระภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์
ผู้ทรงเพศนั้นเอง
ต้องปฏิบัติจิตตนให้เดินตามสมถะกรรมฐานนี้อย่างหนึ่ง
|
|
-
ทางปัญญานี้อย่างหนึ่ง
ท่านเรียกว่าอิทธิปหาน
เป็นทางโลกุตระธรรม
ท่านให้มีจิตมั่นในศีล
ให้รู้ความเกิดแห่งทุกข์
ให้มั่นในสมาธิ
ให้รู้ความดับทุกข์
ให้มั่นในปัญญา
ให้รู้ความออกจากทุกข์ได้
|
|
-
อย่างนี้แหละท่านจัดว่าเป็นสมณะเพศผู้แสวงหาธรรม
ตามคำสั่งสอนของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ถึงจะสมเป็นนักบวชอย่างแท้จริง
ถึงจะไม่ใช่เป็นผู้ล่อลวงตนและผู้อื่น
นอกจากนี้ไปแล้วต้องเป็นผู้ล่อลวงตนและผู้อื่นด้วยกันทั้งหมด
|
|
-
ดูก่อนภิกษุ สามเณร ชี
พราหมณ์ อุบาสก
อุบาสิกา
ให้พิจารณาให้หมู่ในคณะใด
ๆ ก็ดี
ให้พิจารณาเสียก่อนอย่าเพิ่งกระทำลงไปคือเชื่อตามกันไปนั่นเอง
เพราะท่านขาดจากความพิจารณา
ถึงไม่รู้เหตุรู้ผลแห่งตนกระทำ
เพราะหมู่ท่านหลงอยู่ในสักกายะทิฐิอยู่นั่นเอง
ถึงให้ผู้อื่นเขาหลอกลวงตนไปได้มากต่อมากแล้ว
หมู่ท่านชายหญิงยังไม่รู้สึกตัว
หรือตื่นตัวกันบ้างเลยหนอ
เลยกลายเป็นศรัทธาจริต
เพราะถูกเขาสรรเสริญและนินทานั่นเอง
ถึงไม่รู้ศีล
สมาธิ ปัญญา
ของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบัญญัติไว้
ให้ปฏิบัติเดินตามไป
มิใช่ทางตัณหา
โลภ โกรธ หลง
เพราะท่านผู้มีครอบครัวสามีภรรยา
หรือปรารถนาอยู่ก็ดี
หรือส่งเสริมอยู่ในกาม
หรืออุปการะผู้อื่นให้ยินดีเข้าไปสู่กามตัณหาสาม
โลกธรรมแปดประการอยู่นั่นเอง
ไม่ใช่ภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์ อุบาสก
อุบาสิกาผู้อยู่ในพระพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ประการใด
เป็นผู้ละเมิดศีล
สมาธิ ปัญญา
ด้วยกันทั้งหมด
กลายเป็นผู้หลอกลวงแสวงหาเอกลาภแก่ญาติโยมผู้ที่ยังเขลาอยู่ไม่รู้สึกตัว
เพราะความรักความชอบ
ที่พูดถูกต้องอารมณ์ของตน
ที่มีตัณหาอาสวะมืดอยู่
ไม่รู้ตนของตนว่ากระไร
นักช่างพูดนั้นมันมีมาก
ปากเปรี้ยวใจขมคารมหวาน
พูดปานพระอรหันต์
ท่านเหล่าใดไม่รู้ตกกระไดพลอยกระโจนลงสู่นรกทนทุกข์เวทนา
พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงให้พิจารณาเสียก่อน
ถึงเชื่อ
ถึงกระทำ
ลงไปสิ่งอันใดทั้งปวง
ผู้ประจบสอพลอนั้นมีอยู่มาก
ที่หลงตนอยู่ไม่รู้กายา
ว่าเป็นอนิจจังไม่เที่ยงร่วงโรยไปตามธรรมชาติ
อย่างนี้หารู้ไม่
เป็นทุกข์เพราะกายา
หาว่าความจน
เพราะความไม่รู้
หลงเพราะความหวัง
อนัตตาใกล้เข้ามาคือความตายร้ายยิ่งนักกว่าอสรพิษ
ติดตามตนอยู่ทุกคนไป
ท่านที่รอดตายไปได้ที่ไหนมี
โลกมนุษย์นี้มีเกิดและมีตาย
ร้ายยิ่งกว่าเสือ
มีที่รักก็ต้องจากไป
เส้นผมสวยและโลหิตแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ติดตามไป
เป็นเหยื่อของกองไฟไหลเป็นดินไม่มีเหลือ
บุญกรรมที่ตนได้กระทำไว้นั้นแหละจะติดตามไป
|
|
-
ท่านทั้งหลายชายหญิง
ท่านชอบทุกข์
หรือชอบสุข
จงให้กระทำดีไหว้พระ
รักษาศีลแผ่เมตตาจิต
อย่างบังเบียดข่มเหงกัน
มีเงินแสนมีเงินล้านก็ไม่ใช่ของใคร
เป็นของใช้สำหรับแผ่นดิน
แม้แต่จะซื้อกินก็ต้องเป็นดินอยู่นั่นแหละ
บุญคือการเสียสละ
พระคือผู้เว้นในเรื่องคฤหัสถ์ตัดนิวรณ์ธรรมห้าประการ
พระนิพพานเป็นทีอาศัย
|
|
-
ความประมาทตนและผู้อื่นยังมีอยู่อีก
คือความนึกคิด
ไปนอกธรรมนอกพระวินัย
โดยนึกคิดไม่พิจารณาเสียก่อน
พูดไปโดยเป็นความประมาทขาดจากสติ
ว่าสวรรค์พระนิพพานนั้น
จะไปได้ง่าย
ๆหรือ
หรือพูดว่าคนอย่างพวกเราสมัยนี้ไปไม่ได้หรอกสวรรค์พระนิพพานคำเช่นนี้แหละ
เรียกว่าประมาทตนและผู้อื่น
ให้จำไว้สวรรค์และนิพพานนั้น
ทางที่จะเดินไปนั้นไม่มีขวาก
ไม่มีหนาม
ไม่มีป่าดงพงหนาม
เสือช้างจระเข้
ยักษ์ร้าย
ผีเปรต
และโจรที่ดุร้ายจะขวางทาง
หรือจะสกัดกั้นนั้น
ย่อมไม่มีหรอกนะท่านชายหญิง
มารีบไปกันเถิดหมู่ญาติมนุษย์ทั้งหลาย
อย่าเป็นผู้หลงลืมตาย
ให้รู้เท่าสังขารตนและผู้อื่นบ้าง
|
|
-
ส่วนนรกอบายมุขนั้น
มันเป็นทางรกลำบากทรมาน
ทางเดินมีแต่ขวากและหนาม
มีช้างแลเสือจระเข้
เปรตผีห่าผีโหงยักษ์ร้ายออกมากมาย
ทางไปลำบากแสนเข็ญไม่ว่ากลางวันกลางคืน
ลำบากร้องไห้โศกาอดอยากยากแค้น
ขึ้นห้วยลงเหวหนามทิ่มหนามตำ
ผีหลอกผีหลาน
แม้แต่จะนอนก็ไม่มีความสุข
ทุกข์ยิ่งนักหนา
แม้แต่ขนาดนี้ก็ยังคนไปกันออกมากมายทำไมหนอถึงไปกันได้
ไปหาว่ามันสนุกสนาน
แม้แต่จะล้มจะคลานก็หาว่ามันสนุก
เพราะว่าหมู่ท่านเหล่านี้ยังประมาทตนอยู่
ไปหาว่านรก
สวรรค์
นิพพานไม่มี
ร้ายยิ่งกว่าเปรต
เพราะไม่มียางอายเกรงกลัวต่อบาปนั่นเอง
เพราะว่าหมู่ท่านเหล่านี้เป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ศีลและธรรม
เท่ากับทำลายตนเองและผู้อื่นไม่ให้รู้บุญและบาป
ไปหาว่าบุญและบาปไม่มี
บุญไม่มีตัวตน
บาปไม่มีตัวตน
ไปเที่ยวพูดให้ปุถุชนระแวงแตกร้าวสามัคคีกันไปโดยไม่รู้ตัว
ไปถือตายแล้วก็สูญไม่มีอะไรเหลืออยู่รู้ตั้งแต่เสพกาม
เหมือนดังสัตว์กัดกันกิน
เพราะความหลงไปตามทางผิด
จิตใจของท่านชายหญิงนั่นแหละเป็นไฟลม
เป็นธรรมอันไม่ตาย
ถ้าสังขารท่านเหล่าใดแตกแยกออกจากกันไปแล้ว
จิตใจนั้นจะล่องลอยไปตามกระแสบุญและบาปที่ตนได้ประกอบกระทำไว้
สิ่งเป็นบุญหรือบาป
อันนั่นแหละจิตใจของหมู่ท่านชายหญิงจะได้รับเอาไป
ถ้าหมู่ท่านชายหญิงอยากจะมีความสุข
ให้เลิกจากการกระทำบาปทั้งทางกาย
วาจา ใจ
นั้นเสีย
ถึงจะได้รับความสุขในปัจจุบันนี้แหละ
ต่อไปกรรมนั้นย่อมไม่มีแก่ท่าน
เหตุเกิดทุกข์
เพราะสังขารที่เจ็บไข้ได้ป่วยทรมาน
ในกายก็ดี
นอกกายก็ดี
เช่นถูกด่านินทาถูกตีต่างๆ
นานาก็ดี
เป็นการกระทำของเราที่ได้กระทำไว้ด้วยกันทั้งสิ้น
ไม่ต้องสงสัยหรอกท่าน
สิ่งอันใดได้แก่กระทำไว้แล้วทั้งนั้น
|
|
-
ความประมาทโดยความมืดไม่รู้ภพ
ไม่รู้ชาติ
ไม่รู้บุญบาปกรรมเวร
เห็นตั้งแต่สังขาร
กายาว่าเป็นตัวตนถาวร
ไม่รู้วิญญาณของตนว่าเป็นอะไร
รู้ตั้งแต่ลมหายใจ
ไม่รู้จิตใจ
หลงด้วยความมืด
ร้ายยิ่งกว่าสัตว์
เพราะกามบังไว้
ได้ตั้งแต่พูดไม่รู้ทางไป
เพราะนิสัยเป็นมารมาแต่กำเนิดมาแล้ว
ก็ต้องประมาทตนและผู้อื่นอยู่นั่นเอง
ท่านเหล่านี้
ถ้ามั่งมีก็ต้องหลงอยู่กับความมีนั่นเอง
ถ้าจนก็ต้องหลงอยู่กับความจนของตนนั่นแหละ
ไม่รู้จักทางที่จะออกจากความทุกข์ไปได้
ได้ตั้งแต่ประมาทตนและผู้อื่น
ใช้ความประมาทดักดานต้านทานกระทั่งบิดา
มารดาของตนเอง
หลงไปเพ่งเล็งพระพุทธศาสนาหาว่าไม่มี
ไม่เกิดประโยชน์
คำนี้พูดลงโทษตนเอง
บิดา มารดา
สามี ภรรยา
กุลบุตร
ญาติมิตร
จะไปหารักษาศีลออกเป็นนักบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้า
เลยเข้าใจผิดเพราะหมู่พญามารบันดาลจิตใจให้พูดออกไปว่า
ไปอาศัยข้าววัดกิน
อยู่ในวัดในวาไม่มีปัญญาหากินกับเขา
ลูกเต้าก็มีเยอะแยะ
ประเดี๋ยวคนอื่นเขาจะว่า
เลี้ยงบิดามารดาไม่ได้
ปล่อยให้หากินตามวัดตามวา
ลูกเต้าจะอายเขาไปเปล่า
ๆ
คำเช่นนี้เรียกว่า
คำของพญามารที่เข้าบันดาลจิตใจให้พูดออกไปเช่นนี้
เป็นสิ่งทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง
พระพุทธศาสนาก็คือ
พระภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์ อุบาสก
อุบาสิกา
ผู้เชื่อมั่นอยู่ในธรรมสี่ประการ
|
|