จริต 6

 

               ความประมาทที่อาตมาภพกล่าวมานั้น ได้แก่จริต 6 คือจิตคิดอิจฉาตนและผู้อื่นนั้นเองทำให้ตนติดอยู่ในอบายมุข ทำให้ตนติดอยู่ในพยาบาทเศร้าหมองแห่งอาสวะทั้งหลาย ทำให้ตนไม่รู้บุญ ไม่รู้บาป นรก สวรรค์ พระนิพพาน เพราะจริต 6 ที่มีอยู่ในตนของตนนั้นเอง จริต 6 นั้นมีดังต่อไปนี้

 

               1.   หาว่าตนดีกว่าเขา เขาไม่ดีเหมือนเรา

 

               2.   หาว่าเขาดีกว่าตน ตนไม่ดีเหมือนเขา

 

               3.   หาว่าเรารู้กว่าเขา เขาไม่รู้เหมือนเรา

 

               4.    หาว่าเขารู้กว่าเรา เราไม่รู้เหมือนเขา

 

               5.   หาว่าเราเก่งกว่าเขา เขาไม่เก่งเหมือนเรา

 

               6.   หาว่าเขาเก่งกว่าเรา เราไม่เก่งเหมือนเขา

               จิตที่เป็นจริตที่อยู่ในตัวของท่านเหล่าใด อย่างที่กล่าวมานี้ ให้หมู่ท่านชายหญิง ให้รีบทำความเพียร พยายามละเว้น ปราศจากออกไปให้เร็วที่สุด ให้ละด้วยสติปัญญา ศีลสิกขาบทให้มีปัญญา ให้ยกสติเป็นที่ตั้ง เอาปัญญายกจิตเข้าไปสู่ศีลธรรม ที่จะละเว้นออกจากจริต 6 ที่กล่าวมาแล้วนั้น อย่าไปยินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น แล้วทำจิตของตน ไม่เอาดีเอาชั่วแห่งโลกธรรมแปดประการของผู้มีกามอยู่

 

               ภิกษุ สามเณร ชี พราหมณ์ ผู้ปฏิบัติให้ยกจิตของตน ให้ออกจากสิ่งเสพกามนั้น ให้ออกจากความรัก ความใคร่ ความกำหนัด ที่เป็นสิ่งย้อมใจชายหญิงนั้นให้สิ้นไป ไม่ให้มีแก่เราเพราะจริต 6 นี้มันมีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ฝังอยู่ในจิตใจของท่านชายหญิงมาตั้งแต่เกิดมา หลายภพหลายชาติมาแล้ว หมู่ท่านชายหญิงไม่เข็ดไม่จำกันบ้าง มันหนักยิ่งกว่าหาบช้างใหญ่ไพศาลท่านรู้กันหรือไม่ ก็เพราะจริต 6 นั้นแหละ มันบังจิตใจหมู่ท่านชายหญิงไว้ ไม่ให้รู้ทางออกจากกามไปได้ แม้แต่จะร้อนยิ่งกว่าไฟสักแสนเท่า หมู่ท่านก็มองกันไม่รู้ไม่เห็น แม้แต่จะตายไปร้อยชาติพันชาติก็ตาม หมู่ท่านชายหญิงก็ยังปรารถนากันอยู่โดยไม่รู้สำนึกตนเลย แม้แต่ไฟราคะที่ลุกไหม้อยู่ในตัว ให้หมู่ท่านตรวจค้นกันดูเสียบ้าง มันล้างศีลและธรรมหมู่ท่านจนหมด หมู่ท่านเคยดูกันบ้างหรือไม่ หมู่ท่านอย่าไปเพิ่งไปกล่าวว่าศีลและธรรมเรามีอยู่ในจิตใจเช่นนี้ เราต้องตรวจดูจิตใจของเราเสียก่อน ว่ามีศีลมีธรรมเหลืออยู่หรือไม่ หรือไฟราคะมันเผาไปหมดแล้วเช่นนี้ ให้หมู่ท่านรู้กันไว้บ้าง อย่าเป็นผู้ตาบอดคลำช้าง ไม่รู้ว่ารูปร่างช้างนั้นมันเป็นรูปร่างอย่างไร ก็เพราะตนยังไม่ได้ตรวจค้นที่จิตใจของตน อย่าเพิ่งไปตรวจค้นเรื่องผู้อื่นเขา ความเบาหนักนั้นมันจะเกิดขึ้นอยู่ที่ตัวเราเอง จงพยายามทำความเพียรแก้ตนเองเสียตั้งแต่บัดนี้ที่เรามีชีวิตอยู่ ให้รู้ตนของตนบ้าง การก่อสร้างทุกข์นั้นได้แก่ตัวเราเอง ศีลธรรมจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะความเพียรพยายามของท่านนั้นเอง การพยายามแสวงหาความทุกข์ ทุกข์นั้นจะเกิดขึ้นแก่ตนเองไม่ต้องสงสัย ไฟของใครก็ต้องลุกลามไหม้คนนั้นเอง การพยายามแสวงหาความสุข สุขนั้นจะเกิดแก่ท่านนั้นเองไม่ต้องสงสัย เกิดขึ้นได้ทั้งสองอย่าง ท่านชายหญิงให้เลือกเอาแต่อย่างเดียว หมู่ท่านเคยเห็นกันอยู่ว่า ท่านผู้อื่นตาย ท่านก็เห็นกันอย่างชัดเจนไม่ว่าท่านหญิงท่านชายก็รู้ได้ทั้งนั้น แต่ตนของท่านนั้นจะตาย หมู่ท่านเคยรู้เคยเห็นได้ชัดเจนเหมือนคนอื่นเขาตายกันบ้างไหม ถ้าหมู่ท่านยังไม่รู้ชัดเจนแล้ว ให้หมู่ท่านชายหญิงจงทำความรู้แห่งปัญญาให้แจ้งชัดเจน ให้น้อมเอาคนที่ตายเป็นซากศพไปก่อนแล้วนั้นเข้ามาสู่ตนบ้าง สังขารเหล่านี้ต้องเป็นไปอย่างนั้นเช่นกัน ให้หมู่ท่านจำให้ได้อย่างชัดเจน เหมือนเราเห็นท่านผู้อื่นตายนั่นแหละถึงจะเป็นผู้รู้แจ้งแห่งธรรมทั้งปวง ผู้ที่น้อมนึกดูในกายของตนยังไม่เห็นแจ้งชัดเจนว่าร่วงโรยทรุดโทรมลงไปทุกวัน ๆ โดยมองไม่เห็นเช่นนี้ ท่านเหล่านี้คงไม่เห็นพระธรรมพระวินัยอย่างแท้จริง เห็นตั้งแต่คำสอนนิดหน่อยเท่านั้น ไม่เท่าเส้นผมแม้แต่เส้นเดียวเลย ผู้รู้แจ้งในกายตนและผู้อื่น ว่าร่วงโรยไปตามลำดับ ไม่คงที่ ไม่ถาวร เป็นแก่นสารไปได้แม้แต่นิดเดียวเกิดความเมตตาตน ตัดความกังวลในกายตนและผู้อื่น ที่เห็นผิดว่าสวยงามย้อมใจนั้นเสียได้แล้วท่านเหล่านั้นแหละจะเห็นศีลเห็นธรรมได้พอลาง ๆ เท่านั้น แต่ยังไม่ชัดเจน เห็นแล้วก็ดับไปไม่อยู่คงที่ เพราะกามยังไม่ขาดออกจากจิตใจของตนนั้นเอง

 

               ท่านเหล่าใดไม่เห็นความเป็นทุกข์แห่งกายตน หลงเพลิดเพลินในกายตนและผู้อื่น ว่าความเมตตาสงสาร แสวงหาอาชีพวัตถุกามมาบำเรอตนและผู้อื่น โดยความเห็นผิดอยู่ในกายอันนี้ร้ายนัก เพราะความหลงว่าเป็นสุขปิดทุกข์ทั้งปวง เปรียบได้เหมือนเอาบ่วงมาผูกคอตนแขวนไว้บนยอดไม้ มองไม่เห็นความโศกเศร้าที่จะมาถึงตน เที่ยวไปหากังวลแต่กายผู้อื่นเขาไม่รู้เป้าหมายปิดความตายมองไม่เห็น หาว่าแต่กรรมเวร แต่ไม่เห็นความที่เกิดเป็นทุกข์ จิตท่านเหล่าใดเป็นอยู่เช่นนี้ ท่านเรียกว่าจิตต่ำงมงาย ไม่รู้อบายมุขแห่งทุกข์ทั้งปวง จิตชนิดนี้ไม่รู้จักทางสวรรค์นิพพาน รู้แต่ความรักความสงสาร แต่ไม่รู้ความที่จะเกิดเป็นทุกข์แห่งความตาย เขารอคอยจะเอาสังขารตนและผู้อื่นใกล้เข้ามาทุกคืนวันหารู้ไม่ จิตใจชนิดนี้ปิดทางศีลและธรรมไม่ให้มองเห็นแม้แต่นิดเดียว เพราะความนึกผิดเห็นผิด หลงเลี้ยงกายตนและผู้อื่น หลงอยู่ในวัตถุกามแสวงหาเงินทองต่าง ๆ

 

               ผู้ปฏิบัติชายหญิงไม่สมควรให้ไปติดอยู่ในจิตที่กล่าวมาแล้วนั้น มันเป็นทางจิตของผู้เสพกามอยู่ ท่านเหล่านี้จะไปถือว่ารู้ในพระธรรมพระวินัยนั้นหารู้ไม่ ได้แต่ปากพูดธรรมเท่านั้นแต่ตาขยับแสวงหาทางจะเสพกามอยู่เสมอ ๆ ท่านเหล่าใดมีจิตชนิดนี้ประจำอยู่ คงไม่รู้แสงเสียงพระสัจจะธรรมแต่ประการใด ศีลธรรมจะเข้าสู่จิตใจของผู้ปฏิบัติชายหญิง และภิกษุ  สามเณร ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา ได้ก็เพราะเป็นผู้รู้เท่าสังขารตนและผู้อื่น ไม่หลงอยู่ในกายไม่เชื่อปากกับท้อง เพราะว่ามันเป็นพี่กับน้องของตัณหาแห่งกาม มองเห็นสังขารภายในและภายนอก ไม่ว่าเด็กหนุ่มสาวแก่ชรา เป็นน่าสยดสยองกองอยู่ภายในด้วยดินน้ำเหมือนส้วมซึม ความเจ็บไข้ได้ทุกข์ เป็นบ่อที่สัตว์ทรมานเวียนว่ายตายเกิดแห่งทุกข์ทั้งปวง รู้แล้วเห็นแล้วมีแต่เกิดความบีฑาเบื่อหน่าย ละอายคลายจากความกำหนัดแห่งตัณหา ไม่กล้าแตะต้องไม่ว่ารูปและนาม รูปเสียงต่าง ๆ ที่มีจิตใจนึกเสพกามอยู่ รู้แล้วหวาดเสียวเหมือนอสรพิษคอยตามจะฉกกัด ได้ยินเสียงขับร้องอันใด ๆ ก็ดี เป็นสิ่งของผู้เสพกามเขาชอบยินดีกันว่าเป็นอาหารของชีวิตนั้น มันกลายเป็นเสียงหมาป่าจิ้งจอกที่มันร้องตามป่าถึงฤดูมันออกเที่ยวกันไม่น่าดู ไม่น่าฟัง เหมือนคนบ้าขาดจากสติ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ไม่ได้อยากดูไม่อยากฟัง โขนหนังก็เหมือนกัน จิตใจของผู้ปฏิบัติดีแล้ว สว่างแล้ว มองดูโลกมนุษย์และสัตว์ที่อยู่ในกามภพโลกจักรวาลนี้ทั้งหมด เหมือนกับป่าหนามไม่น่าจะเดินเข้าไปแต่ประการใด มีแต่จะถอยออกให้ห่างไกล ไม่อยากจะพบอีกต่อไปแล้ว เพราะมันเป็นหนามอันหนาทึบ มีอสรพิษอันร้ายแรงคอยฉกกัดมนุษย์และสัตว์ให้ตายถมทับแผ่นดินนี้ไว้ ให้เป็นฝุ่นเป็นปุ๋ยเป็นอาหารของป่าหนามให้งอกงามเพราะปุ๋ยของสัตว์มนุษย์ที่ตายอยู่ในป่าหนาม น่ากลัวและหวาดเสียว ผู้ปฏิบัติต้องมองเห็นได้ชัดเจนทางจิตใจ อย่างที่กล่าวมานี้ นั่นแหละถึงจะรู้ ถึงจะเห็น ถึงจะพบพระธรรมพระวินัย ถึงจะน้อมเอาพระธรรมพระวินัยเข้ามาสู่จิตใจของผู้ปฏิบัติได้ นอกจากจิตอย่างนี้ไปแล้ว ไม่มีพบ ไม่มีเจอพระธรรมพระธรรมวินัย เพราะอะไรหมู่ท่านชายหญิงรู้กันหรือไม่ ที่ไม่พบไม่ประสบก็เพราะเราอยู่ในป่าหนามแห่งกามกิเลสนั่นเอง

 

               พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนท่านทั้งหลาย ศีลท่านก็รู้ สมาธิท่านก็รู้ ปัญญาท่านก็รู้ อะไร ๆ ท่านก็รู้ แต่หมู่ท่านรู้สักว่าแต่รู้เท่านั้น แต่ยังไม่รู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไรนั้นแล” ให้หมู่ท่านตรองดูกันบ้าง ว่ามันเป็นทุกข์หรือมันเป็นสุข ให้หมู่ท่านรู้กันไว้บ้าง ท่านอย่าเป็นผู้หลงตาย ให้หมู่ท่านออกจากความตายกันไปบ้าง

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:05:04

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom