สัจจะคือความโสสุด

 

               สัจจะคือความโสสุด อันนี้เป็นทางออกจากตัณหาแห่งทุกข์ทั้งปวง คิดแล้วเบาจิตเป็นนิจจัง อันนี้พ้นทุกข์ได้ คิดแล้วหนักจิตเป็นอนิจจัง อันนี้เกิดเป็นทุกข์อยู่เนืองนิจ ให้คิดสิ่งที่เบาน้อมเข้ามาสู่จิตใจไว้ ทางที่เบาเป็นทางสุดหยุดแล้วไม่มีต่อ พอแล้วไม่แสวงหา อันนี้เป็นทางพระอรหันต์ ท่านเหล่าใดชายหญิงทุก ๆ ท่านรู้แล้วให้เดินตาม เป็นทางสายเอก วิเวกเป็นที่สุดอันนี้เรียกว่าทางเข้าสู่พระนิพพาน ไปด้วยสัจจะโสสุด จิตท่านเหล่าใดเข้าสู่โสสุดแล้วจะพ้นจากวิบัติทั้งปวง โสสุดนี้อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นความตายอย่างนี้หาไม่ โสสุดนี้เป็นธรรมที่ยอดเยี่ยมเป็นธรรมที่วิเศษของมนุษย์ที่จะปฏิบัติตามไปได้ทุกขณะ ไม่ว่าท่านชายและท่านหญิง จงระวังคนในไม่ให้ออก คนนอกไม่ให้เข้า ถึงจะเบาจิต อย่านำเอาความคิดเรื่องนอกศีลและธรรม มันทำให้จิตเกิดเป็นทุกข์โดยไม่รู้สึกตัว ประเดี๋ยวพวกจิตประชาชนจะว่าเกิดโรคเส้นประสาท เพราะความที่ตนนึกผิดคิดผิด วิปริตวิปลาสโดยตนขาดจากสตินั่นเอง ไปเพ่งเล็งผู้อื่นเขา อันนี้เป็นของหนักยักษ์ร้ายกลายกินตนเอง ให้คิดเดินตามทาง ให้เดินตามในระหว่างอุเบกขา ไม่ช้าไม่นานก็จะถึงที่โสสุด อย่าไปยึดที่หาเรื่องจะเกิดเป็นทุกข์ อย่าคิดว่าเป็นของสนุกอันที่อยู่ในกามตัณหาสามโลกธรรมแปดประการ มันเป็นบ้านของเมืองนรก ตกอยู่ในความหนักร้อยกัปพันกัป รู้แล้วให้ละ ให้เคารพตั้งแต่พระ ให้ชนะหมู่มาร อย่าเป็นตาลปลายด้วนไม่มีผล ให้คิดแสวงหาเอาสิ่งที่เบา เอามาสะสมไว้มาก ๆ เมื่อเราจะจากภพนี้ไป สิ่งที่เบานี้จะพาเราข้ามฟากจากสมุทัยแหล่งทุกข์ทั้งปวง มิได้ติดบ่วงมารที่เขาดักไว้ รอดไปได้เพราะความเบาที่โสสุด สิ่งที่เบานั้นก็คือศีล สมาธิ ปัญญา ของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสบอกไว้ว่าเป็นของเบา ให้รีบพากันสะสมไว้ เมื่อเราจะได้เพราะความโสสุด เพราะความนักไม่เอา ของหนักเลิกละแล้วไม่ใยดี นี้เป็นทางหนีเข้าสู่พระนิพพาน ท่านอาจารย์ท่านเดินทางนี้ถึงไม่มีความทุกข์รู้แล้วให้บอกกันไม่ว่าท่านชายและท่านหญิง คำว่าโสสุดจิตหยุดแล้ว ละโลภ โกรธ หลงแห่งกามตัณหาได้อย่างสิ้นเชิง ถึงได้เรียกว่าโสสุด คือหยุดแล้วนั่นเอง

 

               ดูก่อนท่านทั้งหลายคือภิกษุ สามเณร ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา ชายหญิงทุก ๆ ท่าน จงทราบตามพุทธบัญญัติกันบ้าง ตามพุทธบัญญัติท่านตรัสไว้ ผู้บรรลุธรรมเหล่าใดก็ดีหรือบรรลุดวงตาเห็นธรรมก็ดี หรือบรรลุโสดาบัน หรือบรรลุสกิทาคามี อนาคามี หรือบรรลุอรหัต อรหันต์อันใด ๆ ก็ดี ท่านอย่าไปถือว่าตนได้ธรรมขั้นนั้น ขั้นนี้ ชั้นนี้หารู้ได้ไม่ การบรรลุธรรมพิเศษนี้มิใช่ว่าเราได้ อย่าไปเชื่อบุคคลที่เห็นผิด ที่ล่อลวงเพื่อสะสมแห่งกามด้วยโลกธรรม เพื่อนำเอาทรัพย์มาบำเรอตนและผู้อื่น ใช้คำสรรเสริญเยินยอมาล่อลวงว่า ท่านได้อย่างนั้นได้อย่างนี้ การบรรลุที่กล่าวมานี้มิใช่ว่าได้ เป็นการผู้ปฏิบัติที่จะนำจิตเข้าสู่ถึงซึ่งพระธรรมพระวินัย ศีล สมาธิ ปัญญา วิปัสสนาญาณ หรือฌานสมาบัติ หรือสมถะอันใด ๆ ก็ดี ตามพุทธบัญญัติมาแล้วนั้น ผู้บรรลุคือผู้ปฏิบัตินำจิตของตนเองเข้าถึงซึ่งพระธรรมแล้วนั้นแหละเรียกว่าบรรลุ มิใช่ว่าได้ธรรมขั้นนั้น ขั้นนี้หารู้ได้ไม่ ผู้ปฏิบัติบรรลุเข้าถึงพระธรรมไตรสรณาคมน์แล้ว จะพึงรู้จำเพาะตน และจำแนกธรรมในการปฏิบัติตามพุทธบัญญัติได้ไม่มีการสงสัยในธรรมทั้งปวงอีกแล้ว อย่างนี้แหละถึงจะเป็นผู้บรรลุเข้าถึงธรรมทั้งปวงผู้บรรลุธรรมนั้น มิใช่ท่องบ่นจำได้ โดยเฉพาะศีลธรรมอกงามแล้ว ก็บังเกิดมรรคผลต่าง ๆ ในปัจจุบันทันตาของมนุษย์ในปัจจุบันนี้ด้วย

 

               “สิ่งอันใดเราได้ สิ่งอันใดเรามี สิ่งนั้นเป็นทุกข์ทั้งปวง

 

               สิ่งอันใดเราไม่ได้ สิ่งอันใดเราไม่มี ธรรมเหล่านี้เป็นสุขอย่ายิ่ง”

 

  ดูก่อนภิกษุ สามเณร ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกานักปราชญ์ทั้งหลาย

 

               1.   ให้หมู่ท่านพึงรู้ฟ้าสูง แผ่นดินต่ำกันบ้าง อันนี้เป็นพระปรมัตถธรรม

 

               2. ให้หมู่ท่านพึงรู้ว่า ป้ากับลุงคนไหนเป็นพี่เป็นน้อง ให้หมู่ท่านพึงรู้ว่าฆ้องพระตีทำไม อันนี้เป็นพระสูตร

               3. ให้หมู่ท่านพึงรู้ว่า ไฟอย่านำเอาออกมาใช้ ให้หมู่ท่านใช้ความรู้เอาแสงสว่างไฟทั้งปวง อันนี้เป็นพระวินัย

 

               4. ให้หมู่ท่านรู้ว่าบ่วงอย่าเอามาผูกคอตนเอง อันนี้เป็นปัญญาพระกัณฑ์ไตรปิฎก

 

               ขอให้หมู่ท่านผู้ปฏิบัติพิจารณา ให้รู้ ให้เห็น ให้แจ้ง ให้สว่างในธรรม 4 ข้อนี้ ให้ละออกได้แล้วถึงจะรู้ความจริงในสิ่งทั้งปวง มันเป็นทุกข์หรือมันเป็นสุข จะรู้แจ้งด้วยตนเองแม้แต่จะมีผู้บอกหรือแนะนำให้ หรือจะสอนจะท่องบ่นจำเอาได้ก็ตาม คงไม่รู้แจ้งแห่งธรรมเว้นไว้แต่ผู้ปฏิบัติตามศีลและธรรมเท่านั้น จะรู้แจ้งเห็นจริงเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นในตนเองถ้ารู้แล้วจะปฏิบัติตามได้ทั้งโลกและธรรม โลกมนุษย์นี้จะเป็นสุขอย่างยิ่ง ที่มนุษย์เราให้เกิดความเดือดร้อนด้วยตนเองและผู้อื่นอยู่นั้น ก็เพราะตนยังไม่รู้แจ้งในธรรม 4 ข้อที่กล่าวมานี้ให้พิจารณาให้เกิดให้มีขึ้นในตนและจิตใจทุก ๆ ท่าน จะได้มีความสุขกันบ้าง ผู้ปฏิบัติรู้แล้วก็จะออกจากตัณหาอาสวะ สิ้นจากทุกข์ทั้งปวงไปได้โดยง่าย ๆ

 

               อนึ่งผู้เชื่อมั่นแล้วในพระพุทธ พระธรรม พระอริยะสงฆ์ อย่างแท้จริง และปฏิบัติตามท่านเหล่านั้นจะเห็นพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ อย่างแท้จริง ท่านเหล่าใดว่าตนเชื่อมั่นแล้วทำไมไม่เห็น อย่างนี้ก็เพราะตนยังไม่ละสักกายทิฐิ แห่งกามตนและผู้อื่น และละวัตถุกามยังไม่ได้ จะไปเห็นท่านได้อย่างไร ผู้ปฏิบัติจะไปเห็นได้ก็เพียงรูปธรรมกายเท่านั้น เห็นได้เพราะสัญญาที่สว่างเท่านั้น เพราะผู้ปฏิบัติยังไม่ได้บรรลุเข้าถึงนิมิตอย่างแท้จริงตามพุทธบัญญัติ บางท่านปฏิบัติขาดจากสติแต่สัมปชัญญะรู้ตัวอยู่ แต่วิปริตเกิดขึ้นโดยไม่รู้ว่าวิปริต ไปหาคาดคะเนเอาว่าเป็นนิมิตสาม ตามพุทธบัญญัติอย่างนี้ก็มีมาก โดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เลยพลาดกันไปทั้งหมด เพราะขาดจากความพิจารณาจากศีล สมาธิ ปัญญา ไม่รู้ในทางวิถีของสมถะตามพุทธบัญญัติ เลยโลก เลยธรรม เลยจากทางพุทธบัญญัติ สวรรค์นิพพานไปหมด เลยเป็นผู้ยกตนข่มท่านด้วยอกุศลจิต ผลิตกรรมให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง ด้วยธรรมที่ตนจำได้หมายรู้อุปาทาน หาว่าหว่านพืชผล เลยไม่ได้รับประโยชน์ เลยเป็นโทษแก่ตนเอง อันนี้ยากลำบากเป็นหนักหนา เพราะวาจากับใจไม่ตรงกัน เพราะความรู้ไม่เท่าทันกับตัณหานั่นเองความรู้น้อยให้ค่อยประคองจิต ให้รู้เท่าตัณหาที่มีอยู่ในตนนั้นเสียก่อน อย่าเพิ่งร้อนใจอยากจะขยายธรรมอย่างนี้ไม่มีผล แต่ตนของตนก็ยังไม่รู้ว่าเราอยู่เพราะอะไร อยู่ในกองไฟกิเลสกามหรือวัตถุกาม อย่างนี้ให้ฟังกันบ้าง หรืออยู่ในน้ำแห่งศีล จิตดิ้นรนหรือไม่ ออกจากกามได้หรือยัง สิ่งเหล่านี้ควรรู้ไว้เป็นสายทาง เป็นทางเดินของผู้ปฏิบัติชายหญิงทุกท่าน ให้ดูบ้านของตนเอง กายสังขารนี้เป็นที่ชอบของมนุษย์ทั่ว ๆ ไป ถ้าท่านเหล่าใดยังละออกไม่ได้ อย่าไปกล่าวประมาทว่าไม่ดี เราหนียังไม่ได้ เปรียบเหมือนเอาไฟมาเผาบ้านตนเอง กลายเป็นผู้ประมาทกายตนและผู้อื่น สิ่งรื่นรมย์ก็คือกายของมนุษย์และสัตว์นั่นเอง นอกจากนี้ไม่มี เพราะมันเป็นสิ่งปรารถนาของมนุษย์และสัตว์ ที่ผู้มีกามโหดร้ายอยู่ ผู้ยังออกไม่ได้ไม่ควรไปกล่าวประมาท เพราะตนยังปราศจากไม่ได้ ไม่ควรพูดว่าไม่ดี ให้ตนปราศจากได้เสียก่อน จึงแสดงแจ้งเหตุผล ให้ปุถุชนทราบว่าเป็นอสุภะ ความเบื่อหน่ายอย่างนี้ ถึงมีเหตุผลแห่งตนและผู้อื่นนะท่านทั้งหลายชายหญิงทุก ๆ ท่าน บ้านของตนอย่าเพิ่งไปประมาท มันจะขาดจากศีลและธรรมความว่าเบื่อหน่ายนั้น มิใช่โกรธเคืองหรือรังเกียจ หรือมิใช่เป็นสิ่งไม่พอใจของตนอย่างนี้หาได้ไม่ ความอันว่าที่มันเกิดขึ้นในแห่งจิตทั้งหลายนั้น มันคอยจะจากความกำหนัดเป็นสิ่งสัมผัสถูกต้องกายตนและผู้อื่น ไม่เยื่อใยในเรื่องเสพกาม และไม่มีส่งเสริมแก่ท่านเหล่าอื่นทั้งทางกาย วาจา ใจ แต่ผู้อื่นท่านพูดกัน ก็มิอยากได้ยินเลย เพราะความบีฑาเกิดขึ้นแล้วแก่ผู้ปฏิบัติชายหญิงต้องเป็นอย่างนี้ที่กล่าวมานี้ทุก ๆ ท่าน ไม่มีเสื่อมคลายจากศีลและธรรมไปได้ ไม่ยอมละจากเพศพรหมจรรย์ไปได้ ถ้าถูกมีผู้บังคับให้ออกจากศีลและธรรม เพื่อให้เข้าสู่คฤหัสถ์ ให้ตายเสียดีกว่าอยู่ จิตผู้ใดเกิดบีฑาญาณเบื่อหน่ายแล้ว ต้องเป็นอย่างที่กล่าวมานี้นะท่าน

 

 

ปราชญ์สรรเสริญ

ว่าธรรมเป็นล้ำเลิศ

 

 

สุดประเสริฐ

กว่าทรัพย์ทั้งน้อยใหญ่

 

 

ธรรมคุ้มผู้

ประพฤติเป็นธรรมไซร้  

 

 

คงต้องได้

ผลงามตามตำรา

 

 

 

 

คุณวุฒิ 

คุณธรรมสำคัญนัก

 

 

วุฒิเป็นหลัก

ธรรมเป็นแหล่งแต่งศักดิ์ศรี

 

 

คุณวุฒิ

สุดล้ำธรรมไม่มี

 

 

ก็เอาดี

ไปไม่รอดตลอดชนม์

 

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:05:55

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom