-
ทุกขสัจจ์เป็นธรรมอันประกอบทุกข์
|
|
-
ให้พิจารณาให้รู้สิ่งอันใดเป็นอามิสภายนอกก็ให้รู้ด้วย
สิ่งอันใดเป็นอามิสภายในก็ให้รู้ด้วย
อามิสภายนอกภายในที่ท่านนึกคิดว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัยที่เป็นวัตถุก็ตามมิใช่วัตถุก็ตามแข็งก็ตาม
หยาบก็ตาม
ละเอียดก็ตาม
ประณีตก็ตาม
เหลวก็ตาม
ใกล้ก็ตาม
ไกลก็ตาม
ธรรมเหล่านั้นมิใช่อามิส
ธรรมเหล่านั้นเป็นพระธรรมเป็นพระวินัยสัตถุศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ปฏิบัติภิกษุ
สามเณร ชี
พราหมณ์
ควรจะคิดติดตามไปในธรรมเหล่านั้นไว้เป็นที่พึ่งที่อาศัยของท่าน
เพราะมิใช่ธรรมประกอบทุกข์
เป็นธรรมที่ออกจากความพ้นทุกข์ได้เป็นธรรมน้อมนำจิตใจของท่านเข้าสู่พระพุทธ
พระธรรม
พระอริยะสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัยของท่านโดยหนึ่งไม่มีสอง
เพราะเราไม่เดินตามอามิสนั้นเอง
|
|
-
ธรรมเหล่าใดเป็นอามิส
ธรรมเหล่าใดนั้นต้องเป็นธรรมประกอบทุกข์ให้รู้ด้วย
|
|
-
ธรรมเหล่าใดมิใช่เป็นอามิส
ธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมปราศจากทุกข์ก็ให้รู้ด้วย
|
|
-
อนึ่งผู้ปฏิบัติทั้งหลายชาวพุทธคือ
ภิกษุ สามเณร
ชี พราหมณ์
อุบาสก
อุบาสิกา
ทั้งหลายเมื่อว่าท่านเหล่าใด
นึกอยู่ก็ดี
คิดอยู่ก็ดี
พูดออกมาก็ดี
ว่านรกสวรรค์พรหมพระนิพพานไม่มีเช่นนี้
ท่านเหล่านั้นเป็นผู้มืดเป็นผู้ดำมิใช่มนุษย์โส
คำว่าผู้มืดผู้ดำเป็นคำหมายถึงเจ้าทุกข์เปรียบเหมือนตัวตนที่ถูกไฟเผาแล้ว
แต่ยังเหลืออยู่คือหัวตอที่ดำไหม้เกรียมดังไว้ทุกข์
คือความอาลัยอยู่ในกามนั้นเอง
เป็นเครื่องหมายของสีดำมืด
แม้แต่จะเล่าเรียนธัมมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสักเท่าใดก็ตามจะหารู้ในธรรมเหล่านั้นก็หาไม่
หลงไหว้วอนอยู่ในความมืดดำนั่นเองฯ
|
|
-
ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงให้รู้ความขาวสว่างแจ่มแจ้งที่เกิดอยู่ในจิต
เจตสิก รูป
นิพพาน
ตามธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากันบ้าง
นรก สวรรค์
พรหม นิพพาน
มันเป็นพุทธบัญญัติบุญ-บาป-ศรัทธาบารมีก็เป็นพุทธบัญญัติ
พุทธะ แปลว่า
ผู้เบิกบานผู้สว่างเห็นแจ้งว่า
บุญ-บาป-นรก-สวรรค์-พรหม-นิพพานมีอยู่พระพุทธเจ้าถึงบัญญัติไว้ให้
ชาวโลกปวงมนุษย์ให้รู้ในทางไม่สูญ
ให้รู้ในทางเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกองทุกข์แห่งวิบากกรรม
ให้รู้ในทางไม่มาเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์อีกต่อไป
ธรรมเหล่านี้เป็นพุทธบัญญัติมิใช่บุคคลบัญญัติ
บุคคลบัญญัติผู้มืดดำก็ว่าบุญ-บาป-นรก-สวรรค์-พรหม-นิพพานไม่มี
ท่านเหล่านี้จะเป็นสมมุติเพศใดๆ
ก็ตามต้องเป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง
หมู่ท่านเหล่านั้นแหละจะมาเป็นบิดามารดาพวกหมู่มิคสัญญีต่อ
ๆ กันไป
เพราะความมืดดำของตนนั่นเอง
หมู่พวกเหล่ามิคสัญญีนั้นท่านคาดคะเนเอาว่ามนุษย์และสัตว์เกิดมาแล้ว
ก็ต้องตายไปสูญไม่มีอะไรเหลืออยู่
บุญ-บาปไม่มี
ถ้าบุญ-บาปไม่มีแล้วจิตใจมนุษย์และสัตว์มันจะเป็นอย่างไร
ให้ท่านชาย-ท่านหญิงพิจารณากันบ้างอย่าอยู่นิ่งเฉย
ให้รู้เหตุเหล่านั้นด้วย
ท่านเหล่านั้นไม่รู้กระทั่งตนเองว่ากระไร
โลกมนุษย์กามภพนี้ก็อยู่กันด้วยรูป
ภูมินรกก็อยู่กันด้วยรูป
ภพสวรรค์ก็อยู่กันด้วยรูป
ภพของพรหมก็อยู่กันด้วยรูปมิใช่หรือ
เรามาปฏิสนธิอยู่ในโลกกามภพมนุษย์นี้ในเวลานี้
ให้ท่านรู้ว่าต่อไปต้องไปจุติตามภพต่าง
ๆ กันคือ
ด้วยกุศลและอกุศลด้วยการกระทำทางกาย
ทางวาจา
ทางใจนั้นเอง
อย่าตีควายกระทบคราดประเดี๋ยวนาจะไม่เสร็จ
มรรคผลจะไม่มี
ดีชั่วอยู่ที่การกระทำ
|
|