-
โมหะ
|
|
-
อาตมาได้ทราบเหตุทราบผล ทราบสมุฏฐาน
และวิธีการที่จะปฏิบัติต่อ
โลภะ
โทสะแล้ว
สิ่งที่ยังเหลืออยู่
ยังไม่รู้ก็คือโมหะ โมหะคือความหลงลืม
ความเผลอ
หลงอะไร
ทำไมจึงหลง
หลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น
เกิดปัญหาโลกแตกขึ้นมาอีก
ถามใครก็ไม่ได้เรื่องได้ราว
รู้แต่คำแปลไม่รู้จักเหตุ
จึงแก้ไม่ตก
บางท่านอธิบายว่า
หลงรูปหลงนาม
หลงยศหลงศักดิ์
หลงไปตามโลกธรรมแปดประการ
หลงเกิด
หลงแก่
หลงเจ็บ
หลงตาย
หลงเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์
หลงมัวเมาอยู่ในตัณหา
นั่นคือมันหลงมันโลภกันมาแล้ว
จึงต้องเป็นไปอย่างนั้น
ผลมันจึงต้องเป็นอย่างนั้น
บางท่าน
เห็นของอะไรที่ไม่ดีไม่งามก็เหมาเอาว่า
โลภะ
โทสะ
โมหะ
เสียหมดนี่แหละเขาเรียกว่า
หมอขับปีศาจ
แต่มองไม่เห็นตัวผี
ยกอ้างตำรา
อ้างพระคัมภีร์ว่ารู้ว่าเห็น
หลอกเอาข้าวของเงินทองต่างๆ
บาปกรรมไม่ว่า
ขอแต่ให้ได้เป็นเอา
|
|
-
นี่แหละโมหะ
คือความหลง
มันจึงมืดมิดปิดตาหาเหตุผลไม่เจอ
เพราะว่าผิดศีลผิดพระวินัยล่วงสิกขาบทเกือบหมดทั้งสิบประการ
โดยเฉพาะข้อที่สิบ ท่านห้ามหยิบห้ามจับเงินทอง
มันทำให้เกิดราคีเศร้าหมอง
ก็ยังหาผู้เชื่อฟังได้ยาก
ภิกษุผู้ทุศีล
ล้วนแต่สร้างกรรมสร้างเวรกรรมหยาบช้าไว้ใส่ตน เป็นสมณะผู้เน่าใน
หาความสงบไม่ได้
ปิดทางสวรรค์นิพพานของตัวเอง
|
|
-
มีลูกให้เตือนลูก
มีหลานให้เตือนหลาน
ว่าอย่าได้ล่วงเกินสิกขาบทพระธรรมวินัย
อย่าลืมกรรมฐานห้า
คือ
เกศา
โลมา
นขา
ทันตา
ตะโจ,
ตะโจ
ทันตา
นะขา
โลมา
เกศา
ซึ่งพระอุปัชฌาย์ท่านให้มาท่องบ่น
โดยอนุโลม
ปฏิโลม
|
|
-
เมื่ออาตมาศึกษาค้นคว้า
หาเหตุที่จะละโมหะคือความหลงไม่ได้
อาตมาจึงได้หันเข้าสู่องค์สมาธิกรรมฐานต่อไป ตั้งใจไว้จุดเดียวคือโมหะ
ตั้งหน้าปฏิบัติไปอีกหลายวัน
จนถึงวันข้างขึ้น
14 ค่ำ
เดือนแปด
ขณะที่จิตเข้าสู่สมาธิ
ตัดขาดจากนิวรณ์ทั้งหลาย
มีสมาธิจิตที่ว่างสงบ
และปลอดโปร่งยิ่งนัก
จึงบังเกิดความสว่างเรืองรองที่แจ่มใส
จะหาความสว่างโปร่งโล่งอย่างอื่นในโลกเรา
เข้าไปเปรียบก็มิปาน
พอความแจ่มใสรุ่งโรจน์มีขึ้นอย่างเต็มที่แล้ว ก็มองเห็นสภาพขององค์พระธรรมานุภาพ พระองค์ท่านเสด็จมาปรากฏ
อยู่ข้างหน้าเช่นเดียวกับคราวก่อน
แต่คราวนี้มองเห็นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งกว่าคราวก่อน
มีรัศมีเป็นสีทอง ทองอ่อนๆ สดใสยิ่งนัก
แต่หากพระองค์ท่าน
มิได้เป็นวัตถุหรือสังขารอย่างมนุษย์เรา
พระองค์ท่านมีพระดำรัสขึ้นว่า
|
|
-
ท่านๆ
ท่านจะละโมหะหรือ
ถ้าท่านจะละโมหะ
ให้ท่านละความกลัวเสียนะ พระองค์ท่านตรัสจบลงแล้ว
ก็ทรงประทับนิ่งเฉยอยู่ตรงหน้าอาตมา
ห่างประมาณวาเศษ
อาตมาได้พิจารณาไปตามพระดำรัสของพระองค์ท่านจึงบังเกิดปัญญาขึ้นว่า
อ้อ
ถ้าหากเรากลัวอดอยาก
กลัวหิว
กลัวจะไม่อร่อย ก็เที่ยวเสาะหาอะไรมารับประทานเข้าไปสารพัดอย่าง
จนท้องอืด
ท้องเฟ้อเกิดทุกข์ทรมาน
ได้อาหารอย่างนี้มารับประทาน
มันเกิดเหม็นเบื่อขึ้นมาแล้ว
ต้องหาอย่างใหม่อีก
เปลี่ยนกลับสลับกันไป
ติดรสติดอาหาร
หลงอยู่ในเรื่องกินนั่นเอง
|
|
-
ความกลัวยิ่งมีมากเท่าใด ความหลงย่อมมีเพิ่มขึ้นเท่านั้น
เช่น
กลัวจน
ก็พยายามสะสมทรัพย์สมบัติ
ข้าวของเงินทองไว้มากมาย
ไม่ใช้ไม่จ่าย บุญก็ไม่ทำ
กรรมก็ไม่เหลียวแล
หลงมัวเมาอยู่แต่ความร่ำรวยนั้นเอง
ตายไปแล้วก็เอาไปไม่ได้
ความกลัวอย่างอื่นยังมีอีกคือ
กลัวจะไม่มีอำนาจวาสนา
ยศถาบรรดาศักดิ์
เป็นเจ้าคนนายคน
เมื่อได้แล้ว
ก็กลัวจะมัวหมอง
เสื่อมเสียอำนาจเหล่านั้นอีก
มีโมหะความหลง เพราะหลงว่าตัวเองเก่งกล้า
สามารถ
เหมือนเอาหัวโขนเข้ามาใส่
บอกบทเต้นรำเป็นเสนาข้าราชการอำมาตย์
มีฤทธิ์เดชมากมายก่ายกอง
อยู่ได้พักเดียวก็ตายเสียแล้ว
หลงมัวเมาหมกมุ่นอยู่
กับนามสมมุติที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน
กลัวจะไม่มีความสุข กลัวจะมีความทุกข์
กลัวจะถูกตำหนิติเตียน
ความกลัวความหวาดสะดุ้งก็ดี
ขนพองสยองเกล้าก็ดี
เหล่านี้ก็ต้องหลงอยู่ในความทุกข์
ความสุขสรรเสริญเยินยอเหล่านั้น
กลัวเขาจะว่าเป็นคนโง่
ไม่มีปัญญาความรู้
เลี้ยงบุตรภรรยาไม่ได้
ต้องอาศัยศาสนาหากิน
กลัวจะไม่ได้เกิดเป็นคน
กลัวตาย
เหล่านี้
เขาเรียกว่ายังมีความหลงอยู่
จึงต้องเกิดอีก
|
|
-
ความกลัวอยู่ที่ไหน
ก็เกิดที่นั่น
หลงที่นั่น
ยึดถือมัวเมาอยู่ที่นั่น
ไม่รู้จักจบสิ้น ฉะนั้น ตัวโมหะก็คือ
ความกลัวความหลง ถ้าเราละความกลัวเสียได้
เราก็ไม่เป็นคนหลงอีกต่อไป
ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมต้องยอมตายถวายชีวิต
แม้สังขารร่างกาย
ซึ่งจะต้องเน่าเปื่อยมิได้เป็นของเราอันนี้ เขาจะแตกฉิบหายพินาศลงเมื่อใด
เราก็ต้องไม่มีการหวาดกลัวมัวเมา
หมดกลัว
หมดหวาดสะดุ้ง
หมดหนี
พระอริยบุคคล
ต้องยอมตายถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา
รักศีลสิกขาบทยิ่งกว่าชีวิต
เพื่อการปฏิบัติธรรมะ
เพื่อพ้นทุกข์แต่อย่างเดียว
|
|
-
พออาตมาพิจารณา
เห็นจริงตามสัจจะธรรมดังกล่าวแบบนี้แล้ว
สภาพขององค์พระธรรมานุภาพ
ซึ่งประทับยืนอยู่แต่เดิมนั้น
พระองค์ท่านก็ค่อยๆ
จางหายไปในอากาศพร้อมด้วยรัศมีสีแสงทั้งหมด
ทันใดนั้นเองเบื้องบน
นภากาศ
บนฟ้าเหนือศีรษะอาตมา
ได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหวอย่างกับเสียงกลองขนาดใหญ่
ถูกตีพร้อมๆ
กันดังกระหึ่มไม่ต่ำกว่ายี่สิบลูกดังอยู่นานประมาณ
2 นาที
พอสิ้นเสียงกลอง ก็ได้ยินเสียงพระสวดมนต์
เสียงสวดมนต์พร้อมกันกังวานประมาณได้หลายร้อยรูป ท่านสวดอยู่หลายบทหลายตอน
ตอนสุดท้ายของแต่ละบทที่จะหมดลง
จะมีคำลงท้ายว่า
พุทธะทานัง
ปรมัง
โหตุ
ทุกบทไป
นอกจากนั้นอาตมาจำไม่ได้
ท่านสวดมนต์กันอยู่ดังนี้ทุกวัน
เริ่มตั้งแต่รุ่งอรุณจนถึงหนึ่งโมงเช้าก็หยุด
|
|
-
อาตมาได้ยินเสียงเช่นนี้อยู่ประมาณเจ็ดวัน
สี่วันแรกอาตมาไม่ยอมเปิดเผยให้ใครทราบ
ด้วยหวังจะหยั่งเสียงผู้อื่นดูว่า
มีใครบ้างจะได้ยินเสียงอย่างนี้
หากคนอื่นเขาได้ยินเขาคงจะพูดกันบ้าง
หรือว่าเราได้ยินผู้เดียว
ทั้งนี้เพราะอาตมาตื่นขึ้นไหว้พระ
ทำสมาธิตั้งแต่ตีสี่ตลอดไป
จนถึงเวลารุ่งอรุณจึงได้กรวดน้ำแผ่เมตตาจิต ต่อจากนั้นอาตมาก็ได้ยินเสียงพระสวดมนต์ทุกวันไปจนถึงในคืนที่สี่
ซึ่งเป็นวันที่ห้านั้นเอง
อาตมาได้เดินทางมาจากภูเขา
จากที่ซึ่งเคยทำเพียรปฏิบัติมาก่อน
เดินออกมาครู่หนึ่งจึงได้พบพระภิกษุทองมาก
และพระภิกษุเชื่อมทั้งสองรูป
ท่านกำลังหิ้วปิ่นโตเดินบิณฑบาตอยู่แถวนั้น อาตมาได้ช่วยถือปิ่นโตแล้วเดินตามท่านไป ขณะเดินไปถึงกลางทุ่ง
เป็นที่เปลี่ยวไม่มีบ้านคน
อาตมาได้พูดขึ้นว่า
นิมนต์พระคุณท่านทั้งสองหยุดสักครู่หนึ่งเถิด
ท่านจึงหยุดชุนนุมกันอยู่กลางทางเดิน
อาตมาได้กล่าวต่อไปอีกว่า
ท่านจงตั้งใจฟังให้ดีนะ
ขณะนี้พระคุณเจ้าทั้งสองได้ยินเสียงอะไรบ้าง ทั้งสององค์ได้สงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า
ได้ยินเสียงพระสวดมนต์อยู่บนฟ้าอย่างเดียวกัน อาตมาได้ถามท่านต่อไปอีกว่า
คำสวดมนต์ที่ลงท้ายทุกครั้ง
ทุกบทเขาว่าอย่างใด
ท่านได้ตอบว่า
พุทธะทานัง
ปรมัง
โหตุ
อาตมาจึงได้ปรารภขึ้นว่า
อ้อ
ท่านได้ยินเหมือนๆ
กัน
นึกว่าได้ยินแต่ผมผู้เดียว
เสียงที่พระท่านสวดอยู่หยุดลง
เมื่อครบเจ็ดวัน เมื่อหมดเสียงพระสวดในวันคำรบเจ็ด
ก็ได้ยินเสียงระฆังถูกตี
ได้ยินเสียงก้องกังวานบน
นภากาศประมาณสิบๆ
ใบทีเดียว
|
|
-
เรื่องทั้งหลายที่อาตมา
เล่ามาสู่กันฟังตั้งแต่ต้นนั้น
หรือกำลังจะเขียนกำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปก็ดี เป็นประสบการณ์ในชีวิตการปฏิบัติธรรมของอาตมา
ซึ่งตรงกับคำว่า
สันทิฐิโก
แปลว่า
ธรรมของพระพุทธองค์นั้นเป็นของอันบุคคลผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นเอง
พระพุทธวัจนะมีว่า
ปัจจัตตังเวทิตัพโพ
วิญญูหิ
แปลว่า
อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้เฉพาะตน
มันเรื่องลึกลับถึงสวรรค์นิพพานมากมายเหลือเกินไม่สามารถนำมาเล่ามาเขียนได้
อาตมาไม่ได้โกหก หรือตกแต่งขึ้นเพื่ออวดคุณวิเศษอะไร มิได้หวังลาภยศชื่อเสียงเครื่องสักการะ มิได้หลอกลวงเอาทรัพย์สินเงินทอง
หรือต้องการจะตั้งตนเป็นครูบาอาจารย์ใคร
ที่ทำไปเขียนไปก็เพราะเจตนาอันบริสุทธิ์เกี่ยวกับกิจการของพระศาสนาอย่างเดียว
ฉะนั้นถ้าผู้ใดอ่านแล้วจะเชื่อหรือไม่
ก็ไม่ถือเป็นสลักสำคัญอะไร...
|
|
-
อันดับต่อไป
อาตมาได้เข้าไปทำสมาธิกรรมฐานอยู่ในถ้ำ
ชื่อว่าเขาน้ำตกสาลิกา
ทำสมาธิกรรมฐานอยู่ที่นั่นถึงห้าคืน
ขณะปฏิบัติตนจิตเข้าสู่องค์สมาธิ
ตกดึกประมาณสองยามล่วงแล้ว
จะได้ยินเสียงคนคุยกัน
เสียงหัวเราะวิ่งหยอกล้อกันเล่น
ได้ยินเสียงเอ็ดอึงไปหมดคล้ายกับเสียงคนเรานั้นแหละ
มิได้เป็นเสียงที่น่าสะดุ้ง
หรือหวาดกลัวอะไรเลยสำหรับอาตมา
ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
ที่ยังไม่เคยพบไม่เคยเห็น
ทดลองไปปฏิบัติฟังดูก็ได้
ถ้าจิตเป็นสมาธิแล้วจะได้ยินเสียงอย่างนี้
เขาน้ำตกสาลิกา อยู่จังหวัดนครนายกใกล้ๆ
นี้เอง
การปฏิบัติหากไปกันหลายคน
ให้เว้นระยะกันประมาณหนึ่งเส้นเป็นการดี
|
|
-
การระลึกถึงพระพุทธ
พระธรรม
พระอริยสงฆ์
พระไตรสรณาคมน์นี้ เป็นทิพย์โอสถอย่างดี
สามารถขจัดเสียซึ่งอุปัทวเหตุ
และอันตรายทั้งปวง
จะเล่าสู่กันฟัง ระหว่างที่อาตมาบำเพ็ญเพียรอยู่ขณะนั้น ได้เกิดอาการไข้อย่างรุนแรง
เอายาที่ไหนมารักษาก็ไม่หาย
อาการป่วยยิ่งทรุดหนักลงทุกที
ได้รับประทานอาหารเป็นสองมื้อ
คือเช้าและเที่ยง
อาการป่วยก็มิได้ทุเลาลง
กลับแย่หนักลงไปอีก
จนต้องเพิ่มอาหารขึ้นอีกเป็นวันละสามมื้อ
อาการไข้ก็หาได้สงบลงไม่
อาตมาจึงได้พิจารณาว่า
แต่เดิมที่เราปฏิบัติอยู่ในป่าในเขา
อาหารที่รับประทานนั้นน้อยมาก
วันหนึ่งรับประทานข้าวตากหนึ่งอุ้งมือเดียว วันไหนรู้สึกอ่อนเพลียมากและยังไม่เลยเที่ยง
ได้หาใบไม้ที่มีรสเปรี้ยว
เช่น
ใบเถามะลิ
และใบส้มเหม้ากับเกลือ
รับประทานแล้วจึงดื่มน้ำเข้าไปเพื่อประทังชีวิตไปได้ตลอดวัน
มิได้เจ็บไข้ได้ป่วยประการใด
ขณะนี้เรารับประทานอาหารสมบูรณ์ดี
ทำไมอาการป่วยจึงเจ็บหนักทรุดลงทุกที
เห็นแก่ตัวมัวบำรุงสังขารอยู่เช่นนี้
มันคงไม่เกิดประโยชน์อันใด
อีกหน่อยก็คงไม่รอด ความตายไม่ยอมคอยใคร
ถ้าเรากลัวตายอยู่
และมัวบำรุงสังขารอยู่
เราต้องเกิดอีกไม่มีที่สิ้นสุด
การที่เราเข้ามาปฏิบัติธรรม
รักษาศีลเหล่านี้
ก็เพื่อหวังจะหนีทุกข์
หนีจากความเกิด
หนีจากความทะยานอยากคือตัณหา
มุ่งหวังจะเข้าสู่ความสงบที่แท้จริง
แม้สังขารจะแตกดับก็เป็นเรื่องของรูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร
วิญญาณ
มิได้อาลัยอาวรณ์แต่อย่างใด
อาตมาพิจารณาได้แล้ว
จึงตัดใจได้ว่า
เราจะขอพึ่งศีลแปด
ซึ่งละโดยสมุจเฉทนี้แล้ว
เป็นที่พึ่งโดยสัจจะ
ถึงแม้จะตายก็ไม่มีว่า
จะรับประทานอาหาร
เฉพาะข้าวสุกกับเกลือวันละหนึ่งมื้อ
ให้ได้เป็นจำนวนแปดวัน
พอตั้งสัจจะอธิษฐานเสร็จแล้ว
จึงเข้าสู่อุโบสถวัดตำหนักทันที
อาศัยอยู่ในอุโบสถได้สามวัน
อาการป่วยก็พลันหายไป
มิได้เจ็บไข้อย่างใดอีกเลย
|
|
-
ต่อจากนั้น
ประมาณสองหรือสามวัน
พอตกดึกตอนตีสอง
นายเรืองได้มาตามอาตมา
บอกว่า
อาจารย์ๆ
คุณน้อยภรรยาของท่านเห็นทีจะแย่แล้ว ป่วยมากมีอาการจุกเสียด
ท้องเดินอย่างแรงจนตะคริวจับ
ต้มน้ำร้อนประคบแล้วแก้ไขกันอย่างไรก็ไม่หาย อาตมาได้ทราบดังนี้แล้ว
ได้ลุกออกมาจากอุโบสถตรงมาดูคนเจ็บที่บ้าน ใช้ไฟฉายตรวจดูอุจจาระเห็นเป็นโลหิตสดๆ
ปนออกมาผิดธรรมดา
ทั้งนี้เพราะท้องเดินมันกลายเป็นถ่ายลงแดง จุกเสียดและตะคริวจับถึงหัวใจ
ด้วยอากาศหนาวมาก
มีอาการร่อแร่
เพราะฟังเสียงหายใจดังครืดๆ
ครอกๆ
อาตมาก็นึกเสียใจ
ด้วยยามดึกเช่นนี้
จะหายาหาหมอที่ไหนมารักษาก็ไม่มี
คิดไปพิจารณาไปจึงเกิดปัญญา
คือความสว่างขึ้น
จึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐานขึ้นว่า
เอาละ
คนป่วยผู้นี้
เขาได้ตามช่วยการปฏิบัติเรามาช้านานแล้ว
นับเป็นบุญเป็นกุศลของเขายิ่งแล้ว
เมื่อไม่ถึงคราวตายคือบุญยังค้ำอยู่ก็คงไม่ตาย
หากหมดบุญหมดกรรม ถึงคราวตายของเขา
ก็ไม่มีหนทางใดจะรั้งเอาไว้ได้
สังขารไม่เที่ยงหนอ
สมบัตินอกกายเราได้สละเป็นท่านเสียหมดแล้ว ยังเหลืออยู่ก็แต่คุณพระพุทธ
คุณพระธรรม
คุณพระอริยสงฆ์
เท่านั้น
คุณบิดามารดา
คุณครูบาอาจารย์
คุณศีลทานและสมาธิกรรมฐานที่ได้ปฏิบัติมา
เราอยู่ด้วยกันสองคนสามีภรรยา
นับตั้งแต่รักษาศีลแปดทรงเพศเป็นดาบส
ยังมิได้แตะเนื้อต้องตัวกันเลย
ด้วยสัจจะความจริงอันนี้
ขอคุณพระภูมิเจ้าที่
แม่นางธรณี
เทพบุตรเทพธิดาทั้งหลาย
จงได้มาเป็นสักขีพยาน
ข้าพเจ้าจะเอามือของข้าพเจ้านี้
ลูบท้องให้ภรรยาสามครั้ง
ขอให้โรคนั้นหายเสียเถิด
เมื่อจบคำอธิษฐานแล้ว
อาตมาได้เอามือขวาลูบท้องให้ภรรยาสามครั้ง อาการป่วยทุรนทุรายแต่เดิมนั้น
ได้หยุดสงบลงทันทีทันใด
เสียงหายใจก็ไม่ได้ยิน
อาตมานึกว่า
เอ
นี่คงจะหมดลมไปแล้วกระมังหนอ
จึงได้เอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มมาคลุมไว้
เพราะอากาศก็เย็นจัด
|
|
-
เสร็จแล้วอาตมาจึงทำการจุดธูปเทียนบูชาพระ
นั่งสมาธิกรรมฐานต่อไปนานประมาณหนึ่งชั่วโมง จึงได้ยินคนป่วยหายใจแผ่วๆ
เสียงเรียบเสมอกัน
เหมือนคนนอนหลับสนิทตามปกติ
อาตมาจึงทราบว่ายังไม่ตาย
ตอนนั้นเวลาประมาณตีสี่เห็นจะได้
อาตมาจึงนั่งสมาธิต่อไปจนสว่าง
เมื่อสว่างแล้วอาตมาได้กรวดน้ำ
แผ่เมตตาจิตโปรดสัตว์
มนุษย์เทวดา
และมารทั้งหลายโดยทั่วกัน
จึงเห็นน้อยผู้ป่วยลุกขึ้นหุงต้มอาหาร
ตามปกติที่เคยปฏิบัติอาตมาแต่ก่อน
อาตมาจึงถามว่ารู้สึกอ่อนเพลียหรือเจ็บไข้อย่างใดบ้าง
น้อยตอบว่า
ไม่มีอะไรมากหรอก
มีอ่อนเพลียบ้างเล็กน้อยเท่านั้น
แล้วทำงานต่อไปตามเคย
|
|
-
นี่แหละท่านทั้งหลาย พระพุทธ พระธรรม
พระอริยสงฆ์
และสัจจะธรรม
ช่วยผู้ปฏิบัติได้จริง
เว้นแต่ผู้นั้นจะหมดบุญ
หมดอายุ
ท่านจะช่วยได้ชั่วขณะ
หรือชั่วคราวเท่านั้น
เพราะสังขารของมนุษย์และสัตว์ในโลกนี้เป็นของไม่เที่ยง
เกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง
เมื่อสิ้นเหตุสิ้นปัจจัยแล้ว
ย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เป็นอนัตตา
ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร
|
|