-
ธรรมปฏิบัติพิจารณาแห่งปัญญา
|
|
-
ผู้ปฏิบัติให้พิจารณาสังขารกายเวทนาตนและผู้อื่นในกามภพนี้
กายสังขารปรุงขึ้นด้วยกามเป็นธาตุสืบเนื่องกันมารวมกันอยู่เป็นรูปแห่งกายของธรรมชาติ
รูปหญิงและชายที่อยู่ในโลกมนุษย์นี้
เป็นรูปธาตุมิใช่รูปสภาวธรรม
เป็นรูปธาตุแห่งกาย
ที่จิตเจตสิกมาอาศัยอยู่ชั่วคราวชั่ววาระหนึ่งเท่านั้นในรูปธาตุของกามภพนี้
รูปธาตุนี้มิใช่ตัวตนบุคคลเราเขานะท่าน
เพราะว่าเราอยู่ในโลกมนุษย์นี้ต้องอาศัยรูปธาตุถึงรู้ถึงเห็นกันได้
เมื่อเราจะพูดส่งเสียงออกมาต้องผ่านรูปธาตุ
ส่งเสียงให้มนุษย์และสัตว์ได้ยินกันรู้เรื่องกัน
สำหรับที่เราอยู่ในโลกมนุษย์นี่ต้องอาศัยรูปธาตุกายสังขารนี้เอง
ถึงเมื่อรูปธาตุตายแตกดับเราก็ต้องอาศัยรูปเบญจขันธ์
รูปสภาวธรรมไปตามกุศลและอกุศล
ไปจุติตามภูมิต่าง
ๆ กัน
ถ้าผู้ปฏิบัติจะละรูปเบญจขันธ์หรือ
ดับรูปเบญจขันธ์
เราต้องอาศัยรูปนิพพานคือจิต
เจตสิก รูป
นิพพาน
โดยรูปพระนิพพานโดยจำเพาะ
ถ้าเราจะละโลภ
โกรธ หลง
ให้ละรูปธาตุทั้งหกเพราะมิใช่ของ
ๆ เรา ไฟโลภะ
ไฟโทสะ- ไฟโมหะ
ก็จะดับลง
เหลือแต่ความรู้ความเร่าร้อนก็ไม่มี
ถ้าเราจะละกามตัณหาสามให้ละธาตุทั้งปวง
ให้ทำจิตใจไม่รักไม่เกลียดแก่ธาตุทั้งปวง
ผู้ปฏิบัติถึงจะละได้
เพราะธาตุทั้งหลายเป็นเหตุ
เราต้องละตามเหตุนั้น
ๆ
เพราะธรรมทั้งหลายเกิดเพราะเหตุดับเพราะเหตุ
เพราะว่าธาตุทั้งหลายย่อมทำให้เกิดเป็นสภาวธรรมได้สภาวธรรมย้อมจิตใจ
ให้เกิดตัณหาราคะอาสวะ
โลภโกรธหลงได้
ก็เพราะธาตุนั้นเอง
เมื่อเราจะละตัณหาสภาวธรรมให้ละธาตุนั้น
เมื่อเราจะละหรือจะดับอาสวะโลภโกรธหลงให้สิ้นไปให้ละให้ดับมนุษย์สมบัติ-สวรรค์สมบัติ
นั้นเสียถึงจะละถึงจะดับได้
สิ่งที่กล่าวมานี้มันเป็นเชื้อให้ติดไฟติดอยู่ได้ไม่มีที่จะสิ้นสุด
ถ้าเชื้อไม่มีแล้วสิ่งทั้งปวงก็นับวันนับคืนก็จะดับสิ้นสุดลงเท่านั้นไม่ต้องไป
นั่งหลับตาดับหูให้มันเสียเวลา
ทำกิจในทางพุทธศาสนาให้ถาวรดีกว่า
ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมของนักบวชชาย-หญิงให้พิจารณาด้วยปัญญา
เราจะละสวรรค์สมบัติแห่งเบญจขันธ์ให้ละ
อายตนะภายในมีอยู่
6 อย่าง คือ
|
|
-
|
1.
รูปที่สวยงาม
|
4.
รสที่อร่อยโอชา
|
|
|
2.
เสียงที่ไพเราะ |
5.
เครื่องสัมผัสนิ่มนวล
|
|
|
3.
สิ่งที่หอมยั่วยวน
|
6.สิ่งเพลิดเพลินกระทำให้จิตใจเคลิบเคลิ้ม
|
|
|
|
หลงใหลในสิ่งนั้น
ๆ
|
|
|
อย่างนี้ให้สิ้นไป
ให้มีแต่นิพพานสมบัติ
นิพพานสมบัตินั้นมีอยู่
5 อย่างคือ
|
|
|
-
|
1.
พุทธานุสติ
|
4.
ลมหายใจเข้า-ออก
|
|
|
2.
ธรรมานุสติ
|
5.
นิพพาน
|
|
|
3.
สังฆานุสติ
|
|
|
|
|
|
|
-
ห้าอย่างนี้เป็นสมบัติของพระนิพพาน
ขอแต่ปฏิบัติอย่าลังเลสงสัยจะเกิดกลัวเพราะถ้าเราคิดกลัวว่าจะผิดทางอยู่ดังนี้
ก็ย่อมจะต้องเกิดความหลงติดตามมาเท่านั้น
พุทธเจ้าตัดทางย่อ
ๆ
ไว้ให้อีกให้ผู้ปฏิบัติพิจารณาต่อ
ๆ ไปว่า จิ-เจ-รุ-นิ
คือ จิต-เจตสิก-รูป-นิพพานนั้นเอง
โลกมนุษย์ 1
สวรรค์ 1 นิพพาน
1
เป็นสิ่งสืบเนื่องกัน
โลกมนุษย์มีสวรรค์ก็มี
สวรรค์มีพระนิพพานก็มี
ผู้ปฏิบัติไม่ต้องสงสัยในธรรมเหล่านี้ต่อไป
โลกมนุษย์เราก็มีรูปสวรรค์ก็ต้องมีรูป
พระนิพพานก็มีรูปเช่นกัน
ท่านถึงได้ตรัสไว้ว่ารูปนอก-รูปใน-รูปในรูป
ๆ
นั้นเป็นรูปเข้าสู่พระนิพพาน
ไปได้แต่รูปเดียวเท่านั้นไม่ต้องสงสัยเรียกว่าหนึ่งไม่มีสองนั้นเอง
มนุษย์คนเราแต่ละท่านมีอยู่
3 คน 3 รูปคือ รูปธาตุสังขารที่อยู่ในกามภพนี้รูป
1
รูปในคือรูปเบญจขันธ์
รูป 1 เวทนา 1
สัญญา 1
สังขารขันธ์ 1
วิญญาณ 1
ห้าอย่างนี้รวมชุมนุมกันเป็นรูปเบญจขันธ์นี้แหละกระทำให้มนุษย์และสัตว์รู้สึกในสิ่ง
ที่สวยงามในรูปต่าง
ๆ
และให้รู้ในความทรงจำได้หมายรู้อุปาทานท่านในเรื่องต่าง
ๆ โดยสัญญา
สังขารสภาวธรรมรู้ในการกระทำประปรุงหรือวาดเขียนเป็นสิ่งต่าง
ๆ
วิญญาณขันธ์รู้ดี-รู้ชั่ว-รู้สิ่งมีราคา
5
สภาวธรรมนี้แหละเป็นรูปใน
ถ้ารูปในของท่านใดไม่มีท่านเหล่านั้นจะมิรู้สึกอะไรเลย
ที่มนุษย์และสัตว์ได้รู้กันอยู่ทุก
ๆ
วันนี้ก็เพราะรูปเบญจขันธ์รูปในนั้นเอง
และก็ยังมีรูปในรูปต่อไปอีกคือ
รูปจิตที่รู้เป็นตัวตนบุคคลเราเขาคือรูปจิตนั้นเอง
ท่านเรียกว่ารูปในรูป
รูปในรูปเป็นธรรมอันไม่ตายคือตัวตนเรานี้เองเป็นคนสุดท้าย
หนึ่งไม่มีสองต่อไปอีกแล้ว
จบสายทางปฏิบัติแต่เพียงเท่านี้ไม่มีอีกต่อไปคือ
พระนิพพาน เป็นสถานที่สิ้นสุด
กายวาจาใจไม่อีกต่อไป
มีแต่รูปจิตหนึ่งไม่มีสองต่อไป
นิพพานะปัจจะโยโหตุ
|
|