อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 

               ความจริงอยู่ในสิ่งการกระทำ ความคิดที่กลับกลอกนั้นมันหลอกตนเอง น้ำลึกก็ยังใสไม่ขุ่นมัว มองเห็นได้ในรูปนาม ตัณหาสามก็ยังเอามาพูดกันได้โดยไม่รู้สึกตัว ปิดความชั่วของตนเองไว้ไม่ปล่อยวาง ไม่ถาก-ไม่ถาง-ไม่ล้างออกไป พูดได้ก็ไม่ดี  เพราะมีราคีอยู่ภายใน แต่ใจนั้นนึกรู้ วาจาคือลมปาก ชอบพูดทับถมอยู่เรื่อยไป ไม่รู้ว่านอกหรือใน พูดได้เป็นเอา จิตนั้นเขลาแต่ยังไม่รู้ตัว ให้หมู่ท่านจงตรองดูมีอยู่ในตัวของหมู่ท่าน เพราะมันเป็นบ้านของตัณหา ส่วนใจนั้นหนาลึกไกลแสนโกฎิ มนุษย์ในโลกมองได้แต่ไม่เห็น กรรมเวรท่านก็ยังไม่รู้หลงอยู่ช้านาน หลงอยู่ในบ้านของตัณหา หลงกายาของชายหญิงในโลก แต่ถ้าไฟดับลมหมดสิ้นไปจากกายา น้ำเน่าก็เกิดขึ้นมาไม่น่าดู ดินมันจะพังส่วนหนังนั้นเล่ามันก็จะเปื่อย ย่อยยับดับสูญไป หมู่ท่านชาย-หญิงเพียงแต่รู้เท่านั้น ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลย ยังไม่รู้ถึงแหล่งเกิดภัย แหล่งที่มีแต่ความทุกข์ มองเห็นแต่ว่าเป็นของสนุก ยังไม่รู้จากทุกข์ทั้งปวง หลงเอาบ่วงมาผูกคอตนเอง คิดว่าเป็นเพลงระบำ ความช้ำใจก่อทุกข์นั้นมีอยู่ทุกคืนวัน หาว่าตนขยันแต่ไม่รู้ธรรม พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า ทุกข์นั้นมองเห็นได้ยาก ปากกล้าใจแข็ง หลงแต่งแผ่นดินยิ่งมีความทุกข์ยิ่งไม่รู้ตัว กลัวแต่บาปไม่รู้กรรมเวร เห็นแต่ดีไม่รู้ทุกข์ เห็นแต่สนุกไม่รู้เศร้าหมอง รู้แต่ไตร่ตรอง ไม่รู้ความหมาย รู้จักแต่ความตายโดยไม่รู้ ถึงความเป็นทุกข์ รู้จักแต่สังขารไม่รู้จักบ้านของวิญญาณ เกิดมาเป็นคนแต่ไม่รู้ผลประโยชน์ หลงโทษตนเอง ไปเพ่งเล็งผู้อื่นให้ตื่นตน อย่าไปกินก้างมันจะติดคอ หมอสะเดาะนั้นก็หายาก ปากเผ็ดนั้นก็ไม่ดี ขี้ตระหนี่ก็ไม่บังควร ให้สืบสวนดูจึงจะรู้ความจริง อย่านิ่งดูดาย ให้ไหว้พระทุกเช้า-เย็นอย่าเห็นแก่ตนให้ฝึกฝนหาบุญ ถ้าใจมันขุ่นจะมัวหมอง ให้ไตร่ตรองดูตนเอง ดีชั่วอยู่ที่เรา เวลานี้เราอยู่ที่ไหน ทางที่จะไปนั้นเรารู้ได้หรือไม่ ส่วนวิญญาณนั้นเขาพูดได้ หัวเราะได้ยิ้มแย้มแจ่มใสถึงคราวเสียใจก็ร้องไห้รำพัน เคลื่อนไหวไปมาทำได้ทุกประการ ท่านชาย-หญิงเคยรู้กันบ้างไหม ให้มีสติอยู่เสมอ อย่าไปหลงว่าเรามีจิตใจที่ว่างเปล่า อย่าไปเดาเอามันจะผิด ผู้ที่รู้ก็ยังมี มิได้เสียดสีผู้หลงผิด ให้คิดไตร่ตรองดู ว่าตัวเรานี้อยู่ด้วยอะไร ลมกับไฟนี้แหละที่เป็นเชื้อสาย ของวิญญาณ ท่านอย่าไปถือว่าว่าง อวดอ้างเอาในจิต มันจะไปติดเอาความมืด แล้วเดาเอาว่าเป็นความสุข ความว่างที่ว่านี้เปรียบเทียบได้คือ ความสุดหาปัญญามิได้ ถ้าไม่เชื่อให้ทดลองทำดู มันจึงจะรู้ด้วยตนเอง ให้ฝึกให้หัดดูเสียก่อน ผู้ที่ไม่ได้ฝึกได้หัดจะรู้ซึ้งถึงคุณประโยชน์ของคุณธรรมได้อย่างไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า “อนัตตาคือความตายหรือความว่างเปล่าก็ได้” ความว่างในที่นี้ท่านหมายความว่า “ให้ปล่อยวางจากทุกข์ทั้งปวง” ซึ่งจะได้ยึดเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยของตนสืบไป สมกับคำที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “อัตตาหิ อัตโนนาโถ” แปลได้ความว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล” เมื่อปล่อยวางจากทุกข์ทั้งปวงแล้ว ก็ให้ยึดถือพระพุทธพระธรรม และพระอริยะสงฆ์ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัยต่อไปตามลำดับ แล้วทำจิตใจให้เบิกบานสว่างแจ่มแจ้งแห่งพระนิพพานว่าเป็นที่พึ่งแห่งอารมณ์ทั้งปวง ความว่างที่หมู่ท่านเข้าใจนอกเหนือจากนี้นั้น มันหมายถึงความตายต่างหาก มิใช่ความว่างเกี่ยวกับเรื่องของพระนิพพานความปล่อยวางออกจากทุกข์ทั้งปวง แล้วนำจิตเข้าสู่ความเบิกบาน สว่างแจ่มแจ้ง แห่งพระนิพพานนั้นท่านแปลว่า “เป็นธรรมอันไม่ตาย” เพียงแต่สูญไปจากตัณหาอาสวะทั้งปวงเท่านั้น มิใช่ว่าพระนิพพานคือความดับสูญดังที่บางท่านเข้าใจ สูญมันมีอยู่ที่เกิดที่ตายเท่านั้น พระนิพพานนั้น ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ และไม่มีตาย มีแต่ความสุขอย่างยิ่งหาเปรียบมิได้เลย เราจงรีบไปกันเถิด

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:10:38

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom