-
สมาธิจิตสงบ
|
|
-
สายทางสมาธิกรรมฐาน
สมถะสมาธิกรรมฐาน
วิปัสสนาสมาธิกรรมฐาน
สามวิธีการในทางปฏิบัตินี้
แยกสายทางกันเดิน
แต่ลำดับแรกตามวิธี
การปฏิบัติตามสายทางนั้น
ๆ แต่ไปตอนปลายทางเข้าร่วมกันเป็นสายเดียวกันคือความสงบ
คือจิตผู้ปฏิบัติเข้าถึงทางสายสงบนั้นเอง
จิตที่ยังไม่สงบนั้นคือจิตอยู่ในที่มืดนั้นเองจิตถึงได้ดิ้นรนอยู่ไม่หยุดไม่หย่อนเพราะจิตอยู่ในที่มืด
ที่ยังไม่สว่างนั้นเอง
เพราะจิตเราท่านชาย
หญิงอยู่ในที่มืดจิตนั้นถึงได้ดิ้นรนกระสับกระส่ายอยากจะไปที่นั้นที่นี้
ไม่หยุดหย่อนเพราะจิตอยู่ในที่มืด
เราจะควบคุมจิตไว้ให้อยู่ให้เป็นเอกัคคตา
ให้นิ่งให้สงบไม่ได้
เว้นไว้แต่เราเผลอไปหรือนอนหลับไปโดยเราขาดจากสัญญาเท่านั้น
อีกอย่างหนึ่งจะนิ่งได้ก็เพราะมีสติควบคุมอยู่ชั่วคราวเท่านั้น
เพราะว่าจิตเราอยู่ในที่มืดนั้นไม่ว่าท่านเหล่าใดไม่รู้ทั้งนั้นว่าเราอยู่ในที่มืดหารู้ได้ไม่
จิตผู้ปฏิบัติออกจากสัญญาอุปาทาน
สิ่งทรงจำได้หมายรู้ในสิ่งนั้น
ๆ
ที่โลกบุคคลเขาสรรเสริญเยินยอกันอยู่
ด้วยบุคคลบัญญัติหรือจิตนึกคิดเที่ยวเตร่ไปมาในโลกจักรวาลนี้ว่าเป็น
ที่สถานพักผ่อนหย่อนอารมณ์ดี
จิตที่คิดเช่นนี้เป็นจิตอยู่ในที่มืดมัว
ๆ
เมาหาสติมิได้นะท่าน
มิใช่จิตที่สงบมิใช่จิตที่สว่างนะท่าน
ถ้าท่านเหล่าใดสงบสว่างไม่มีอารมณ์เป็นสัญญาอุปาทาน
ด้วยความโลภแห่งอุปาทานนะท่าน
ถ้าจิตเราท่านละออกปล่อยวางในธรรมที่กล่าวมานั้นได้แล้ว
ย่อมมีสติความน้อมนึกได้ความรู้ตัวแห่งจิตสว่าง ก็เกิดขึ้นติดตามมา
ความสงบแห่งจิตใจก็เกิดก็มีขึ้นเข้าเขตความสว่างแห่งธรรมทั้งปวง
ปัญญาก็เกิดก็มีขึ้นเข้าเขตความสว่างแห่งธรรมทั้งปวง
ปัญญาก็เกิดขึ้นมีความสว่างแจ้งเหมือนแสงอาทิตย์โผล่แสงขึ้นในเวลาเช้าบังเกิดขึ้นอยู่ในจิตใจ
ความชุ่มชื้นของจิตใจแผ่รัศมีขึ้นให้มองเห็น ที่มืดมัวของจิตใจที่หลงมัวเมาอยู่แต่ก่อนมา
จิตใจที่อยู่ในกิเลส
อันมัวมืดอยู่แต่ก่อนมา
มีหนาบางมืดมัวเมาหลงอยู่แต่ก่อนมีประมาณรู้เห็นในความจิตสว่างขึ้นนั้นเอง
ถ้าจิตเราท่านไม่สงบไม่สว่างตราบใดแล้วจะให้รู้จะให้เห็น
ความมืดมัวเมาของจิตใจนั้นไม่ได้เลยแต่น้อย
ก็ไม่รู้ท่านเหล่านั้นอาจจะเอาสัญญาเครื่องทรงจำ
เล่าเรียนเขียนอ่านที่จำได้ในอุปาทานนั้น
ๆ
เอามานึกเอามาคิดเอามาจำแนกก็ไม่ถูกนะท่าน
เพราะจิตใจตนของตนยังเข้าสายทางสงบสว่างมิได้
นึกเอาเดาเอา
ก็ไม่ถูกนะท่าน
|
|
-
ต่อนี้ขอให้ท่านสังเกตจิตใจของท่านเอาเองไม่ไปสุ่มหาจิตใจ
ของผู้อื่นให้มันเปล่าจากประโยชน์จะคิด ไปลงโทษแก่ผู้อื่นท่านด้วยอกุศลจิต
ด้วยความมืดแห่ง
อบายมุขจะเกิดขึ้นแก่ท่านเอง
โดยไร้เหตุและผลนะท่าน
ถ้าจิตใจท่านดิ้นรนอยู่หรือกระสับกระส่ายหงุดหงิดอยู่ในเหตุการณ์ต่าง
ๆ
หรือมิใช่เหตุต่าง
ๆ อันใดก็ไม่มี
แต่จิตใจดิ้นรนเร่าร้อนอยู่
บางที่เกิดรักเกิดเกลียด
เกิดไม่พอใจของตนเกิดขึ้น
อย่างนั้นเหละท่านทั้งหลายทั้งชาย
ทั้งหญิง จงจำเอาไว้อย่าให้มันลืม
เราจงช่วยแก้ไขจิตใจของตนออกให้ได้
เพราะจิตใจตนอยู่ในที่มืดมัวเมาเสียแล้วนะท่าน
ถ้าเราไม่แก้จิตใจช่วยตนของตนแล้วท่านเหล่าใดจะช่วยเราได้
มีแต่ท่านแนะนำทางให้เท่านั้น
ท่านจะออกหรือไม่ออกจากที่มืดมัวเมานั้นมันก็เป็นเรื่องของท่านเอง
ตนของตนเป็นที่พึ่งของตนนั้นแล
ต่อนี้เป็นทางสมาธิ
จิตใจให้มั่น
ศรัทธาคือความเชื่อมั่นในการกระทำไม่เสื่อมคลาย ขันติให้ความอดทนต่อสู้โลกธรรมแปดประการไม่หวั่นไหวเป็นเด็ดขาด
วิริยะความเพียรพยายามไม่รับเอาอารมณ์ในความยินดียินร้ายในนานาประการ
สำหรับภพทั้งสามนี้
ไม่เอามาเป็นอารมณ์จะข่มจิตใจเราให้เข้าสู่ปัญญาความสว่างความสงบให้ได้เป็นเด็ดขาด
ถ้าจิตใจเรามันแข็งกระด้างไม่ยอมเข้าที่สงบได้ ให้ใช้ความวางเฉย ๆ
ไว้เสียก่อนเหมือนเราเดินทางไหลหยุดพักร่มให้หายเหนื่อยให้หายร้อนปราศจากอารมณ์ทั้งปวงนั้น
ๆ
เสียก่อนถึงใช้ความเพียรพยายาม
ต่อ ๆ ไปอีก
ให้ใช้
ความเพียรพยายามเช่นนี้นะหมู่ท่านชาย
ท่านหญิง
เพราะจิตใจเรายังเดินไปไม่ถึงที่สงบเราก็ต้องใช้ความพยายามมิให้เกิดความท้อแท้ขึ้นได้ในจิตใจของเรา
เราให้รู้จักเดินวิถีจิตเจตสิกรูปตนของเราที่มาปฏิสนธิอยู่ในร่างกาย
สังขารของมนุษย์คนเรานี้ส่วนหนึ่ง
ร่างกายสังขารเราท่านนี้เป็นบ้านของจิตใจเจตสิกรูปนี้ส่วนหนึ่งท่านชาย
ท่านหญิงให้รู้ในธรรมเหล่านี้ด้วย
เธออย่าไปเข้าใจผิดว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งหมด
ถึงเมื่อจิตใจเจตสิกรูปภายในของท่านนึกอยากจะไปทางไหนทางใด
ก็ตามแต่เราให้รู้เหตุและผลกันเสียบ้าง
ท่านอย่าพึ่งหอบอุ้มเอากายสังขารกายเวทนาไปเที่ยวไปดูไปที่นั่นที่นี้เช่นนี้เลย
ปราศจากธรรมความสงบเพราะความหลงผิดของหมู่ท่านนั้นเอง
เพราะเห็นผิดไป
ๆ
ถือเอากายสังขารนั้น
ๆ
ว่าเป็นตัวบุคคลเราเขาอย่างนั้นเอง
ขอให้ท่านรู้กายสังขารเวทนาเจ็บปวดด้วยประการนานาใน
เรื่องอาพาธที่จะเกิดขึ้นแก่กายสังขารบ้านของท่าน
บ้านของใครของมันก็ต้องรักษาไว้เพื่อได้อาศัยก่อสร้างบุญกุศลบารมีในโลกกามภพนี้ไม่ใช่หรือ
เมื่อถึงหรือถูกกายสังขารเขาเกิดเวทนาเจ็บป่วยหิวโหยขึ้นมาเมื่อไหร่
หรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นมากระทันหันเมื่อไหร่ กายสังขารเราท่านก็ต้องฟุบลงเมื่อนั้นเพราะกายสังขารเขาเจ็บปวดเวทนา
ส่วนจิตใจเจตสิกรูปของท่านที่เป็นธรรมอันไม่ตายนั้นก็ต้องเกิด
เป็นทุกข์โทมนัสร้องให้รำพึงรำพันไปตามกายสังขารของตนและผู้อื่นต่อ
ๆ ไป
ด้วยความมืดมัวเมาหลุ่มหลงของตนโดยขาดจากความเพียร
มิได้พิจารณาไตร่ตรองในเหตุและผลเลย
ผิดศีลผิดธรรมกันไปทั้งหมด
แล้วท่านจะไปหาความสงบความสว่างมาจากที่ใดกันเล่า
ผู้ปฏิบัติ
ภิกษุ
สามเณร
ชี พราหมณ์
ที่เป็นเครื่องงามตาเคารพบูชาแก่ปวงมนุษย์ เทวดา อินทร์
พรหม
ชั้นทุกภูมินะท่าน
ขอให้พิจารณากันไว้บ้างอย่าไปเห็นช้างตัวเท่าหมูอย่างนี้ไม่ดีแน่นะท่านนักบวชชาย
หญิง
สิ่งทางสายนี้มิใช่ทางสันติมิใช่ทางสงบมิใช่ทางสว่างแห่งจิตใจนะท่าน
อย่าไปเป็นผู้กระทำตนของตนให้เสื่อมทราม
กับไปถือเอาสิ่งนอกศีลและธรรม
เดินไปตามกระบวนประท้วงนานาฟ้าจะทับแผ่นดินจะทับถมโคมไฟ
ท่านจะดับมืดมนยิ่งกว่าตาบอดไปเสียอีก
นักบวชชายและหญิง อุบาสก
อุบาสิกาเราท่านอย่าไปถือตามคนผู้เผาแผ่นดินชาติ
ศาสนา
บ้านเกิดเมืองนอนของตนเองเป็นอันขาด
นักปราชญ์ผู้ฉลาดต้องแสวงหาทางสงบสุขด้วยเมตตาสามัคคีธรรม
เพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่นให้ถึงพร้อมสามัคคีด้วยความบรรลุสงบถึงจะเป็นมนุษย์โสสิได้
ตามที่เรามาปฏิสนธิเกิดในโลกจักรวาลนี้นะท่าน ความร้อนอยู่ที่เราความเย็นก็อยู่ที่เรา เผาตนให้ร้อนเย็นอยู่ที่การกระทำประพฤติปฏิบัตินั้นเอง
ของสั้นอย่าไปต่อให้มันยาว
อัคคีไฟของยาวอย่าไปทำให้มันสั้น
ต้นทางของตนเองนะท่าน
ทางปฏิบัติจิตสมาธิต้องจำแนกทั้งเหตุด้วยธรรมทั้งหลายออกมาจากเหตุที่ผิดนั้น
ๆ
เราละจากที่กระทำผิดนั้น
ๆ แล้ว
ผลงอกงามมันถึงจะมีมันถึงจะเกิดขึ้นติดตามมาภายหลังนะท่านดีหรือชั่วติดตามได้ทั้งนั้น
ขอให้ท่านทั้งหลายที่อ่านแล้วได้ยินได้ฟังแล้ว
จงให้พิจารณายกจิตเจตสิกรูปของท่านไห้เข้าสู่ความสงบรู้แจ้งสว่างเถิด
สิ่งอันใดใดจะยิ่งกว่าความสงบย่อมไม่มีฯ
|
|
-
จิ เจ รุ นิ คือ จิตเจตสิก
รูป
นิพพาน
4
อย่างนี้รวมกันเข้าเป็นรูปเป็นนามเป็นตัวตน เป็นสิ่งไม่ตายคือตัวตนของท่านชาย
ท่านหญิงนั้นเอง
ธรรมอันไม่ตายสิ่งอันไม่ตายนี้เข้าพระนิพพานได้นะท่าน
เราท่านทั้งหลายขอให้พิจารณาให้มากในผลนั้น
ๆ
เพราะเรามาปฏิสนธิเกิดอยู่ในร่างกาย
สังขารของมนุษย์คนเราอย่างทุก
ๆวันนี้
ชาย หญิงไห้พิจารณาดูเสียก่อน
เมื่อเราเกิดมีศรัทธาเพื่อจะสร้างบุญกุศลบารมีในอริยทรัพย์
ให้เกิดให้มีแก่เราและผู้อื่นไม่ให้เปล่าขาดจากประโยชน์
ในการที่เรากระทำนั้น
ๆ
ต้องให้พิจารณาดูเสียก่อน
เพราะว่าเราท่านมาเกิดอยู่ในกามภพคนเราก็ต้องเกิดเพราะกามตัณหาด้วยกันทั้งนั้น
แต่กามตัณหา
โลภ โกรธ หลง
ที่มันดึงดูดเราท่านอยู่ก็พออยู่แล้ว
เราอย่านึกคิดไปดูสิ่งโน้นไปดูสิ่งนี้ไปทัศนาจรเที่ยวเตร่หาว่าไปเที่ยวพักผ่อนหย่อน
อารมณ์จิตใจของตนให้มันสบายเสียก่อน
มันถึงจะมีปัญญาเช่นนี้ท่านไม่รู้เท่าทันหมัดมือของจำพวกเปรต
มันเข้ามาดึงดูดจิตใจเจตสิกรูปของหมู่ท่านชาย
ท่านหญิงให้หลงยินดีไปตามหมู่เปรตเหล่านั้น
หมู่ท่านชาวพุทธจงให้พิจารณาดูจิตใจของเราเองบ้าง
ในเวลานี้อะไรดึงดูดท่าน
อยู่แม้แต่ผู้ท่านรู้ในธรรมเหล่านี้
ท่านห้ามท่านตักเตือนบางท่านก็กลับไม่เป็นที่พอใจแก่ตน
เพราะความมืดต้องหลงไปตามความมืดอยู่นั้นอง ธรรมความเห็นผิดของท่านเหล่านี้แหละมันกระทำจิตใจเจตสิกรูปของท่าน
ให้ดิ้นรนมืดมัวเมาอยู่ให้รู้กันเสียบ้าง
ถ้าท่านไม่รู้ในธรรมเหล่านี้ท่านจะกระทำจิตใจเจตสิกรูปของท่านให้เข้าสู่ความสงบ
ความสว่างในธรรมเหล่าอื่นได้อย่างไร
เพราะท่านไปหลงเดินตามหมู่พวกเปรต
500 จำพวก ที่มันดึงดูดจิตใจอยู่นั้นไม่ใช่หรือ ขอให้หมู่ท่านชาย ท่านหญิงละจิตใจเจตสิกรูปของท่านให้ออกจากหมู่เปรตเหล่านี้เสียให้สิ้นสูญไปเสียก่อน
ถึงจะประพฤติปฏิบัติจิตใจเจตสิกรูปของท่านให้เดินตามพระธรรม
พระวินัย -
สมาธิกรรมฐานต่อ
ๆ ไป
ถึงจะเข้าถึงความสงบความสว่างได้อย่างแท้จริงไม่ต้องไปถามแก่ท่านเหล่าใดอีกด้วย
ความสว่างจะบังเกิดขึ้นแก่ตนเองเพราะรู้แจ้งเป็นเช่นนี้นะท่านชายหญิง
จบหลักความสงบสว่างแต่เพียงเท่านี้
|
|
-
(
อนฺคโณ ภิกขุ )
ขอถวายไว้ในพุทธศาสนาให้ถาวรสืบ
ๆ ต่อไป
พ.ศ. 2518
วันที่
19
กุมภาพันธ์
ขึ้น
9
ค่ำ เดือน 4
ปีขาล
|
|
-
( ขอถามว่าพระธรรม พระวินัย
เป็นอย่างไรผู้ปฏิบัติจงพิจารณาดู
) พระธรรมพระวินัย
นั้นไม่ใช่ทางสรรเสริญเยินยอ
มิใช่ยศถาบรรดาศักดิ์เป็นใหญ่เป็นโตอย่างนั้นหาได้ไม่
พระธรรม -
พระวินัย
ไม่ใช่ข้าทาสแก่ท่านเหล่าใด
ในตนและผู้อื่นนะท่าน
หลักธัมมะพิจารณา
เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติทุก
ๆ ท่าน
|
|