-
อัตตาหิ
อัตะโน
นาโถ-ตนของตนเป็นที่พึ่งของตนแล
|
|
-
ซึ่งแปลว่า จะพึ่งสิ่งอื่นใดนั้นย่อมไม่มีอีกแล้วนั้นแหละ ถึงจะจัดเป็นตนของตนเป็นที่พึ่งของตน
ได้อย่างแท้จริงนะท่านคือ
หนึ่งไม่มีสองนั่นแหละ
ตนต้องเป็นผู้รักษาตน
ตนต้องเป็นผู้เมตตาตน
ถึงจะพ้นหมู่ภัย
ผู้รักตนต้องน้อมตนให้ออกจากกามตัณหาสามโลกธรรมแปดประการให้ได้เป็นเด็ดขาด
เพราะว่าทางสายกามนั้นเป็นทางก่อกรรมสร้างเวร
เป็นทางประกอบทุกข์อยู่เสมอ
ๆ ไปนะท่าน
รักตนเพื่อให้ตนปราศจากออกจากกามที่นึกคิดแสวงหาโดยไม่ผิดโดยลับ
ๆ
ที่ตนขาดจากความพิจารณาไปตัดสินเอาเองว่าเป็นทางสุขเลยติดสุขอยู่นั่นเอง
เลยไม่รู้สุขที่ประกอบทุกข์อยู่ภายในแห่งสุขนั้น
ความนึกคิดเช่นนี้แหละถึงได้เกิดมัวเมาหลงอยู่
เห็นทุกข์ก็ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นทุกข์ไป
เพราะว่าตนขาดจากความพิจารณาในเหตุและผล
ถึงไม่รู้ในทางประกอบทุกข์จะมานะภายหลัง
เพราะตนของตนได้นึกคิดถึงตนของตนเลย
เพราะตนนึกคิดของตนเป็นทุกข์ไปหาว่าเป็นสุขอยู่เสมอไป ขอให้ท่านทั้งหลายให้พิจารณาในความสุขในความเพลิดเพลินนั้นด้วย
เหตุก็อยู่ในที่นั้น
ผลก็อยู่ในที่นั้น ผู้ปฏิบัติชาย หญิงสมควรพิจารณารับทราบในธรรมเหล่านี้ด้วยทุก
ๆ ท่าน
เพราะว่าธรรมเหล่านี้มันมีทั้งเหตุและผลอยู่ด้วยกันนะท่าน
ผู้ติดสุขที่อยู่
ในกามตัณหานี้
เกิดความนึกคิดขึ้นทางจิตใจทำให้เพลิดเพลินลืมตนของตนไม่ได้พิจารณา
หลงเผลอไปขาดจากสติที่ตั้งของจิตใจนั้นเอง
เลยไปติดสุขไม่รู้ทุกข์ที่จะมาถึงตนของตนโดยวิธีใด
มีอะไรบ้างที่จะเป็นทางประกอบทุกข์ที่จะเกิดมานะภายหลัง เพราะตนของตนยังไม่ถึงสุขอย่างแท้จริง
ท่านเรียกว่าความนึกคิดที่เกิดขึ้นนั้นมันสุกก่อนห่าม มันถึงได้หลงไปตามสิ่งเพลิดเพลินแห่งกามตัณหาสาม
โลกธรรมแปดประการนะท่าน
มันเป็นทางสุขเพลิดเพลินเข้าไปสู่ทางประกอบทุกข์อันจะมาภายหลัง
โดยไม่รู้สึกตัวให้พิจารณาดูในธรรมเหล่านี้ด้วย
เพราะว่าความหลงของจิตใจหลงใหลเข้าสู่สุขเพลิดเพลินในสิ่งประกอบทุกข์
เพราะว่าสุขเพลิดเพลินนั้นมันปิดบังจิตใจไว้ให้ลืมตนของตน
ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ที่จะมาถึงตน
เพราะตนติดสุขเพราะผู้อื่นและอามิสนานาประการ
ถึงไม่รู้ทุกข์ที่จะมาถึงตนของตน
หลงรักแต่คนอื่น
อันเป็นที่พึ่งความสุข
หลงเมตตาเพลิดเพลินแก่ผู้อื่นโดยวัตถุนานาประการ
ไม่รู้ความเศร้าโศกโทมนัสโศกาที่จะมาถึงตนหารู้ได้ไม่ฯ
|
|
-
ไฟเผาไหม้ขอนผีหมดไปแล้วยังไม่รู้ตัว
เพราะตนขาดจากความรักตนของตน
ขาดจากความเมตตาตนของตนโดยไม่พิจารณา
ในสภาวธรรมนั้น
ๆ
ที่มันเกิดนึกคิดขึ้นในทางจิตใจของตนนั้น
มันเป็นสภาวธรรมอย่างไรบ้าง
มันจะเป็นทางทุกข์หรือมันจะเป็นทางสุขที่จะมานะภายหลังให้รู้ด้วย
สภาวะที่สะสมในทางประกอบทุกข์มานะภายหลังให้รู้ด้วย
สภาวะที่ไม่สะสมในทางไม่ประกอบทุกข์
มานะภายหลังให้รู้ด้วย
ผู้ปฏิบัติชายและหญิงภิกษุ
สามเณร
ชี
พราหมณ์
อุบาสก
อุบาสิกา
สมควรพิจารณาให้รู้ซึ้งให้แจ่มแจ้งในสภาวะธรรมเหล่านี้ด้วยว่ามันมีเหตุมีผลอย่างไรบ้าง
เราจะรู้ทุกข์หรือสุขก็จะรู้อยู่ในสภาวธรรมที่กล่าวมานี้
ผู้ไม่พิจารณาจะหาเหตุหาผลมิได้เลยนะท่าน
เพราะว่าไม่รู้อะไรเป็นอะไรนั้นเอง
สภาวธรรมนี้คือเป็นสิ่งกระทำจิตใจชาย
หญิง ให้เกิดนึกคิด
ไปตามสภาวธรรมนั้น
ๆ
สภาวธรรมมีอยู่
3
อย่างด้วยกัน
มีดังต่อไปนี้คือ
|
|
-
1.
ความยินดีรักใคร่ด้วยกิเลสกามวัตถุกาม
|
|
-
2.
ความยินร้ายในกิเลสกามวัตถุกาม
|
|
-
3. ไม่ยินดีไม่ยินร้ายในกิเลสกามวัตถุกามที่บังเกิดขึ้นแก่จิตใจโดยสภาวธรรมนั้น
ๆ
|
|
-
สิ่งที่นำให้เกิดสภาวธรรมที่จะเข้าสู่อวิชชาตัณหาความมืด
ความมืดนั้นคือความลืมตนของตนนั่นเอง
หลงรัก
หลงใคร่
ในความกำหนัดสัมผัสอยากถูกต้องกายผู้อื่นนานาปะการจนลืมตนด้วยความมืด
ไม่รู้ความทุกข์ที่จะมาถึงตน
หลงเอาชีวิตอินทรีย์เข้าไปมอบกายถวายชีวิตแก่สภาวธรรมที่มันเกิดขึ้นแก่จิตใจของตนนั้น
ๆ
โดยขาดจากสติความยั้งคิดไปกันทั้งหมด
เพราะสภาวธรรมที่บังเกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งน้อมนำจิตใจให้เป็นไปตามสภาวธรรมเหล่านั้น
เมื่อสภาวธรรมเหล่าใดที่เกิดขึ้นแก่จิตใจเรา
มันให้เกิดนึกคิดให้รู้ในสภาวธรรมเหล่านั้นด้วย ให้เราพิจารณาเหตุผลในสภาวธรรมเหล่านั้นด้วย
อย่าพึ่งปล่อยจิตใจของตนให้ไปตกอยู่ในหลุมพรางของสภาวธรรมเหล่านั้น
ให้พิจารณาดูกันก่อน
อย่าพึ่งไปหลงตกลงจิตใจของตนโดยโง่เขลา
ว่าเป็นสิ่งเพลิดเพลิน
อย่าไปหลงเดินเหยียบขวาก
อย่าหลงรวบเรียวหนาม
ให้ค่อยเดินตามพระ
ให้ค่อยละด้วยความพิจารณาด้วยเหตุและผล
เป็นมนุษย์คนเราต้องให้รู้หนักหรือเบาด้วยจิตใจ
ไฟอบายมุขจะเกิดเผาตนได้ก็เพราะตนขาดจากความพิจารณาหยั่งคิดนั้นเอง
ขอให้มีสติความน้อมนึกได้ว่าตนของตนเป็นที่พึ่งของตน
ตนต้องเป็นผู้รักษาตน
ตนต้องเป็นผู้เมตตาตนถึงจะพ้นภัยวิบัติ
สุข-ทุกข์อยู่ที่สภาวธรรม
สภาวธรรมเป็นสิ่งน้อมนำจิตใจเราท่านนั่นเอง เพราะว่าจิตใจเราท่านเปลี่ยนแปลงเอาได้ไม่ยากนัก
สิ่งอื่นที่นึกคิดแสนจะยากลำบากเศร้าใจ
เรายังกระทำได้ สิ่งอื่น ๆ
เราก็กระทำได้เช่นกัน
ฯ
|
|
-
มนุษย์ชาย หญิงทั้งหลายว่าตนรู้ตนของตน
ทำไมหนอถึงได้พูดว่าเรามีกรรมเวร
ต้องต่อสู้ใช้กรรมใช้เวรไปตามกรรมเสียก่อนเช่นนี้ มันเป็นคนฉลาดหรือโง่
ให้พิจารณาในสภาวธรรมเหล่านี้ด้วย
เพราะว่าสภาวธรรมที่ประกอบทุกข์ด้วยตัณหาอวิชชาปิดบังจิตใจ
ทำให้เกิดเบื่อหน่ายในทางศีลและธรรมอันเป็นแนวทาง
ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แนะนำสั่งสอน
ให้นำจิตใจของตนให้นึกคิดไปตามสภาวะที่จะเลิกละออกจากกรรมเวรนั้น
ๆให้ลุล่วงไป
ท่านอย่าไปต่อสู้เขาเลย
เรื่องกรรมเรื่องเวรนั้นมันสู้เขาไม่ได้ดอก
เพราะว่ากรรมเวรนั้นเขาเป็นสภาวธรรม
เป็นธรรมอันไม่ตาย
เป็นธรรมประกอบกามตัณหาวิชชาเป็นอาหารหล่อเลี้ยงสภาวธรรมกรรมเวรนั้นไว้
ถ้าท่านเหล่าใดหลงอยู่ในสภาวธรรมเหล่านี้จะหาทางสิ้นจากทุกข์มิได้เลยนะท่าน
เพราะว่าสภาวธรรมแห่งกามนี้เป็นมูลฐานทำให้จิตใจหันเหหมุนเวียนไปตามสภาวะธรรมต่าง
ๆ ได้
พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสไว้ว่าเป็นธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร
เป็นธรรมที่ควรรู้ให้แจ้งตามสภาวธรรมนั้น
ๆ ด้วย
|
|
-
สภาวธรรมขั้นที่
1
คือจิตใจของมนุษย์และสัตว์ที่จมอยู่ใต้ขี้โคลนหรือใต้น้ำ
หรือกลางน้ำสมุทัยปะปนอยู่กับลูกคลื่นใหญ่มหันต์ จมอยู่ใต้วารินแห่งหมู่มาร
หลงอยู่ในกองสังขารตนและผู้อื่นหาว่าเป็นที่ชื่นอารมณ์สมใจรักของตน
ความทุกข์ยากแสนเข็ญทุกข์โศกมีทั้งโรคและภัยไข้เจ็บนานาประการ
เพราะจิตใจของตนอยู่ใต้น้ำปลักตม
ไม่ยอมถอนจิตใจตนขึ้นพ้นภัย
หลงรักอยู่ในโคลนว่าเป็นของดี
หลงติดอยู่เป็นกัป
ๆ จนนับไม่ไหว
เพราะตนไม่รู้ทางที่จะไปนั่นเอง
จิตใจท่านชาย
หญิงยกออกได้ไปไวยิ่งกว่าลมพัด
อย่าให้มันไปติดไปขัด
อย่าให้มันไปตวัดกระทบฝั่งธาตุดิน
ยักษ์มันจะกินเพราะเป็นอาหารพญามาร
ยักยอกเล่ห์กลนานาหมู่เต่าปูปลา
ออกมากมายตายร้อยชาติพันชาติจนหาประมาณมิได้ จิตติดสังขารเรียกว่าขี้โคลนอันอยู่ใต้น้ำนั่นเอง
|
|
-
สภาวธรรมชั้นที่
2 คือจิตใจของมนุษย์และสัตว์ชาย
หญิง
ผู้ที่มีปัญญาถอนจิตใจของตนให้ขึ้นอยู่บนผิวน้ำสมุทัย
ตั้งจิตใจคอยฟังรับเอาพระสัจจะธรรมตามท่านอาจารย์ผู้เมธี
ผู้ท่านสั่งสอนวิถีจิตให้หลีกไกลจากหมู่มารผู้ท่านสั่งสอนซึ่งทางพระนิพพาน
ที่นำจิตใจตนให้ขึ้นสู่ฝั่งคือโลกอุดร
เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติจิตใจท่านชายและท่านหญิง
โลกอุดรเป็นทางข้ามออกจากสภาวธรรม
เป็นธรรมอันไม่ตายด้วยกันทั้งนั้น
รู้จักเหตุแห่งทุกข์ของอาสวะสภาวธรรมที่จมอยู่ ด้วยความนึกคิดที่จมอยู่ด้วยความรักแห่งกาม
ว่าเป็นแห่งกองทุกข์ที่ติดตามแห่งจิตเราท่านอยู่ไม่สร่างซา
พอรู้แจ้งเช่นนี้แล้ว
ก็ใช้ขันติความอดทนข่มตัณหาสภาวธรรมเหล่านั้น ใช้วิริยะความเพียรพยายามยกจิตใจองตนขึ้นสู่ฝั่งบนบก
ไม่ยินยอมเชื่อฟังคำผู้เสพกาม
โลภ
โกรธ
หลง
อยู่จะมาพูดเกลี้ยกล่อมโดยวิธีใดก็ตาม
จะยกทรัพย์อันมหาศาลให้สักเท่าใดก็ตาม
ไม่ยินดีไม่ยินร้ายในทรัพย์นั้นเป็นอันขาด เพราะว่าผู้ปฏิบัติชาย
หญิงเป็นผู้ยกจิตใจของตนขึ้นบนบกโลกอุดรได้แล้ว
ไม่มีจะกลับจะลงไปสู่ใต้น้ำโคลนตมอีกได้แล้ว
เพราะจิตใจจะมุ่งหน้าข้ามจากโลกอุดรต่อไป
นึกถึงความรักแห่งเศษตัณหานั้น
เหมือนกับถูกไฟเผาผลาญ
เกิดสัมบีฑาเบื่อหน่ายรู้แจ้งคลายจากความมกำหนัดแห่งประเพณีที่ถือสับ
ๆ กันมา
ไม่เป็นทางปรารถนาอีกต่อไป
แม้แต่สภาวะจิตจะเกิดขึ้นสักเท่าไรก็ตามไม่ยอมกระทำไปตามจิตนั้นเป็นอันขาด
มีจิตมุ่งหน้าต่อไป จิตใจที่ขณะสัญจรเข้าสู่ทางโลกอุดรนั้น จะหาว่ามีสัญญาเป็นสิ่งจำได้หมายรู้อย่างนั้นก็หาไม่
ว่าไม่มีสัญญาเครื่องจำอย่างนั้นก็หาไม่
มีแต่สติความน้อมนึกอยู่กับศีลและธรรมมุ่งหน้าต่อ
ๆ ไป ไม่มีจุดหมายอย่างจิตที่เราเคยอยู่เป็นปุถุชนสามัญชนแห่งกามอย่างนั้นก็หาไม่
จิตใจที่เดินเข้าสู่โลกอุดรนั้น
เพื่อจะข้ามโลกอุดรนั้นจะเขียนเรื่องจิตในตอนนั้น
ไม่รู้ว่าจะเขียนอย่างไรให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังให้รู้ชัดแจ่มแจ้งนั้น
ไม่รู้ว่าจะเอาคำเหล่าใดเอาธรรมข้อไหนมาจำแนกให้ผู้อ่านผู้ฟังเข้าใจได้เป็นสิ่งที่ยากที่สุด
เพราะมันเป็นวิถีของจิต
เจตสิก
ที่สัญจรออกห่างไกลจากสังขารร่างกายตนและผู้อื่น ห่างไกลจากโลกกามภพจักรวาลโลกนี้
จิตปราศจากภพทั้งสามมิได้คำนึงนึกถึงอะไรแม้แต่นิดเดียว
เหมือนทางเปลี่ยวเดียวดายจะกลับหลังก็ไม่ได้มีแต่มุ่งหน้าต่อ
ๆ ไป
ความนึกจะถอยหลังนั้นย่อมไม่มีเป็นเช่นนี้ ตอนจิตผู้ปฏิบัติจะข้ามจากโลกอุดร
|
|
-
ผู้ปฏิบัติทั้งหลายเมื่อเข้าสู่ขั้นนี้แล้วคงจะรู้ได้จำเพาะตนเองทุกท่าน
เพราะว่าผู้ปฏิบัติจิตให้เข้าสู่ศีล
สมาธิ
ปัญญา
เพื่อจะหลีกหนีจากตัณหาพญามารหมู่กามทั้งหลายให้พ้นไปก็ต้องเดินวิถีจิตแต่ละท่าน
ก็ต้องไปทางสายเดียวกัน
อย่างอาตมาภาพจำแนกธรรมไว้นี้เป็นแน่แท้
ไม่มากก็น้อยคงไปรอยเดียวกันตามพระพุทธบัญญัติไว้
โดยห่างไกลกันกับโลกกามภพของมนุษย์และสัตว์เหล่านี้
ไม่รู้ว่าจะเอาธรรมเหล่าใดมากำหนดมาประมาณใกล้ไกลให้แจ้งชัดไปได้
เปรียบได้เป็นแต่เพียงเงา
ๆ
คือใต้น้ำกับบนบกเท่านั้น
จะให้มันชัดแจ้งอย่างกามตัณหา
โลภ
โกรธ
หลงของหมู่มนุษย์และสัตว์ที่หลงกันอยู่ทุกวันนี้ก็หามิได้
เว้นไว้แต่ผู้ปฏิบัติตามศีล
สมาธิ
ปัญญา
เท่านั้นจึงจะรู้แจ้งด้วยตนเอง
เพราะไม่มีสิ่งอันใดที่จะมาประมาณให้รู้ให้เห็นได้
ศีลเป็นหน้าที่ของจิตแต่ละท่านชาย
หญิงจงให้มีสติความน้อมนึกได้นั้น
น้อมนึกในจิตของตนให้ละ
ให้เว้น
ให้ปราศจาก
อย่าได้ไปอาลัยห่วงใยในสิ่งนั้น
ๆ
ตามพุทธบัญญัติ
ให้มีจิตน้อมนึกละเว้นตามศีลสิกขาบท
ว่าสิ่งทางอันใดที่จิตใจของตน
ที่จะเป็นทางสายเดินต่อ
ๆ
ไปนี้จะยิ่งกว่าศีลสิกขาบทที่จิตเราละเว้นไปตามศีลสิกขาบทนี้ย่อมไม่มีอีกแล้ว
ฯ
|
|
-
ดังนี้จิตใจเราท่านถึงได้สว่างไสวรู้แจ้งไปได้ในทางจิตใจ
เพราะว่าจิตใจเราท่านชาย
หญิงเป็นสิ่งไม่ตายอย่างสังขารกายเวทนาดอกท่าน
จงให้เอาจิตใจเราท่านชาย
หญิงให้อยู่ในศีลสิกขาบท
โดยละเว้นปราศจากให้ขาดจากการอาลัยในสิ่งละเว้นปราศจากในสิ่งนั้น
ๆ
ตามศีลสิกขาบทด้วยจิตใจเราท่านชาย
หญิงนั้นเถิด
ถึงจะเรียกชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ไปแล้วจิตใจเราท่านชาย
หญิงจะเป็นลิงเป็นจระเข้และมัจฉาหางเป็นปลาหน้าเป็นคน
ล่อลวงประชาชนเอาศาสนาพระพุทธเจ้ามาบังหน้าไว้ แต่ส่วนจิตใจนั้นเป็นพญามารอยู่เช่นนี้ เป็นทางห่างไกลจากพระนิพพานอยู่ออกส่วนมาก
เพราะตนของตนไม่ยอมเปลี่ยนจิตใจของตนให้เข้าสู่ศีลสิกขาบทของพระพุทธเจ้านั้นเอง
จิตใจเราท่านชาย
หญิงเปลี่ยนได้ไม่ยากนัก
แต่จิตใจเราท่านชาย
หญิงจะคิดเปลี่ยนทิศทางเข้าไปสู่อบายมุขอบายภูมิเป็นทางก่อกรรมสร้างเวรเข้าไปสู่นรกโลกันต์
ทางยากลำบากแสนเข็ญก็ยังเปลี่ยนจิตใจของตนให้ไปได้
เพราะเหตุอะไรหรือ จงให้พิจารณาดูกันบ้าง
โดยสมาธิมีดังต่อไปนี้
สมาธิมีหน้าที่คือ
ความมั่นด้วยจิตใจของตนเองไม่ยอมเอนเอียงหวั่นไหวต่ออารมณ์ต่าง
ๆ
ที่นอกจากสิ่งมิใช่ศีลสิกขาบท
สมาธิเป็นทางอดทนของจิตใจ
ไม่ยอมให้จิตใจของตนเผอเรอหลงไปตกในทางที่ชั่ว ที่นอกจากศีลสิกขาบทไปได้
สมาธิเป็นหน้าที่พิจารณาด้วยเหตุและผล
สมาธิเป็นทางนำจิตใจให้เข้าสู่ความเพียรที่ปราศจากออกจากกองทุกข์ให้ได้เป็นเด็ดขาด
สมาธิเป็นทางที่ถือจิตใจให้มั่น
ไม่ให้จิตใจของตนไปตกอยู่ในทางรักในทางเกลียดไปได้
สมาธิเป็นทางน้อมจิตใจของตนที่หลงไปตกในแห่งกามทุจริต
โลภะ
โทสะ
โมหะ
ปฏิฆะ
พยาบาทจริตให้สิ้นไป
สมาธิเป็นทางนำจิตใจให้หนักแน่นไม่หวั่นไหว สมาธิเป็นหน้าที่ไตร่ตรองหาเหตุและผลในสิ่งที่ดีหรือที่ชั่ว
สมาธิเป็นทางไม่หวั่นไหวในทางที่ดีหรือทางที่ชั่ว
สมาธิเป็นทางประกอบจิตใจ
ให้เข้าสู่เกาะศีลและธรรมให้เกิดปัญญาความรู้แจ้งสว่างไสว
รู้เท่าทันสังขารตนและผู้อื่น
ด้วยเมตตาสามัคคีธรรมได้อย่างแท้จริงนะท่านชาย
หญิง
|
|