ธรรมที่กล่าวประมาทตนและผู้อื่น

 

              ท่านทั้งหลายผู้มุ่งปฏิบัติธรรม ทั้งชายและหญิง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าเป็นผู้ประมาท ให้ปฏิบัติให้ถึงพร้อมด้วยตนและผู้อื่นโดยความไม่ประมาท ด้วยความไม่ประมาทนั้น เราอาจจะรู้เท่ากันไม่ได้ เพราะมันมีดังต่อไปนี้  ความที่เรายังรู้ไม่ซึ้งถึงบุญและบาปนั้นเอง ตัณหาพาให้ก่อกรรม ความประมาทนั้น บางคนกล่าวด้วยวาจาประมาทว่า มนุษย์คนเราทุกวันนี้ไม่ว่าภิกษุและสามเณร ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา ที่อยู่ในโลกนี้ ไม่มีผู้ใดจะปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญาได้ดอก มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ โดยสมัยพระพุทธองค์เท่านั้นที่จะปฏิบัติได้  นอกจากนั้นจะปฏิบัติไปตามท่านไม่ได้ คำพูดที่กล่าวเช่นนี้แหละท่านเรียกว่า กล่าวคำประมาทตนและผู้อื่นและเป็นคำพูดที่ทำลายศีลธรรมในศาสนาให้เศร้าหมอง ทำให้ขาดการเคารพนับถือของปุถุชนทั่วไป และอีกอย่างหนึ่งคือการที่นึกคิดเอา ตามใจตนที่เชื่อมั่น อยู่ในตัณหาพญามารลุ่มหลงอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความหลงที่ตนมีอยู่ กล่าววาจาออกมาว่า ในสมัยนี้พระโสดา  พระสกิทาคา  พระอนาคามี พระอรหันต์ไม่มี และไม่เคยเห็นมีอยู่ที่ไหน ผู้ใดเคยเห็นบ้าง แม้แต่พระที่บวชเป็นพระครูเจ้าคุณอุปัชฌาย์บวชมาหลายๆปี ก็ยังสึกอย่างเราทุกวันนี้ก็ต้องปฏิบัติไปไม่ได้ ฯ

 

              คำกล่าวเช่นนี้ท่านเรียกว่าเป็นพวกโง่เขลาเบาปัญญาหมดความมานะอดทน มีแต่ความประมาทในตนและผู้อื่น เพราะตนยังจมอยู่ในปลักโคลนแห่งกาม คือ  ความโลภ ความโกรธ ความหลง เลยมีความนึกไปว่า ผู้อื่นก็คงจะมีความนึกคิดเหมือนๆกับตน คนจำพวกนี้มีความคิดเห็น ผิดๆ อยู่เสมอ บางครั้งมีความเห็นว่า นรก สวรรค์ นิพพานไม่มี ถ้ามีจริงอยู่ที่ไหนใครไปเห็นมาบ้าง คำกล่าวนี้แหละเป็นคำกล่าวที่ตัดรอนทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง ถ้าหากท่านเหล่าใดมีความนึกคิดอยู่เช่นนี้ นับว่าท่านเหล่านั้นมีความเห็นผิดในทางศาสนาอยู่มาก ถ้าหากเป็นนักบวช คือ ภิกษุ สามเณร ชี พราหมณ์ แล้วท่านเหล่านั้นก็ไม่เป็นผู้ที่ไม่ใช่นักบวชในพุทธศาสนา เป็นผู้ไม่มีสัมมาวาจาเป็นผู้ที่ทำลายจิตตนเอง และเป็นผู้ที่ทำให้ผู้อื่นมีความลังเลสงสัยเข้าใจผิดไปตามตนด้วย บางท่านบางพวกเห็นพระปฎิมากรแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นรูปนรก-สวรรค์ ตามที่จิตกรเขียนไว้ จากมโนภาพ ให้เป็นตัวอย่างแห่งภาพของวิญญาณ “ที่คนเราตายไปแล้ววิญญาณนั้นไม่ตาย ทุกๆวิญญาณต้องไปตามบุญตามบาปที่ตนสร้างไว้ในเมื่ออาศัยอยู่รูปของสังขาร ที่เราได้มาอาศัยเกิดอยู่ในโลกมนุษย์อย่างเราท่านทุกวันนี้ เราก็มาตามบุญตามบาปที่กรรมติดตัวเรามา “ก็กล่าวดูหมิ่นเป็นการหมิ่นพระพุทธศาสนาและมุ่งทำลายจิตตนเอง ฯ

 

              อีกอย่างหนึ่งเห็นหมู่ท่านชายหญิง เข้ามาปฏิบัติศาสนกิจในวัดเป็นต้นเช่น การก่อสร้างปูชนียสถาน ด้วยแรงศรัทธาความจริงใจของผู้ที่เข้ามาสู่ในวัด ผู้ที่ประมาทตนและผู้อื่นอยู่นั้นก็ชอบที่จะพูดจาประมาทอยู่เสมอว่า ท่านนั้นท่านนี้ไปอาศัยหากินตามวัดตามวา โดยไม่มีปัญญา คำกล่าวเช่นนี้ก็เรียกว่าประมาทในตนและผู้อื่น เพราะไม่รู้ในเหตุและผลทางพุทธศาสนา เพราะหลงงมงายยึดติดอยู่ในกามกิเลสจนเป็นเหตุไม่รู้จักวัดรู้จักวา อันเป็นสถานที่เคารพสักการะ การพูดเช่นนี้ทำให้เป็นการที่รบกวนท่านเหล่านี้ไม่ควรนึกไม่ควรพูด เพราะขาดเหตุผลทางใจที่ถูกต้อง อีกอย่างหนึ่งในการที่นึกคิด หรือพูดประมาทผู้อื่นที่เข้าไปปฏิบัติธรรมกับพระ โดยกล่าวว่าเรานี้ยังหนุ่ม เรานี้ยังสาวอยู่ เรายังหวังความร่ำรวยหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย เรายังรักษาศีลไม่ได้ ให้เราร่ำรวยเสียก่อน เราจึงจะทำบุญและถือศีลฟังธรรม นี่ก็เป็นความนึกคิดที่มีความประมาทในตนและผู้อื่นเหมือนกัน เพราะไม่รู้ความจริงแห่งการปฏิบัติธรรมเห็นการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องใหญ่ ต้องแบกต้องหามต้องคอนไปจึงได้มีความนึกคิดในทางที่ผิด ฯ

 

              อีกอย่างหนึ่ง มีจิตคิดฝืนนึกขึ้นด้วยโทสะจริตปฏิฆะจริต มันทำจิตของผู้ปฏิบัติให้ฟุ้งซ่าน เกิดความรำคาญใจ เบื่อหน่ายคลายจากศรัทธาที่ตนเชื่อมั่น ในพระพุทธศาสนาศีลและธรรม บางท่านมีจิตวิปริตไปนอกพระธรรมพระวินัย นำจิตของตนให้ตกลงไปสู่ที่ต่ำ หลงตามตัณหาเพิ่มทุกข์ทั้งมวล โดยไม่รู้ตัวเลย เกิดประมาทตนและผู้อื่น นึกคิดว่าเราคงจะปฏิบัติตามสมาธิกรรมฐานอันใดไม่ตลอด เพราะไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย ก็เลยเกิดความประมาท เพราะตนยังไม่รู้ว่าธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุนั้นเอง เหตุที่เราฟุ้งซ่านกลุ้มอกกลุ้มใจนั้นแหละท่านเรียกว่า ความไม่เที่ยงแห่งอารมณ์ของจิต มันเกิดไม่เที่ยง มันเกิดเป็นทุกข์ ต่อไปก็จะเข้าไปสู่อนัตตา สิ่งเหล่านั้นจะสูญไป ธรรมทั้งหลายมันเกิดขึ้นเพราะเหตุดับเพราะเหตุ มันเกิดขึ้นเองมันก็ดับไปเอง ท่านผู้ปฏิบัติธรรมชาย-หญิงทั้งหลาย อย่าไปเชื่อเหตุที่เป็นทุกข์ อย่าไปคิดตามในสิ่งเหล่านั้น ขอให้เรารู้เหตุที่มีอยู่ในตน ขอให้เรามีสติพร้อมด้วยขันติ ทำความเพียรด้วยความอดทน จะได้รับผลนะภายหลัง จะได้รู้ซึ้งแห่งธรรมทั้งปวง ก็เพราะเหตุนั้นแหละไม่ว่าโลกหรือธรรม เมื่อจะได้รับผลก็จะต้องเอาชีวิตสังขารเข้าต่อสู้ด้วยกันทุกอย่างไป แต่ผู้ปฏิบัติเล่าเรียนจะรู้หรือไม่ในเหตุและผล ที่อาตมาภาพเปิดเผยในทางปฏิบัติ สมาธิฝึกจิตแห่งกรรมฐานของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบัญญัติย่อเท่านั้น ท่านทั้งหลายต้องปฏิบัติตามดูถึงจะรู้ว่ามีเหตุผลด้วยกัน บางท่านก็ปฏิบัติไปพอเข้าถึงเหตุ ก็ท้อใจไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะตนยังติดอยู่ไม่รู้ทุกข์ที่จะเกิดตามมาทีหลัง เลยขอลาจาก ศีล สมาธิ ปัญญา ไปเสียก็มากมายกลายเป็นผู้ลืมตายไปเสียแล้ว เพราะจิตหลงเพลิดเพลินอยู่ในกามตัณหา โลกธรรมแปดประการ ไปหลงอยู่ในหมู่บ้านของตัณหาบ้ากาม แห่งอบายมุขโดยที่ไม่รู้เหตุ ที่จะเป็นผลนั้นเอง ถึงได้เกิดความประมาทตนและผู้อื่น ว่าเราคงจะเหมือนเขา เขาคงจะเหมือนเราอย่างนี้เป็นต้นฯ

 

              เพราะเราขาดความเพียรในศีลและธรรมสมาธิกรรมฐานนั้นเอง เพราะตนรู้ไม่ถึงจึงได้เดินเดินตามจิตใจของตนเข้าไปสู่ดงตัณหาพญามาร แห่งความกำหนัดโดยไม่รู้ตัวเท่าทันกับสังขารของตนและผู้อื่น ว่ามันเป็นทุกข์หรือสุข อย่างนี้รู้หรือไม่ ผู้ปฏิบัติควรพิจารณาให้มากๆ “สังขารมีแต่เลือดเนื้อ หนังห่อกระดูกล้วนแต่สุภะทั้งมวล ไม่แท้ไม่เที่ยง มันถึงเป็นทุกข์เกิดเวทนากันอยู่ไม่รู้ซ่างซา ได้แต่อยากได้หิวโหย เกิดความทุกข์อยู่เรื่อยไป เดินทาง ใกล้เข้าสู่ความตายอยู่ทุกคืนทุกวัน สังขารแตกดับแล้ว ท่านจะไปอยู่ที่ไหน ท่านรู้กันหรือไม่ ธรรมทานนี้เหมือนกู้ก้องกลับกันเถิด อย่าหลงไปตามตัณหาความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้มันมากนัก” ตาเห็นรูปหูได้ยินเสียง ก็มีแต่รูปนามกับนามกับนามเท่านั้น ท่านทั้งหลายอย่าไปถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวตน ว่ามันเป็นสังขาร เป็นแก่นสาร ประเดี๋ยวเขาก็เรียกกันว่า “ผี” หรือคนตายนั่นแหละ ฯ

 

              ความสุขที่เกิดขึ้นได้ก็เนื่องจากว่า เราไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นนั้นเอง ความเสพกามตัณหาสามนั้นแหละท่านเรียกว่า ยังบังเบียดมีทั้งเกลียดมีทั้งรัก หามหนักยิ่งเท่าภูเขา ภิกษุ สามเณร ชี พราหมณ์ ผู้ทรงเพศพรหมจรรย์ให้ตรองดูบ้าง ให้รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง ถูกทำนองครองธรรม ข้ามมหาสมุทร คือ สมุทัยไปให้ได้ รักกันเหมือนสามี – ภรรยา ต้องเป็นขี้ข้าของตัณหาจนวันตาย ขอให้ท่านทั้งหลายใช้ปัญญาไตร่ตรองดู ให้รู้แจ้งเห็นจริงในกองทุกข์ เพราะทุกข์ทั้งหลายมันเกิดขึ้นแก่ร่างกาย  ความเป็นความตายมันก็อยู่ที่สังขาร เราจงพยายามหลีกหนีกองทุกข์และความเกิดความตาย อันมีไม่รู้จักสิ้นสุดนั้นเสียเถิด ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ อย่าหลงงมงายคิดออกนอกทางขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านบัญญัติไว้ในพระธรรมพระวินัย ตามที่มีบุคคลกล่าวว่า เด็กก็ตาม ผู้ใหญ่ ก็ตาม เกิดก่อนเกิดหลังก็ตาม ได้รับการศึกษาเล่าเรียนจนรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม ถ้าท่านผู้ใดกล่าวว่า นรก – สวรรค์ – นิพพาน ไม่มีขอให้ท่านทั้งหลายอย่าหลงเชื่อแก่บุคคลเหล่านั้นเพราะที่กล่าวคำพูดออกมาเช่นนี้ เป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนา นรก-สวรรค์-นิพพาน นั้นพระพุทธองค์ได้ทรงรู้แจ่มแจ้งแล้ว จึงบัญญัติไว้ในพระธรรมพระวินัย  ถ้าหากท่านว่า  นรก – สวรรค์ – นิพพาน ไม่มีแล้วบุญและบาปความเกิดความตายของมนุษย์ก็คงไม่มีเช่นเดียวกัน โลกนี้ก็จะเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน เยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน ขอให้ท่านทั้งหลายเชื่อในธรรมวินัย ของพระพุทธองค์ ปัจจุบันพระยังมีอยู่ อย่าไปหลงเชื่อบุคคลที่เดินทางผิด เปรียบเหมือนผู้หูหนวกตาบอด คอยแต่จะพูดประมาททำลายพระพุทธศาสนา โดยไม่มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป มนุษย์เราเป็นสัตว์สูงสุดกว่าสัตว์อื่น สมควรที่ได้รับคุณธรรมพิเศษ  ยอดเยี่ยม เป็นธรรมที่มนุษย์ปฏิบัติได้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ธรรมเหล่านี้มีแต่มนุษย์เราเท่านั้น ที่จะปฏิบัติจิตให้ดำเนินตามไปได้ ท่านทั้งหลายสมควรเดินตามพุทธบัญญัติ ให้เลิกการกระทำอันเป็นสิ่งที่เป็นบาปเสียเร่งบำเพ็ญบุญ ให้ติดตัวไป เพราะนรก – สวรรค์ นั้นมีจริงและนิพพานนั้นก็มีจริง ไม่ต้องสงสัย สิ่งที่ไม่ตายนั้น คือ วิญญาณที่อาศัยอยู่ในอัตภาพตัวตนเราทุกวันนี้ จะเป็นผู้เดินทางไปสู่ผลแห่งกรรมและไปสู่ภพของนรก-สวรรค์ ถ้าหากท่านทั้งหลายเป็นผู้สงสัยในเรื่องนรก-สวรรค์ อยู่ก็อย่าได้ไปกล่าวคำพูดว่ามันไม่มี เพราะมีแต่จะทำให้เกิดบาป เพราะหมิ่นในธรรมวินัยของพระศาสนา ฯ

 

              อันว่าตัณหาสามโลกธรรมแปด ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่มีอยู่ในตัวตนของท่านนั้น ถ้ามันมีสิงอยู่ในจิตใจของท่านอยู่ นรก-สวรรค์ก็ยังมีรองรับท่านเช่นเดียวกัน ถ้าท่านมีความสงสัยอยู่ ขอให้รีบฝึกหัดจิตของท่านให้เดินตามสมถะกรรมฐาน ฌาน 4 อรูปฌาน 4 ตามพระพุทธเจ้าบัญญัติ ท่านให้รู้ได้เองและเห็นด้วยตนเอง จึงจะรู้แจ้งภพแห่ง นรก-สวรรค์ ตลอดจนนิพพานที่พระพุทธองค์บัญญัติ ผู้ไม่ได้ปฏิบัติจิตให้พูดให้เรียนจนตาย ก็ไม่รู้ว่านรกสวรรค์มีจริง ได้แต่สงสัยให้มันเกิดขึ้นอยู่ในตนอยู่เรื่อยไป เพราะการปฏิบัติจิตนั่นไม่ใช่จำ ไม่ใช่ท่อง ไม่ใช่บ่น เอามาพูด เอามาอวดกันเล่น หรือเอามานึกเอาเดาเอา อย่างนั้นก็หาใช่ไม่เพราะธรรมยังไม่บังเกิดมีขึ้นในตน จิตวิญญาณ จิตจะหลุดพ้นจากความมืดไปได้อย่างไร เป็นการอวดว่าธรรมที่ไม่มีในตน ว่ามีในตนนั้นเอง ถึงไม่เห็นบุญ ไม่เห็นบาป ไม่เห็นภพ ไม่เห็นชาติ ไม่เห็นนรก – สวรรค์ – นิพพาน ตามพุทธบัญญัติ ไม่รู้กระทั่งวิญญาณของตนที่เวียนว่ายตายเกิด เพราะขาดจากวิธีการปฏิบัติในสมถะกรรมฐาน ให้เกิดมีปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริง ในทางวิปัสสนาให้เดินตามแนวทางของโลกุตระ ให้ถือมั่นในศีล ให้รู้ความเกิดแห่งทุกข์ ให้มั่นในสมาธิ ให้รู้ความดับทุกข์ ให้มั่นในปัญญารู้ทางออกจากทุกข์ ฯ

              อย่างนี้แหละท่านเรียกว่า สมณะเพศผู้แสวงหาธรรม ตามคำสั่งสอนของพระศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ถึงจะไม่ใช่เป็นผู้ที่ประมาทในตนและผู้อื่น สวรรค์ – นิพพานนั้นทางที่จะไปไม่มีขวากมีหนาม ไม่มีป่าพงดงหนา เสือ ช้าง จระเข้ยักษ์ปีศาจโจรผู้ร้ายจะกีดขวางหรือสกัดกั้นต้นทางเราไว้นั้นไม่มี  เร่งรีบไปกันเถิดผู้ปฏิบัติชาย-หญิง ทั้งหลาย อย่าเป็นผู้หลงลืมตายและประมาทในตนและผู้อื่นอยู่เลย ส่วนนรกอบายภูมินั้นมันลำบาก มีแต่ทางทรมาน มีแต่ขวากหนาม มีศัตรู ปีศาจร้ายข้างหน้ามากมาย ทางไปก็ลำบากแสนเข็ญไม่ว่ากลางวันและกลางคืน ลำบากร้องไห้โศกา  อดอยากขาดแคลน ขึ้นเขาลงเหว หนามทิ่มหนามตำ ผีหลอกผีหลอน แม้แต่จะนอนก็ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ยิ่งหนักหนา เหตุไฉนคนถึงได้ไปมากมายนัก ไปหาว่ามันสนุกสนาน แม้แต่จะ จะคลานก็ว่ามันสนุก เพราะหมู่ท่านยังประมาทตนอยู่ ไปหาว่านรก-สวรรค์ ไม่มีร้ายยิ่งกว่าปีศาจดุร้าย เพราะไม่มีความเกรงกลัวต่อบาปนั้นเอง เพราะว่าหมู่ท่านเหล่านี้เป็นผู้ทำลายพุทธศาสนา ทำลายตนเองและทำลายผู้อื่น ไปหาว่าบุญบาปไม่มีไปเที่ยวพูดให้ปุถุชนเกิดความสงสัยวังเวง แตกร้าวความสามัคคีกันโดยไม่รู้ตัว ไปถือว่าตายแล้วสูญไม่มีอะไรเหลืออยู่ รู้แต่เสพกามเหมือนดั่งสัตว์ กัดกินเพราะหลงไปในทางผิด จิตใจของท่านทั้งหลายนั้นแหละเป็นกระแสไฟ – ลมเป็นธรรมอันไม่ตาย ถ้าสังขารท่านเหล่าใดแตกแยกออกจากกันไปแล้ว จิตใจนั้นไปตามกระแสกรรมมีบุญ-บาปที่ตนกระทำไว้ สิ่งที่เป็นกุศลมีบุญ-บาป ที่ตนได้กระทำไว้สิ่งที่เป็นกุศลและอกุศลนั้นแหละจะเป็นกรรมติดตามท่านไป ฯ

 

              ขอให้ท่านทั้งหลาย เลิกกระทำบาปทั้งปวงนั้นเสียเถิด จะได้มีความสุขทั้งชาตินี้และชาติหน้า เหตุที่ทำให้ท่านมีความสุขความทุกข์ เพราะสังขารเจ็บไข้ได้ป่วยทรมานกายทรมานใจก็ดี ได้รับความสรรเสริญนินทา ถูกทุบตีต่าง ๆ ในปัจจุบันมันก็เกิดจากผลกรรมที่ท่านกระทำแล้ว ตั้งแต่อดีตชาติ ขอให้ท่านทั้งหลายอย่าสงสัยเป็นอื่นเลย อันความประมาทนี้ มันเกิดขึ้นแก่ผู้ที่มีความมืด ไม่รู้ภพไม่รู้ชาติ ไม่รู้บุญ ไม่รู้บาป ไม่รู้กรรม ไม่รู้เวร เห็นแต่สังขาร กายาของตนว่าเป็นสิ่งถาวร ไม่รู้ว่าวิญญาณของตัวว่าเป็นอย่างไร รู้แต่ลมหายใจ ไม่รู้จักจิตใจของตัว หลงอยู่แต่ในความมืด ร้ายยิ่งกว่าสัตว์ เพราะกรรมบังเอาไว้ ได้แต่พูดไม่รู้ทางไป เพราะนิสัยเป็นมารมาแต่ในอดีตชาติ ก็ต้องเป็นผู้หลงอยู่ในความประมาทในตนและผู้อื่นมาแล้ว ท่านเหล่านี้ถ้ามีก็หลงอยู่แต่ในความมั่งมีอยู่นั่นเอง ถ้าจนก็หลงอยู่ในความจนของตนเองนั้นแหละ ไม่รู้จักทางที่ออกจากทุกข์ ตั้งหน้าแต่ประมาทตนและผู้อื่นอยู่ร่ำไป มีความประมาทอยู่ดักดาน กระทั่งบิดามารดาของตน ถือว่าตนเป็นคนคิดถูกแต่ไม่รู้จักธรรมไม่รู้จักเวร เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เอามาเทินหัวตนเอง หลังไปเพ่งเล็งพุทธศาสนาหาว่าไม่มีประโยชน์ บิดา-มารดา-ญาติ- มิตรจะไปวัด ไปรักษาศีล ออกเป็นนักบวชในพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยเข้าใจผิด เพราะหมู่พญามารบันดาลจิตใจให้พูดออกไปว่า ไปอาศัยกินข้าววัดข้าววา ไม่มีปัญญาหากินกับเขา ลูกเต้าเขาก็มีเยอะแยะประเดี๋ยวเขาจะหาว่าหาเลี้ยงบิดามารดาไม่ได้ ปล่อยไปหากินตามวัดวาอาราม ลูกเต้าอายเขาไปเปล่าๆ ฯ

 

              คำพูดเช่นนี้เรียกว่า คำพูดของพญามารที่เข้าบันดาลให้บุคคลพูดออกไป มันเป็นสิ่งทำลายพุทธศาสนาโดยตรง ผู้ที่เชื่อมั่นในศาสนาจะต้องเป็นผู้มีศรัทธา ในจิตไม่เสื่อมคลาย มีจิตใจชอบบริจาคสิ่งของและวัสดุ ด้วยความพอใจ บังเกิดชักชวนให้ผู้อื่นทั่วๆไปสนใจในการบุญ การกุศล แนะนำให้ผู้อื่นเลิกจากการกระทำบาปทั้งปวง มีเมตตาจิต อุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์ทั้งมวล และเชื่อมั่นอยู่ในการรักษาศีลฟังธรรม ปฏิบัติจิตของตนให้เดินตาม ศีล สมาธิ ปัญญา มีปัญญาไต่รตรองหาทางออกจากทุกข์ ให้รู้จักคุณและโทษของโลภ โทสะ โมหะ ผู้ปฏิบัติอยู่เช่นนี้จึงเรียกว่า เป็นผู้คลายความประมาทออกไปแล้ว ฯ

 

              ขอให้ท่านทั้งหลาย จงกระทำตัวของท่าน และจิตใจของท่าน จงอย่าตั้งอยู่ในความประมาท ของตนและผู้อื่นเลย สาธุ “การปฏิบัติให้พ้นทุกข์อย่างเด็ดขาด ต้องมีในชีวิตนี้ ไม่ใช่มีในมีชีวิตหน้า ถ้าในชีวิตนี้ท่านทั้งหลายยังรู้สึกว่า จิตใจของท่านยังเก็บความทุกข์ซ่อนเร้นเหลือไว้อยู่แม้แต่ท่านจะไปเกิดในภพชาติใหม่ จะเป็นมนุษย์-เทวดา-พรหม ก็ตาม ทุกข์อันนี้จะติดตามท่านไปให้เกิดทุกข์ขึ้นอีก ความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ต้องปฏิบัติขึ้นในดวงจิตของเราก่อนไม่ใช่มีหลังจากเราได้ละทิ้งสังขารไปแล้ว

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:14:42

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom