เราจงข้ามฝั่งไปเที่ยวเมืองพระนิพพานกันเถิด

 

                โดยสรุปแล้ว  ศีลนี้แหละเป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา  ศีลนี้แหละคือพระวินัย  พระวินัยนี้แหละจะน้อมนำให้เข้าถึงซึ่งพระธรรม  พระธรรมเป็นผู้น้อมนำความสว่างมาให้ผู้ปฏิบัติ  เข้าถึงพุทธภูมิได้อย่างแท้จริง  พระธรรมไม่ใช่กระดาษหรือใบลานนะท่าน พระพุทธเจ้ามิได้เป็นปูนหรือทองหล่อ  มิใช่เป็นไม้หรือโลหะ  ไม่ใช่ดินชินผงที่ได้ปั้นหล่อกันขึ้นนะท่าน  พระพุทธเจ้าเป็นผู้ปราศจากกิเลส  ตัณหา  ราคะ  และอาสวะทั้งหลายได้โดยสิ้นเชิง  หมดสิ้นจากกิเลสกามและวัตถุกามทั้งหลายได้  โดยสิ้นเชิงทั้งภายนอกและภายใน  บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส  และเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย  นั่นแหละจึงจะเรียกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นคือพระพุทธธัง  พระธรรมมัง  พระสังฆัง  เพราะท่านขาดแล้วจากตัณหาทั้งสาม  และโลกธรรมแปดประการได้โดยสิ้นเชิง

 

                ดูก่อนผู้ปฏิบัติทั้งหลาย  ผู้ซึ่งจะเป็นบุตรของพระศาสดาได้อย่างแท้จริงนั้น  จะต้องปฏิบัติตนเข้าสู่ศีล-สมาธิ-ปัญญา  ไตรสิกขานี้แหละคือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  นิพพานแปลว่าดับสูญ  แต่ว่ายังส่วนที่แปลว่าดับสูญนั้น  คือ  ดับตัณหา  ราคะ  อาสวะ  ทั้งหลายได้หมดยังคงเหลืออยู่แต่เบญจขันธ์ล้วนๆ  แต่ขณะนี้พระองค์ท่านได้ดับเบญจขันธ์ไปหมดแล้ว  คงเหลือแต่  ศีล-สมาธิ-ปัญญา  ศีลคือสติ  สมาธิคือสัมปชัญญะ  ปัญญาคือปัญญานั่นเอง  นี่แหละท่านจึงเรียกสติว่าพระพุทธธัง  สัมปชัญญะคือพระธรรมมัง  ปัญญาคือพระสังฆัง

 

 

1.  ศีลจะสมบูรณ์เพราะเว้นจากอกุศลอยู่ทุกขณะ

 

2.  สมาธิจะมั่นคงเพราะไม่เผลอสติ

 

3.  ปัญญาจึงจะบังเกิดขึ้น (คือเห็นสภาวะของจิตทั้ง 89 หรือ 121 ดวง)  

 

                ผู้ปฏิบัติทั้งหลายอย่าได้ลังเล หากศีล-สมาธิ-ปัญญามีอยู่ตราบใดพระพุทธเจ้ายังมีอยู่ตราบนั้น  ขอให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจงได้มีความเพียรปฏิบัติตามศีล-สมาธิ-ปัญญา  ด้วยวิปัสสนากรรมฐาน  จะมีทางที่จะทำจิตใจให้หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ได้ทุกขณะ  พระอรหันต์นั้นคืออะไร  ตอบว่า  พระอรหันต์นั้นคือผู้ปฏิบัติทุกท่าน  ผู้ที่มีจิตมั่นในศีล กายก็เป็นศีล  วาจาก็เป็นศีล มีจิตมั่นในสมาธิ  กายก็เป็นสมาธิ  วาจาก็เป็นสมาธิ   จิตก็เป็นสมาธิ  มีจิตมั่นในปัญญา  กายก็เป็นปัญญา  วาจาก็เป็นปัญญา  จิตก็เป็นปัญญา  กำจัดเสียได้ซึ่งมลทิน  คือโมหะอันใหญ่หลวงเป็นผู้รู้ผู้พ้นแล้วจากสรรพกิเลสทั้งหลาย  ปลดบ่วงมารเสียได้  ถึงซึ่งความดับทุกข์ทั้งมวล  พ้นจากการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย  โศกะ  ปริเวทะ  โศกเศร้า  ร้องให้คร่ำครวญ  เพ้อรำพันก็ไม่มี  โทมนัสความเสียใจก็ไม่มี  พ้นภัยโดยประการทั้งปวง  เป็นผู้ไม่ปิดบาป  คือซ่อนความผิดของตนไว้พระนิพพานนั้นเป็นเมืองแก้ว  ท่านกล่าวไว้แล้วไม่ใกล้ไม่ไกล  อยู่ตรงกันข้ามคนละฟากกับทุกข์ทั้งหลายนั่นแหละ  อยู่ที่ไหน  ตอบว่าอยู่คนละฟากกับไตรภูมินั่นแล้ว  ให้ข้ามมหาสมุทรไปก็จะถึงมหาสมุทร  คืออะไร อยู่ที่ไหนตอบว่าอยู่ ในตัวเรานี้เอง  ในมหาสมุทรนั้นมีทิฐิและสรรพกิเลสทั้งหลาย  เช่น  อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน  เป็นห้วงน้ำในมหาสมุทร  จงรีบทำลายตัณหาผู้สร้างขันธ์ห้าเสีย  ก็จะข้ามฝั่งไปได้โดยปลอดภัย  ดับความทุกข์ได้หมด  พระนิพพานเป็นที่ดับตัณหาอันทำให้เกิดทุกข์ทั้งหลายได้  หากตัณหายังคงมีอยู่แล้วไซร้จะเป็นเหตุให้สัตว์กระทำกรรมที่เป็นกุศล  และอกุศลตกแต่งสังขารให้เป็นกองทุกข์อยู่ร่ำไปหลงใหลติดอยู่ดุจเป็นทาส

 

                พุทธบริษัทสมณะชีพราหมณ์ทั้งหลาย   อย่าได้ท้อถอยอย่าได้ประมาทตนและผู้อื่นว่าจะไปพระนิพพานไม่ได้  พระธรรมพระวินัยยังอยู่ตราบใด  ก็จะมีผู้ปฏิบัติเข้าถึงพระนิพพานได้ตราบนั้น  อนิจจังนั้นแลแปลว่าไม่เที่ยง ด้วยเหตุเวทนาอยู่ในกาย  มีชระพยาธิผันแปรแตกดับเปลี่ยนแปลงกันไป  สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์  สิ่งไหนเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา  สิ่งไหนเป็นอนัตตาสิ่งนั้นเคลื่อนได้  สิ่งใดเคลื่อนได้สิ่งนั้นมิใช่ตัวตน เช่น บุญหรือบาป  ความดี  ความชั่ว  ยากดีมีจน  นินทาสรรเสริญ  มียศเสื่อมยศ (ในโลกธรรมแปดประการ) ล้วนแต่เป็นสิ่งอนัตตา  เพราะมันเคลื่อนได้เปลี่ยนแปลงไปมา  อย่าถือว่าตัวตน  หากถือว่าตัวว่าตนจะไม่พันซึ่งอบาย ตายแล้วย่อมเกิดมามีตัวมีตน  บุคคลเราเขาอยู่ที่ไหน  ตัณหาย่อมพาไปให้เกิดดับในโลกีย์

 

                ผู้ปฏิบัติทั้งหลายขอให้ท่านจงได้ตรวจดูตนบ้างเพื่อเป็นการทำลายโมหะและอวิชชาทั้ง 5 อย่าง  เหล่านี้เป็นของหลอกลวงล่อใจ  ให้เราเกิดความรัก  เกิดความใคร่  เกิดความกำหนัดหลงอยู่ร่ำไป  จิตที่มีความรัก  ความใคร่  ความกำหนัด  ดังกล่าวมานี้  เป็นจิตของญาติโยมผู้ครองเรือน  หาใช่จิตใจของนักปฏิบัติผู้ต้องการหาทางดับทุกข์แต่อย่างใดไม่  ตะโจ นั้นท่านแปลว่าหนัง  เป็นเครื่องกำบังหุ้มห่อไว้พรางตาให้รีบดู  ภายใต้ผิวหนังซึ่งหุ้มห่อไว้นั้นคือเนื้อ  ฝังเนื้อซ่อนอยู่ภายใต้ลึกเข้าไปนั้น  มีเอ็นมีกระดูกผสมด้วยมูตรคูตรบูดเหม็นทั้งนั้น  หากดูไม่เป็นเหมือนคนตาบอดตรวจให้ตลอดท่านเรียกว่าอสุภะ  กรรมฐานในคราวอุปสมบทอุปัชฌาย์  ท่านจะให้อาวุธแก่ภิกษุใหม่คือ  ปัญจกรรมฐานนี้เองเพื่อให้ภิกษุใหม่  เอาไว้ต่อสู้กับอิทธิพลของมาร  เพื่อจะให้เกิดความเบื่อหน่าย  คลายจากความรัก  ความใคร่  ความกำหนัดทั้งหลายให้สิ้นไป  พระวินัยจึงได้บัญญัติไว้ตามสิกขาบทข้อที่สามคือ  อพรัหมะจะริยา  ผู้ใดปฏิบัติได้แล้ว  เรียกว่าพรหมจรรย์  อาตมาจึงได้พิจารณาตามศีลสิกขาบทข้อนี้  จึงได้ทราบความจริง “โอ้หนอ  ความทุกข์  ทั้งหลายนั้นเกิดขึ้นเพราะความรักนี้เอง”  จึงครอบงำสัตว์โลกไว้ให้ออกได้ยากดังนี้

 

                อาตมาได้พิจารณาต่อไปอีก  ได้ตรวจจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลสมาธิประกอบด้วยธาตุกรรมฐาน คือ ธาตุสี่  ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ในกายของตน  คนเราเกิดมาครั้งแรกมีอาโปธาตุเป็นเหตุ  อาโปนี้คือกิเลสกาม  ทำให้ก่อเกิดเป็นมนุษย์และสัตว์ติดพันกันมาแต่ปู่ ย่า ตา ยาย เกิดแล้วตายๆ แล้วเกิดมา  จึงหาผู้ที่รู้จริงได้ยาก  นอกจากเดินทางตามมรรคาพระศาสดาท่านสอนไว้  อาตมาจึงได้พิจารณาเรื่อยไปมิได้หยุดหย่อน  ทำตัณหาให้เร่าร้อน  หนีหน่ายจาก  ไปยึดพระธรรม  พระวินัย  ไว้เป็นหลักฐานเพื่อต้องการข้ามมหาสมุทรทัยไปฝั่งทางโน้น  คือเมืองพระนิพพาน  อาตมาพิจารณาเรื่อยไปประมาณหนึ่งเดือน  จึงเกิดความสว่างลุกโพลงขึ้น  แผ่กระจายออกไปมองเห็นถนัดได้รอบตัว  แต่ความสว่างอันนี้ได้หยุดชะงักลงพุ่งต่อไปอีกไม่ได้  เนื่องจากมีสิ่งที่มีสภาพคล้ายแห  ปิดล้อมคุมขังกั้นไว้รอบตัว  ใยแหคล้ายเส้นด้ายมีตาถี่ๆ  ประมาณนิ้วชี้ลอดได้หรือจะเรียกว่าแหนิ้วก็ไม่ผิด  อาตมาจึงมาพิจารณาดูในความบริสุทธิ์ของตนตามศีลสิกขาบทที่ได้ปฏิบัติมา  เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์  หลุดพ้นจากที่คุมขังดังกล่าว  ได้พิจารณาตามศีลสิกขาบทเรื่อยไป  จนความบริสุทธิ์เกิดขึ้นได้แล้ว  สภาพของจิตวิญญาณ  ซึ่งมีความสว่างยังถูกจองจำคุมขังอยู่นั้น  ได้พุ่งแว๊บหนีออกไปอยู่ภายนอก  ทิ้งแหที่คลุมเราไว้เบื้องหลัง  รู้สึกว่าขณะนั้นจิตใจปลอดโปร่งโล่งเบา  สว่างมากขึ้นอีกเป็นอย่างมาก  อาตมาได้พิจารณาอยู่เช่นนี้ต่อไปอีก  เพื่อต้องการออกจากความรัก  ความใคร่  ในกามคุณพิจารณาอยู่สามวัน  แหอันที่ตกอยู่เบื้องหลังได้อันตรธานหายไป

                เรื่องของกิเลสกามยังไม่หมด  อาตมาจะเล่าให้ฟังต่อไป  อาตมาได้พิจารณาค้นคว้าในกายาของตนตรวจดูว่า  ตัณหานี้มีอยู่ที่ใดอีกจึงได้มาพิจารณาดูในเบญจขันธ์อีกครั้งหนึ่ง คือ  พิจารณา รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  ที่ประกอบอยู่ในอาการ 32 แบ่งออกเป็นส่วนๆ  เพื่อจะทำความบริสุทธิ์ให้เกิดมีในตนด้วยศีล-สมาธิ-ปัญญา  พิจารณาอยู่ประมาณหนึ่งเดือน จึงเกิดความสว่างพุ่งขึ้นอีก  ความสว่างได้ลุกโพลงพุ่งไปข้างหน้าไกลกว่าสภาพของจิต  สว่างไสวเป็นปริมณฑลอยู่  จึงได้มองเห็นที่คุมขังเห็นเป็นสายใยแมลงมุมล้อมขัง  สภาพจิตวิญญาณของเราอยู่  จิตวิญญาณจึงหาทางออกมิได้  ทุกกิริยาบถถูกล้อมไว้ออกไม่รอด  อาตมาจึงได้มาคิดแยกเบญจขันธ์  อย่างที่กล่าวมาจากบทก่อนนั้นแล้ว  ให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นตัณหา  สิ่งใดมิใช่เป็นตัณหาอย่าให้ปะปนกัน  สิ่งใดที่ทำให้เกิดความรัก  สิ่งใดซึ่งทำให้เกิดความใคร่ทำให้เกิดความกำหนัดยินดีเรียกว่าสังโยชน์  ผูกจิตให้ติดอยู่ในอารมณ์ของโลกีย์  มีรูป-เสียง-กลิ่น-รส  โผฏฐัพพะธรรมมารมณ์ล้วนแล้วแต่เป็นพลังมาจากตัณหาทั้งสิ้นหาที่สุดมิได้  จึงพิจารณาค้นคว้าหาต้นตอแล้วแยกออกปล่อยวางทิ้งเสียให้สิ้นเชิง  โดยเปลี่ยนวิถีจิตให้มายึดเอาศีลสิกขาบทไว้เป็นอาวุธ  ให้มีความรักใคร่  ความกำหนัด  ยินดีในศีลสิกขาบท  เพื่อกำจัดในสิ่งที่ติดอยู่ในกามคุณเสียให้สิ้นเชิง  โดยยึดเอา ศีล-สมาธิ-ปัญญา นำมาทำความบริสุทธิ์ให้มีในตน  อาตมาพิจารณาอยู่เช่นนี้ประมาณห้าหรือเจ็ดวันความสว่างจึงบังเกิดขึ้น  สภาพของจิตวิญญาณก็ออกไปตามความสว่างโล่งโปร่งเบาอันประณีตเหลือคณา  มันเป็นการยากเหลือที่จะยกอ้างเอามาให้นักวิทยาศาสตร์วิจัยดู  หรือแม้แต่จะนำมาเขียนเป็นตัวหนังสือให้ละเอียดตามความเห็นเป็นจริงได้  เพราะไม่ใช่วัตถุ  ที่คนธรรมดาจะมองเห็นได้ตามสายตา  ด้วยมันมีสภาพเป็นความสว่างไสว  รู้ได้เฉพาะตนของชนชั้น พระอริยะเจ้าเท่านั้น จากนั้นไปอาตมาได้พิจารณาด้วยสมาธิในศีลสิกขาบท  โดยประณีตตามสภาพของจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ความเบื่อหน่ายก็ตามมา  เพราะมองเห็นสังขารของตนและผู้อื่นได้ชัดเจนทะลุปรุโปร่งเหมือนโครงซากศพ  ไม่มีอะไรขวางกั้นไม่ว่าเหนือใต้ใกล้ไกล  จะมองดูอะไรก็เห็นได้ทั้งนั้น  องค์ฌานที่น้อมนำความสว่างให้บังเกิดขึ้นได้นี้  ผู้ปฏิบัติต้องพิจารณาตามศีลข้อที่สามตามที่กล่าวมาแล้วแต่ข้อต้น  ให้ใช้สมาธิจิตตรวจดูตนเอง  ให้บริสุทธิ์ด้วยศีลสิกขาบท  ทั้งทางกาย  ทางวาจา  ทางใจ  ประการหนึ่ง  อีกประการหนึ่ง  ต้องพิจารณาในอาการ 32 ให้หมดจด  ให้เกิดให้มีให้เห็น  เป็นความสว่างไสวขึ้นเป็นองค์ฌาน  ด้วยการปฏิบัติของตนจนรู้แจ้งเห็นจริง ให้ปล่อยวางจากการยึดถือหลงผิด  ห้ามมิให้ผู้ปฏิบัติถือโดยอ้างตำราปล่อยวางสิ่งที่เป็นสัญญาจำได้หมายรู้ อุปาทานอย่านึกอย่าเดาเอา  ห้ามมิให้คาดคะเนและตรึกตรองเอา  เพราะเป็นของเปล่าจากประโยชน์  จงฝึกดูให้มันเกิด ให้มันมีจนรู้แจ้งเห็นจริง  ให้คลายจากความใคร่  หายจากความกำหนัด  ยินดีอย่างแท้จริง  จึงจะถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติในพระพุทธศาสนา  แล้วจะมีความสว่างในองค์ฌาน  บังเกิดขึ้นด้วยศีลบริสุทธิ์  ขาดจากกามกิเลส  ตัดพยาบาทจองเวร  ตัดขาดจากโลกธรรมแปดประการฝ่ายโลกีย์ให้หมดสิ้น  จนเกิดการเบื่อหน่ายคลายจากความกำหนัดย้อมใจดับตัณหาเสียได้ภพทั้ง 3  ย่อมไม่มีในอดีตกาล  ขณะที่อาตมาได้ทรงเพศเป็นชีผ้าขาว  ได้เพียรพยายามตั้งหน้าปฏิบัติมาเพื่อละ เพื่อดับตัณหา  ตัดขาดจากสรรพกิเลสทั้งมวล ก็บังเกิดองค์ฌานสว่างไสวพุ่งออกไปนอกกาย  สว่างขาวโพลนกว้างใหญ่มหาศาลไม่มีที่สิ้นสุด  จิตใจของอาตมาเวลานั้นก็ว่างโปร่งเบาสะอาด  บริสุทธิ์เหมือนสำลีลอยอยู่กลางแจ้ง  ดวงวิญญาณได้ลอยไปตามความสว่างแล้วพุ่งขึ้นสู่บนนภากาศ  มองเห็นเป็นสภาพวิญญาณของอาตมาเอง  ลอยอยู่บนก้อนเมฆ  เมื่อทำจิตเข้าสู่สมาธิเวลาใด  แม้จะทำการงานอยู่ทุกกิริยาบถก็จะมองเห็นสภาพจิตวิญญาณนั้นได้ชัดเจน  วิญญาณของอาตมานั้นเข้านั่งอยู่บนก้อนเมฆได้ประมาณ 15 วัน  ด้วยขณะนั้นอาตมาได้ทำกิจอยู่ที่สำนัก วัดบ้านโง้ง  ปราจีนบุรี  เป็นจริงตามเรื่องนี้จึงมากล่าวไว้ให้ฟัง

 

                นี่แหละผู้ปฏิบัติทั้งหลาย  อาตมามิได้ยกตนข่มท่านอวดตนว่าวิเศษเพื่อต้องการลาภสักการะแต่อย่างใด  ผู้ใดอ่านแล้วจะเชื่อก็ได้  มิเชื่อก็ได้ไม่บังคับ  เพราะเป็นความรู้จำเพาะตนเห็นได้เฉพาะตนแต่ผู้ปฏิบัติจะเท็จจริงแค่ไหน ขอให้ผู้ปฏิบัติทำจิตให้บริสุทธิ์ตามพระธรรม  พระวินัย  มุ่งหน้าเดินตามทางโลกุตรธรรม  ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ให้เป็นที่พึ่งที่อาศัยเป็นที่ระลึก  จนกลายเป็นอุปนิสัยของท่าน  โดยไม่มีวิจิกิจฉาในตนของตนแล้วไซร้  จึงขอให้ท่านฝึกหัดพิจารณาในศีลสิกขาบทให้บริสุทธิ์ตามที่อาตมากล่าวมาแล้วนี้  ทำให้เกิดให้มีขึ้น  ทำให้เห็นทำให้สว่างแจ่มแจ้ง  จะเป็นได้สมจริงหรือไม่  หากสงสัยเชิญมาถามได้ที่อาตมา  ขณะนี้อยู่ที่สำนักสงฆ์วัดเขานั้นทาพาสุภาพ  บ้านทุ่งยาว  ต. โพธิ์งาม  อ. ประจันตคาม  จ. ปราจีนบุรี

 

                นักปฏิบัติผู้สงสัยและสนใจทั้งหลาย มาติดต่อสอบถามอาตมาได้ทุกขณะ  จำเพาะแต่ผู้หวังจะยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์เท่านั้น  ผู้ใดที่ต้องการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในไตรภพไม่ต้องมาก็ได้  เพราะคำสั่งสอนท่านวางไว้มีถมไป

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:14:47

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom