-
เราจงข้ามฝั่งไปเที่ยวเมืองพระนิพพานกันเถิด
|
|
-
โดยสรุปแล้ว
ศีลนี้แหละเป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา
ศีลนี้แหละคือพระวินัย
พระวินัยนี้แหละจะน้อมนำให้เข้าถึงซึ่งพระธรรม
พระธรรมเป็นผู้น้อมนำความสว่างมาให้ผู้ปฏิบัติ เข้าถึงพุทธภูมิได้อย่างแท้จริง
พระธรรมไม่ใช่กระดาษหรือใบลานนะท่าน
พระพุทธเจ้ามิได้เป็นปูนหรือทองหล่อ
มิใช่เป็นไม้หรือโลหะ
ไม่ใช่ดินชินผงที่ได้ปั้นหล่อกันขึ้นนะท่าน พระพุทธเจ้าเป็นผู้ปราศจากกิเลส
ตัณหา
ราคะ
และอาสวะทั้งหลายได้โดยสิ้นเชิง
หมดสิ้นจากกิเลสกามและวัตถุกามทั้งหลายได้ โดยสิ้นเชิงทั้งภายนอกและภายใน
บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส
และเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
นั่นแหละจึงจะเรียกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นคือพระพุทธธัง
พระธรรมมัง
พระสังฆัง
เพราะท่านขาดแล้วจากตัณหาทั้งสาม
และโลกธรรมแปดประการได้โดยสิ้นเชิง
|
|
-
ดูก่อนผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ผู้ซึ่งจะเป็นบุตรของพระศาสดาได้อย่างแท้จริงนั้น
จะต้องปฏิบัติตนเข้าสู่ศีล-สมาธิ-ปัญญา
ไตรสิกขานี้แหละคือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานแปลว่าดับสูญ
แต่ว่ายังส่วนที่แปลว่าดับสูญนั้น
คือ
ดับตัณหา
ราคะ
อาสวะ
ทั้งหลายได้หมดยังคงเหลืออยู่แต่เบญจขันธ์ล้วนๆ แต่ขณะนี้พระองค์ท่านได้ดับเบญจขันธ์ไปหมดแล้ว
คงเหลือแต่
ศีล-สมาธิ-ปัญญา
ศีลคือสติ
สมาธิคือสัมปชัญญะ ปัญญาคือปัญญานั่นเอง
นี่แหละท่านจึงเรียกสติว่าพระพุทธธัง
สัมปชัญญะคือพระธรรมมัง
ปัญญาคือพระสังฆัง
|
|
-
|
1.
ศีลจะสมบูรณ์เพราะเว้นจากอกุศลอยู่ทุกขณะ
|
|
2.
สมาธิจะมั่นคงเพราะไม่เผลอสติ
|
|
3.
ปัญญาจึงจะบังเกิดขึ้น
(คือเห็นสภาวะของจิตทั้ง
89 หรือ 121 ดวง)
|
|
|
-
ผู้ปฏิบัติทั้งหลายอย่าได้ลังเล
หากศีล-สมาธิ-ปัญญามีอยู่ตราบใดพระพุทธเจ้ายังมีอยู่ตราบนั้น
ขอให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจงได้มีความเพียรปฏิบัติตามศีล-สมาธิ-ปัญญา
ด้วยวิปัสสนากรรมฐาน
จะมีทางที่จะทำจิตใจให้หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ได้ทุกขณะ
พระอรหันต์นั้นคืออะไร
ตอบว่า
พระอรหันต์นั้นคือผู้ปฏิบัติทุกท่าน
ผู้ที่มีจิตมั่นในศีล
กายก็เป็นศีล
วาจาก็เป็นศีล
มีจิตมั่นในสมาธิ
กายก็เป็นสมาธิ
วาจาก็เป็นสมาธิ
จิตก็เป็นสมาธิ
มีจิตมั่นในปัญญา กายก็เป็นปัญญา
วาจาก็เป็นปัญญา
จิตก็เป็นปัญญา
กำจัดเสียได้ซึ่งมลทิน
คือโมหะอันใหญ่หลวงเป็นผู้รู้ผู้พ้นแล้วจากสรรพกิเลสทั้งหลาย
ปลดบ่วงมารเสียได้ ถึงซึ่งความดับทุกข์ทั้งมวล
พ้นจากการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย
โศกะ
ปริเวทะ
โศกเศร้า
ร้องให้คร่ำครวญ
เพ้อรำพันก็ไม่มี
โทมนัสความเสียใจก็ไม่มี
พ้นภัยโดยประการทั้งปวง
เป็นผู้ไม่ปิดบาป
คือซ่อนความผิดของตนไว้พระนิพพานนั้นเป็นเมืองแก้ว
ท่านกล่าวไว้แล้วไม่ใกล้ไม่ไกล
อยู่ตรงกันข้ามคนละฟากกับทุกข์ทั้งหลายนั่นแหละ อยู่ที่ไหน
ตอบว่าอยู่คนละฟากกับไตรภูมินั่นแล้ว
ให้ข้ามมหาสมุทรไปก็จะถึงมหาสมุทร
คืออะไร
อยู่ที่ไหนตอบว่าอยู่
ในตัวเรานี้เอง ในมหาสมุทรนั้นมีทิฐิและสรรพกิเลสทั้งหลาย
เช่น
อวิชชา
ตัณหา
อุปาทาน
เป็นห้วงน้ำในมหาสมุทร
จงรีบทำลายตัณหาผู้สร้างขันธ์ห้าเสีย
ก็จะข้ามฝั่งไปได้โดยปลอดภัย
ดับความทุกข์ได้หมด
พระนิพพานเป็นที่ดับตัณหาอันทำให้เกิดทุกข์ทั้งหลายได้
หากตัณหายังคงมีอยู่แล้วไซร้จะเป็นเหตุให้สัตว์กระทำกรรมที่เป็นกุศล
และอกุศลตกแต่งสังขารให้เป็นกองทุกข์อยู่ร่ำไปหลงใหลติดอยู่ดุจเป็นทาส
|
|
-
พุทธบริษัทสมณะชีพราหมณ์ทั้งหลาย
อย่าได้ท้อถอยอย่าได้ประมาทตนและผู้อื่นว่าจะไปพระนิพพานไม่ได้
พระธรรมพระวินัยยังอยู่ตราบใด
ก็จะมีผู้ปฏิบัติเข้าถึงพระนิพพานได้ตราบนั้น
อนิจจังนั้นแลแปลว่าไม่เที่ยง
ด้วยเหตุเวทนาอยู่ในกาย
มีชระพยาธิผันแปรแตกดับเปลี่ยนแปลงกันไป
สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งไหนเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งไหนเป็นอนัตตาสิ่งนั้นเคลื่อนได้
สิ่งใดเคลื่อนได้สิ่งนั้นมิใช่ตัวตน
เช่น
บุญหรือบาป
ความดี
ความชั่ว
ยากดีมีจน
นินทาสรรเสริญ มียศเสื่อมยศ (ในโลกธรรมแปดประการ)
ล้วนแต่เป็นสิ่งอนัตตา
เพราะมันเคลื่อนได้เปลี่ยนแปลงไปมา
อย่าถือว่าตัวตน หากถือว่าตัวว่าตนจะไม่พันซึ่งอบาย
ตายแล้วย่อมเกิดมามีตัวมีตน
บุคคลเราเขาอยู่ที่ไหน
ตัณหาย่อมพาไปให้เกิดดับในโลกีย์
|
|
-
ผู้ปฏิบัติทั้งหลายขอให้ท่านจงได้ตรวจดูตนบ้างเพื่อเป็นการทำลายโมหะและอวิชชาทั้ง
5 อย่าง
เหล่านี้เป็นของหลอกลวงล่อใจ
ให้เราเกิดความรัก
เกิดความใคร่
เกิดความกำหนัดหลงอยู่ร่ำไป
จิตที่มีความรัก ความใคร่
ความกำหนัด
ดังกล่าวมานี้ เป็นจิตของญาติโยมผู้ครองเรือน
หาใช่จิตใจของนักปฏิบัติผู้ต้องการหาทางดับทุกข์แต่อย่างใดไม่
ตะโจ
นั้นท่านแปลว่าหนัง
เป็นเครื่องกำบังหุ้มห่อไว้พรางตาให้รีบดู ภายใต้ผิวหนังซึ่งหุ้มห่อไว้นั้นคือเนื้อ ฝังเนื้อซ่อนอยู่ภายใต้ลึกเข้าไปนั้น มีเอ็นมีกระดูกผสมด้วยมูตรคูตรบูดเหม็นทั้งนั้น
หากดูไม่เป็นเหมือนคนตาบอดตรวจให้ตลอดท่านเรียกว่าอสุภะ
กรรมฐานในคราวอุปสมบทอุปัชฌาย์
ท่านจะให้อาวุธแก่ภิกษุใหม่คือ
ปัญจกรรมฐานนี้เองเพื่อให้ภิกษุใหม่
เอาไว้ต่อสู้กับอิทธิพลของมาร
เพื่อจะให้เกิดความเบื่อหน่าย
คลายจากความรัก ความใคร่
ความกำหนัดทั้งหลายให้สิ้นไป
พระวินัยจึงได้บัญญัติไว้ตามสิกขาบทข้อที่สามคือ
อพรัหมะจะริยา
ผู้ใดปฏิบัติได้แล้ว
เรียกว่าพรหมจรรย์
อาตมาจึงได้พิจารณาตามศีลสิกขาบทข้อนี้
จึงได้ทราบความจริง
โอ้หนอ
ความทุกข์
ทั้งหลายนั้นเกิดขึ้นเพราะความรักนี้เอง
จึงครอบงำสัตว์โลกไว้ให้ออกได้ยากดังนี้
|
|
-
อาตมาได้พิจารณาต่อไปอีก
ได้ตรวจจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลสมาธิประกอบด้วยธาตุกรรมฐาน
คือ ธาตุสี่
ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ
ในกายของตน
คนเราเกิดมาครั้งแรกมีอาโปธาตุเป็นเหตุ
อาโปนี้คือกิเลสกาม ทำให้ก่อเกิดเป็นมนุษย์และสัตว์ติดพันกันมาแต่ปู่
ย่า ตา ยาย
เกิดแล้วตายๆ
แล้วเกิดมา
จึงหาผู้ที่รู้จริงได้ยาก
นอกจากเดินทางตามมรรคาพระศาสดาท่านสอนไว้
อาตมาจึงได้พิจารณาเรื่อยไปมิได้หยุดหย่อน ทำตัณหาให้เร่าร้อน
หนีหน่ายจาก
ไปยึดพระธรรม
พระวินัย
ไว้เป็นหลักฐานเพื่อต้องการข้ามมหาสมุทรทัยไปฝั่งทางโน้น
คือเมืองพระนิพพาน อาตมาพิจารณาเรื่อยไปประมาณหนึ่งเดือน จึงเกิดความสว่างลุกโพลงขึ้น
แผ่กระจายออกไปมองเห็นถนัดได้รอบตัว
แต่ความสว่างอันนี้ได้หยุดชะงักลงพุ่งต่อไปอีกไม่ได้
เนื่องจากมีสิ่งที่มีสภาพคล้ายแห
ปิดล้อมคุมขังกั้นไว้รอบตัว
ใยแหคล้ายเส้นด้ายมีตาถี่ๆ
ประมาณนิ้วชี้ลอดได้หรือจะเรียกว่าแหนิ้วก็ไม่ผิด
อาตมาจึงมาพิจารณาดูในความบริสุทธิ์ของตนตามศีลสิกขาบทที่ได้ปฏิบัติมา
เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์
หลุดพ้นจากที่คุมขังดังกล่าว
ได้พิจารณาตามศีลสิกขาบทเรื่อยไป
จนความบริสุทธิ์เกิดขึ้นได้แล้ว
สภาพของจิตวิญญาณ ซึ่งมีความสว่างยังถูกจองจำคุมขังอยู่นั้น
ได้พุ่งแว๊บหนีออกไปอยู่ภายนอก
ทิ้งแหที่คลุมเราไว้เบื้องหลัง
รู้สึกว่าขณะนั้นจิตใจปลอดโปร่งโล่งเบา
สว่างมากขึ้นอีกเป็นอย่างมาก
อาตมาได้พิจารณาอยู่เช่นนี้ต่อไปอีก
เพื่อต้องการออกจากความรัก
ความใคร่
ในกามคุณพิจารณาอยู่สามวัน
แหอันที่ตกอยู่เบื้องหลังได้อันตรธานหายไป
|
|
-
เรื่องของกิเลสกามยังไม่หมด
อาตมาจะเล่าให้ฟังต่อไป
อาตมาได้พิจารณาค้นคว้าในกายาของตนตรวจดูว่า ตัณหานี้มีอยู่ที่ใดอีกจึงได้มาพิจารณาดูในเบญจขันธ์อีกครั้งหนึ่ง
คือ
พิจารณา รูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร
วิญญาณ
ที่ประกอบอยู่ในอาการ
32
แบ่งออกเป็นส่วนๆ เพื่อจะทำความบริสุทธิ์ให้เกิดมีในตนด้วยศีล-สมาธิ-ปัญญา
พิจารณาอยู่ประมาณหนึ่งเดือน
จึงเกิดความสว่างพุ่งขึ้นอีก
ความสว่างได้ลุกโพลงพุ่งไปข้างหน้าไกลกว่าสภาพของจิต
สว่างไสวเป็นปริมณฑลอยู่
จึงได้มองเห็นที่คุมขังเห็นเป็นสายใยแมลงมุมล้อมขัง
สภาพจิตวิญญาณของเราอยู่
จิตวิญญาณจึงหาทางออกมิได้
ทุกกิริยาบถถูกล้อมไว้ออกไม่รอด
อาตมาจึงได้มาคิดแยกเบญจขันธ์
อย่างที่กล่าวมาจากบทก่อนนั้นแล้ว
ให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นตัณหา
สิ่งใดมิใช่เป็นตัณหาอย่าให้ปะปนกัน
สิ่งใดที่ทำให้เกิดความรัก
สิ่งใดซึ่งทำให้เกิดความใคร่ทำให้เกิดความกำหนัดยินดีเรียกว่าสังโยชน์
ผูกจิตให้ติดอยู่ในอารมณ์ของโลกีย์
มีรูป-เสียง-กลิ่น-รส
โผฏฐัพพะธรรมมารมณ์ล้วนแล้วแต่เป็นพลังมาจากตัณหาทั้งสิ้นหาที่สุดมิได้
จึงพิจารณาค้นคว้าหาต้นตอแล้วแยกออกปล่อยวางทิ้งเสียให้สิ้นเชิง
โดยเปลี่ยนวิถีจิตให้มายึดเอาศีลสิกขาบทไว้เป็นอาวุธ
ให้มีความรักใคร่ ความกำหนัด
ยินดีในศีลสิกขาบท
เพื่อกำจัดในสิ่งที่ติดอยู่ในกามคุณเสียให้สิ้นเชิง
โดยยึดเอา
ศีล-สมาธิ-ปัญญา
นำมาทำความบริสุทธิ์ให้มีในตน
อาตมาพิจารณาอยู่เช่นนี้ประมาณห้าหรือเจ็ดวันความสว่างจึงบังเกิดขึ้น
สภาพของจิตวิญญาณก็ออกไปตามความสว่างโล่งโปร่งเบาอันประณีตเหลือคณา
มันเป็นการยากเหลือที่จะยกอ้างเอามาให้นักวิทยาศาสตร์วิจัยดู
หรือแม้แต่จะนำมาเขียนเป็นตัวหนังสือให้ละเอียดตามความเห็นเป็นจริงได้
เพราะไม่ใช่วัตถุ ที่คนธรรมดาจะมองเห็นได้ตามสายตา
ด้วยมันมีสภาพเป็นความสว่างไสว
รู้ได้เฉพาะตนของชนชั้น
พระอริยะเจ้าเท่านั้น
จากนั้นไปอาตมาได้พิจารณาด้วยสมาธิในศีลสิกขาบท
โดยประณีตตามสภาพของจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
ความเบื่อหน่ายก็ตามมา
เพราะมองเห็นสังขารของตนและผู้อื่นได้ชัดเจนทะลุปรุโปร่งเหมือนโครงซากศพ
ไม่มีอะไรขวางกั้นไม่ว่าเหนือใต้ใกล้ไกล
จะมองดูอะไรก็เห็นได้ทั้งนั้น
องค์ฌานที่น้อมนำความสว่างให้บังเกิดขึ้นได้นี้
ผู้ปฏิบัติต้องพิจารณาตามศีลข้อที่สามตามที่กล่าวมาแล้วแต่ข้อต้น
ให้ใช้สมาธิจิตตรวจดูตนเอง
ให้บริสุทธิ์ด้วยศีลสิกขาบท
ทั้งทางกาย
ทางวาจา
ทางใจ
ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง
ต้องพิจารณาในอาการ
32 ให้หมดจด
ให้เกิดให้มีให้เห็น
เป็นความสว่างไสวขึ้นเป็นองค์ฌาน
ด้วยการปฏิบัติของตนจนรู้แจ้งเห็นจริง
ให้ปล่อยวางจากการยึดถือหลงผิด
ห้ามมิให้ผู้ปฏิบัติถือโดยอ้างตำราปล่อยวางสิ่งที่เป็นสัญญาจำได้หมายรู้
อุปาทานอย่านึกอย่าเดาเอา
ห้ามมิให้คาดคะเนและตรึกตรองเอา
เพราะเป็นของเปล่าจากประโยชน์
จงฝึกดูให้มันเกิด
ให้มันมีจนรู้แจ้งเห็นจริง ให้คลายจากความใคร่
หายจากความกำหนัด
ยินดีอย่างแท้จริง
จึงจะถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
แล้วจะมีความสว่างในองค์ฌาน
บังเกิดขึ้นด้วยศีลบริสุทธิ์
ขาดจากกามกิเลส ตัดพยาบาทจองเวร
ตัดขาดจากโลกธรรมแปดประการฝ่ายโลกีย์ให้หมดสิ้น จนเกิดการเบื่อหน่ายคลายจากความกำหนัดย้อมใจดับตัณหาเสียได้ภพทั้ง
3 ย่อมไม่มีในอดีตกาล
ขณะที่อาตมาได้ทรงเพศเป็นชีผ้าขาว
ได้เพียรพยายามตั้งหน้าปฏิบัติมาเพื่อละ
เพื่อดับตัณหา
ตัดขาดจากสรรพกิเลสทั้งมวล
ก็บังเกิดองค์ฌานสว่างไสวพุ่งออกไปนอกกาย
สว่างขาวโพลนกว้างใหญ่มหาศาลไม่มีที่สิ้นสุด จิตใจของอาตมาเวลานั้นก็ว่างโปร่งเบาสะอาด
บริสุทธิ์เหมือนสำลีลอยอยู่กลางแจ้ง
ดวงวิญญาณได้ลอยไปตามความสว่างแล้วพุ่งขึ้นสู่บนนภากาศ
มองเห็นเป็นสภาพวิญญาณของอาตมาเอง
ลอยอยู่บนก้อนเมฆ เมื่อทำจิตเข้าสู่สมาธิเวลาใด
แม้จะทำการงานอยู่ทุกกิริยาบถก็จะมองเห็นสภาพจิตวิญญาณนั้นได้ชัดเจน
วิญญาณของอาตมานั้นเข้านั่งอยู่บนก้อนเมฆได้ประมาณ
15 วัน ด้วยขณะนั้นอาตมาได้ทำกิจอยู่ที่สำนัก
วัดบ้านโง้ง
ปราจีนบุรี
เป็นจริงตามเรื่องนี้จึงมากล่าวไว้ให้ฟัง
|
|
-
นี่แหละผู้ปฏิบัติทั้งหลาย
อาตมามิได้ยกตนข่มท่านอวดตนว่าวิเศษเพื่อต้องการลาภสักการะแต่อย่างใด
ผู้ใดอ่านแล้วจะเชื่อก็ได้
มิเชื่อก็ได้ไม่บังคับ
เพราะเป็นความรู้จำเพาะตนเห็นได้เฉพาะตนแต่ผู้ปฏิบัติจะเท็จจริงแค่ไหน
ขอให้ผู้ปฏิบัติทำจิตให้บริสุทธิ์ตามพระธรรม
พระวินัย
มุ่งหน้าเดินตามทางโลกุตรธรรม
ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ให้เป็นที่พึ่งที่อาศัยเป็นที่ระลึก
จนกลายเป็นอุปนิสัยของท่าน
โดยไม่มีวิจิกิจฉาในตนของตนแล้วไซร้
จึงขอให้ท่านฝึกหัดพิจารณาในศีลสิกขาบทให้บริสุทธิ์ตามที่อาตมากล่าวมาแล้วนี้
ทำให้เกิดให้มีขึ้น ทำให้เห็นทำให้สว่างแจ่มแจ้ง
จะเป็นได้สมจริงหรือไม่
หากสงสัยเชิญมาถามได้ที่อาตมา
ขณะนี้อยู่ที่สำนักสงฆ์วัดเขานั้นทาพาสุภาพ บ้านทุ่งยาว
ต. โพธิ์งาม
อ. ประจันตคาม
จ.
ปราจีนบุรี
|
|
-
นักปฏิบัติผู้สงสัยและสนใจทั้งหลาย
มาติดต่อสอบถามอาตมาได้ทุกขณะ
จำเพาะแต่ผู้หวังจะยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์เท่านั้น
ผู้ใดที่ต้องการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในไตรภพไม่ต้องมาก็ได้
เพราะคำสั่งสอนท่านวางไว้มีถมไป
|
|