-
หลักปฏิบัติเป็นมูล
|
|
-
หลักปฏิบัติเป็นมูลคือ
ทาน-ศีล-ภาวนา
เป็นมูลเป็นสายทางนำให้ผู้ปฏิบัติเข้าสู่ความชุ่มชื้นแห่งอริยทรัพย์
เป็นที่พึ่งของผู้ปฏิบัติแห่งบุญทั้งปวงตามพระพุทธเจ้าที่สรรเสริญมีมาทุก
ๆ พระองค์ด้วย
มูลหมายถึงเป็นสิ่งก่อเกิดนี้อย่าง
1
มูลเป็นเหตุตกแต่งให้เป็นไปตามเหตุและผลนี้อย่าง
1
เมื่อย่นย่อลงก็คือผู้กระทำดีจะได้รับผลดีเป็นคนสวยงามนั้นเอง
ผู้กระทำชั่วจะได้รับผลชั่วเป็นคนขี้เหร่ไม่สวยไม่งามเต็มไปด้วยความทุกข์ความเศร้าในจิตใจ
เพราะไม่สมความปรารถนา
เพราะเป็นไปตามมูล
ของตนที่การกระทำนั้นเอง
มูลที่จะก่อเกิดขึ้นให้เป็นไปตามธรรมเหล่านั้นก็คือการกระทำทางกาย
ทางวาจา ทางใจ
ของตนเป็นผลให้ติดตามตนไปในการกระทำนั้นเอง
ธรรมเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะความโลภ
ความโกรธ
ความหลงของตนเองจะเกิดขึ้นได้ทั้งภายนอกและภายใน
โดยการกระทำและนึกคิดนั้นเอง
(ย่นย่อลงก็ได้แก่การกระทำของตนนั่นเอง)
|
|
-
ต่อไปนี้จงตั้งใจปฏิบัติจิตให้เป็นมูลที่ดีสืบ
ๆต่อไปเถิดจะเกิดผลดีขึ้นแก่ตนเอง
ใจให้ความเป็นอยู่แก่สังขารร่างกายที่เป็นอยู่เท่านั้น
ไม่นานนักไม่ช้าไม่นานกายสังขารเขาก็จะอันตรายแตกดับหายไปด้วยลมไฟเท่านั้นเอง
สังขารร่างกายที่เกิดอยู่ในขณะนี้มูลเก่าที่เรากระทำไว้แล้วนั้นแหละมาปรุงขึ้นให้แก่สังขาร
กายเวทนาตามการกระทำ
ของท่านนั้นเองมาปรุงให้เป็นรูปทัศนะผิวพรรณดีบ้าง-ชั่วบ้าง
เราไม่ควรไปดีใจเสียใจ
เพราะมูลการกระทำของตนที่ทำไว้แล้วนั้นจะมาปรุงให้ท่านเองเป็นไปตามธรรมเหล่านั้น
จนบ้างทุกข์บ้างสวยบ้างวุ่นวายบ้างมียศบ้างไม่มียศบ้าง
เพราะมูลเก่าที่ตนได้กระทำไว้นั่นเองมาปรุงให้ท่านเป็นไปตามการกระทำของตน
เมื่อสังขารตายแตกดับปราศจากลมไฟไปแล้ว
มูลนั้นมิได้ดับสูญไปดั่งสังขารก็หาได้ไม่
มูลที่การกระทำของตนนั้นก็จะนำไปปรุงชาติต่อ
ๆไปอีกเราจะหลีกมูลที่เรากระทำไว้แล้วนั้นย่อมไม่ได้
มูลมีอยู่ 4
ทางกันคือ
|
|
-
มูลมาปรุงในโลกมนุษย์เรานี้อย่าง
1
|
|
-
มูลที่นำไปให้ตกนรกนี้อย่าง
1
|
|
-
มูลที่นำไปให้สูสวรรค์และพรหมนี้อย่าง
1
|
|
-
มูลที่นำเข้าสู่พระปรินิพพานนี้อย่าง
1
|
|
-
มูลคือพื้นฐานรองรับนั้นเอง
มูลมาปรุงจิตใจเราให้นึกคิดไปต่าง
ๆ
เราก็เห็นดียินดีไปตามมูลนั้นๆ
มูลดีก็ดีไป
มูลชั่วก็ชั่วไป
เราก็เห็นดียินดีไปตามมูลแห่งกฎกรรมของตนกระทำนั่นเอง
บางท่านมูลหนักก็เดินไปตามความหายนะ
มูลนั้นเป็นสิ่งนำพาจิตใจว่าบุญไม่มีบาปไม่มีนั้นเอง
ท่านเรียกว่ามูลหนักชักชวนให้บุคคลผู้โง่เขลาเดินไปตามตนด้วย
มูลหนักปรุงขึ้นให้เห็นผิดเป็นชอบถือว่าตายแล้วก็สูญไปเท่านั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่
เช่นนี้แหละท่านเรียกว่าหายนะพระเรียกว่าสันดาน
ท่านเหล่านี้เป็นผู้ไม่รู้มูลของกุศลและอกุศล
ท่านเหล่านี้กระทำได้กระทั่งบิดามารดาของตนนะท่าน
หมู่ท่านเหล่านี้ถูกแผ่นดินแยกแผ่นดิบสูบมาหลายชาติแล้ว
แผ่นดินหนาได้สองแสนสี่หมื่นห้าร้อยโยชน์ก็ยังทนอยู่มิได้ต้องถล่มลงไปสู่อเวจีมหานรก
เพราะอะไรเพราะมันหนักแผ่นดินนั่นเอง
ให้ได้พิสูจน์ไตร่ตรองกันดูบ้างโดยพิจารณาในความเป็นจริง
มูลที่หนักนี้พระพุทธเจ้าโปรดมิได้แม้แต่พระองค์เดียวมีแต่ตนของตน
ให้กระทำมูลหนักนั้นเป็นมูลเบาเท่านั้นเอง
เพราะว่าไม่มีผู้จะช่วยท่านได้เพราะตนทำตนเอง
นะท่านชาย-หญิง
เพราะท่านอยู่ในมูลมิคสัญญีมาบังเกิดในโลกมนุษย์ก็มาก่อจลาจลมา
กระทำให้ท่านผู้ก่อสร้างบุญกุศลบารมีให้แตกสามัคคีระส่ำระส่ายกันไปทั้งหมด
เพราะพวกหมู่มาสร้างกรรมหนักนั่นเองท่านเรียกว่ามูลหนักเพราะมูล
นั้นมาปรุงจิตใจของหมู่ท่านเหล่านั้นนะท่าน
ถ้าท่านเหล่าใดมีความน้อมนึกคิดได้อยู่รู้ว่ามูลที่เรานึกคิดอยู่ในขณะนี้เป็นมูลดีหรือมูลชั่ว
เราก็สมควรปรับปรุงจิตใจของเราให้ออกจากมูลที่ชั่วนั้นเสีย
เราน้อมนึกคิดด้วยสติให้จิตใจเราเข้าสู่มูลที่ดีต่อ
ๆไปที่ปีติความเอิบอิ่มเลื่อมใสในศรัทธาบารมีทางมูลที่เป็นบุญเป็น
กุศลได้อยู่ไม่เหลือวิสัยดอกท่านชาย-หญิง
มูลทั้งสองนี้เป็นของเราเองมิใช่ท่านเหล่าใดจะมาทำให้เราได้ย่อมไม่มี
อาตมาภาพจำแนกมูลกุศลและอกุศลที่เป็นสิ่งนำปรุงแต่งจิตใจของผู้กระทำมูลนั้น
ๆ
ไว้แล้วมาแต่หนหลัง
มูลนั้นก็ได้ติดตามตนผู้กระทำมูลไว้แล้วนั่นเอง
เพื่อจะให้ผู้ปฏิบัติชาย-หญิง
และนักบวชทั้งหลายให้ได้ตรวจดูมูลที่มันปรุงจิตใจเราอยู่ขณะนี้ว่ามันเนื่องมาจากอะไร
เป็นมูลเก่าหรือมูลใหม่เราให้รู้ให้เท่าทันในมูลเหล่านั้น
เราจะได้แก้ไขให้ได้ทันท่วงที
ที่เรายังมีสังขารอยู่ในโลกมนุษย์นี้
มูลที่ชั่วร้ายนั้นเราก็จะแก้ได้อยู่ไม่เหลือวิสัยดอกท่าน
แต่เรากระทำมูลให้เกิดให้มีขึ้นก็ยังกระทำกันได้
เราจะเลิกละปราศจากมูลที่ชั่วนั้นจะไม่ได้หรือ
ให้พิจารณาดังนี้
มูลที่ชั่วร้ายนั้นมันมาบังเกิดปรุงจิตใจของเราให้เกิดเร่าร้อนเศร้าหมอง
กลุ้มจิตกลุ้มใจเศร้าโสกาอุปายาสรำพึงไม่ขาดระยะ
เพราะมูลที่เรากระทำไว้แล้วนั่นเองนำมาปรุงให้จิตใจเราระส่ำระส่ายอยู่ตลอดเวลา
ขอให้หมู่เราท่านรู้เท่าทันในมูลการกระทำของตนบ้าง
พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก
ๆพระองค์ตลอดถึงสาวกเราท่านชาย-หญิงทุกวันนี้ก็ต้องการจะเลิกละจากมูลที่ชั่วร้ายนี้ไม่ใช่หรือ
ให้พิจารณาในตนให้มันเกิดในสิ่งประกอบเป็นทุกข์แห่งมูลที่ชั่วร้ายต่อ
ๆ ไป
เราเป็นผู้ปฏิบัติเข้าสู่นักบวชเพื่อจะแก้มูลชั่วร้ายให้มันสิ้นไปหมดไป
ให้ขาดจากสันดานตนของตนต่อ
ๆ ไปดังนี้
อย่าเป็นผู้หลงไปตามมูลชั่วร้ายโดยปราศจากพระธรรมพระวินัยไป
โดยบ่นว่ากลุ้มจิตกลุ้มใจหาว่าเราไม่มีบุญไม่มีบารมีดังนี้
ขี้เซาจนวันตายความนึกคิดเช่นนี้ร้ายนักนะท่าน
ให้ผ่อนเบาความนึกคิดกันอย่างนี้บ้าง
อย่านึกเห็นช้างใหญ่ไพศาลเป็นตัวเล็ก
อย่าเห็นพระว่ากล้วยบวชชี
จิตใจ
ชนิดนี้ผีเข้าผีออกนะท่าน
อย่าหว่านพืชหาผลนะท่าน
เรามิใช่จะเกิดเป็นมนุษย์อยู่เสมอ
ๆ ก็หาได้ไม่
คือกุศลมูล
อกุศลมูลของท่านที่ได้กระทำไว้มูลดีหรือชั่วกันเล่า
เมื่อสังขารละจากเราไปแล้วมูลที่เรากระทำไว้นั้นจะมารับเอาตัวท่านแห่งจิตวิญญาณ
ของท่านไปทันทีนะท่าน
เราก็ต้องไปตามมูลนั้น
ตามยถากรรมที่เรานึกคิดกระทำไว้นั่นเอง
|
|
-
ผู้แสวงหาความสุขสมควรพิจารณาในธรรมเหล่านี้ให้มันรู้แจ้งชัดเจนเสียก่อน
เราถึงประพฤติปฏิบัติตามธรรมต่อ
ๆไป
ธรรมมีสองเหล่าด้วยกันนะท่าน
ธรรมเหล่า 1
เป็นธรรมประกอบทุกข์นะท่าน
ธรรมอีกเหล่า 1
เป็นทางประกอบสุขนะท่าน
จงพิจารณาให้มันรู้ให้มันชัดว่าอะไรเป็นอะไร
อย่าเอาไฟโลภะ
ไฟโทสะ ไฟโมหะ
มาเผาตนของตนเองมันไม่ดี
ไฟเหล่านี้มันติดตามเราท่านอยู่เสมอ
ๆ นะท่าน
เราจงพิจารณาหลีกสายทางไฟเหล่านี้กันให้ได้เสียบ้างก็จะเป็นทางดี
(เรียกสั้น
ๆว่ากรรมนั่นเอง)
|
|