ธรรมปฏิบัติให้แจ้งชัด

 

               ตามหลักปฏิบัติมีมาทุกท่านต้องรู้ในธรรมสามประการนี้ให้ชัดเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไร ตามหลักผู้ปฏิบัติมีมาว่า ผู้ปฏิบัติธรรมให้พิจารณาดู เปรียบได้เหมือนก้อนเมฆปิดปกดวงจันทร์ไว้สามชั้น ท่านกล่าวเป็น ความรู้จำเพาะตนถ้าผู้ปฏิบัติไม่มีหลักจะหาความรู้แจ้งได้ช้า หรือไม่รู้ทางปฏิบัติไปได้เสียเลยก็เป็นได้ เพราะไม่รู้  จะหยิบยกเอา อะไรมาพิจารณาให้รู้แจ้งไปได้ ก็เมฆนั้นมันคืออะไร ถ้าไม่รู้จะแหวกก้อนเมฆออกจากดวงจันทร์ได้อย่างไร ถ้ารู้แล้วก็จะได้พิจารณาตาม หลักตามทางนั้น ๆ ได้โดยเร็ว เป็นหลักให้พิจารณาตามลำดับชั้นมีอยู่สามประการมีดั่งต่อไปนี้

 

               ข้อ 1. หรือเรียกว่าชั้นที่ 1 คือ ธาตุ

 

               ข้อ 2. หรือเรียกว่าชั้นที่ 2 คือ เบญจขันธ์

 

               ข้อ 3. หรือเรียกว่าชั้นที่ 3 คือ จิต เจตสิก     

 

               ที่มันปิดดวงจันทร์ ไว้ไม่ให้มนุษย์และเทวดาอินทร์พรหม มองเห็นสัจธรรมของพระพุทธองค์ได้ง่ายนะท่าน อาตมารู้มาจากพระธรรม ที่ท่านน้อมนำให้เกิดปัญญา เป็นคำสอนของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหลักของผู้ปฏิบัติชาย-หญิงทั่ว ๆ ไปให้แจ้งแห่งธรรมทั้งปวงแห่ง พุทธบัญญัติ เป็นสายทางรู้แจ้งแห่งปัญญาได้ทุก ๆ ท่านโดยผู้ไม่เกียจคร้าน เพราะตนไปต่อสู้เอาแพ้เอาชนะแก่หมู่มารทั้งหลายอยู่นั่นเอง ถึงกลายเป็นผู้เกียจคร้านอยู่ เสมอ ๆ ไป เพราะยังไม่รู้เท่าทันสังขารตนและผู้อื่นนั่นเอง ถึงได้ตั้งหลักธรรมไว้สามประการเพื่อให้ผู้ปฏิบัติชาย-หญิง ได้พิจารณาตามหลักแต่ละชั้น แต่ละตอนจนให้แน่ชัดหลับตามองเห็น ในสภาพนั้น ๆ โดยสมาธิ จนให้เกิดสติเป็นอันมั่นคงเสียก่อน จนให้เกิดสัมปชัญญะที่รู้ตนว่าอะไรเป็นอะไรให้รู้ได้เป็นชัดเจนด้วยสติที่น้อมนึกได้ ให้มั่นคงทรงตัว อยู่ได้เป็นหลักด้วยสัมปชัญญะ ความรู้ตัวเป็นหลักที่ตั้ง ไม่ให้เอนเอียงหวั่นไหวต่ออารมณ์ต่าง ๆ จนให้รู้ว่าตนของตนเป็นที่พึ่งของตนโดยแท้จริงเสีย ก่อน จนรู้สึกขึ้นว่าเป็นจริงถึงพิจารณาด้วยตนจนสว่างน้อมนึกได้ ถึงไตร่ตรองพิจารณาให้ติดต่อกันไปอยู่เสมอ ๆ จนเกิดปัญญา อันเป็นธรรมรู้แจ้งแห่งธาตุทั้งปวงในตนและผู้อื่นได้อย่างชัดเจนด้วยปัญญา ปัญญาคือแสงสว่างแห่งสภาวธรรมที่เรามีสมาธิอยู่คง ที่นั้นเอง เพราะสมาธิจะตั้งอยู่ได้ให้ถาวร ก็เพราะเราตั้งฐานรับรองไว้ให้แน่นหนานั้นเอง ฐานนั้นคือสติ 1 สัมปชัญญะ 1 เป็นฐานของสมาธิที่จะ มั่นคงถาวร ถ้าขาดจากสติสัมปชัญญะไปแล้วจิตใจจะเป็นสมาธิอย่างนั้นหาได้ไม่ กลายเป็นมิจฉาสมาธิ ไปหาความแน่นอนมิได้ จิตใจก็เฉไฉ ไปทั้งหมด หาหลักมิได้กลายเป็นผู้หลงทางไป จะห่างจากศีล – สมาธิ –ปัญญา ไปไกลอย่างแน่นอนฯ

 

               ต่อไปนี้จะได้จำแนกรูปธาตุให้ผู้ปฏิบัติได้พิจารณาในหลักสมาธิกรรมฐาน ให้เกิดปัญญาแสงสว่างรู้รูปและนาม เป็นที่แจ้งชัดต่อไปตาม หลักเมื่อเราวางหลักสมาธิได้แน่นอนที่กล่าวมาแล้วนั้น ให้พิจารณารูปของมนุษย์และสัตว์ต่อ ๆ ไป รูปนี้เราให้พิจารณาแยกออกเป็นส่วน ๆ แต่เพียง 2 ธาตุคือ ธาตุน้ำมี 12 อย่าง ธาตุดินมี 20 อย่าง รวมกัน  2 ธาตุนี้มีอยู่ 32 อย่าง ตั้งแต่ ผม – ขน – เล็บ –ฟัน – หนัง ที่เป็นส่วนห่อหุ้มไว้ให้เป็นรูป มนุษย์และสัตว์อยู่ทุก ๆ วันนี้ เราต้องแยกธาตุน้ำ 12 ออกดู แยกธาตุดิน 20 ออกดูให้มันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จนให้รู้ซึ้งถึงธาตุจนให้รู้ในธาตุว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยงเป็นน่าบีฑา จนให้เกิดความเบื่อหน่าย วางจากความกำหนัดเสียได้อย่างชัดเจน เราต้องใช้ความเพียรพยายาม พร้อมด้วยขันติอดทนในความพิจารณาธาตุทั้งสองนี้จนให้ละเอียดเป็นชิ้นเป็นส่วน จนให้รู้ว่าธาตุเหล่านี้ได้รวมกัน อยู่เป็นรูปเท่านั้นมิใช่ตัวตนบุคคลเราเขาแต่ประการใด นับวันแต่จะเกิดอันตราย แตกกระจัดกระจายเปื่อยพังออกจากกันไปท้ายที่สุด จนให้เกิดความเพิกถอนจิตเรา ให้ออกจากธาตุทั้งสองนี้ให้ได้เสียก่อน จนให้เกิดความสว่างแก่จิตของเราให้เห็นชัดเจน พอความสว่างเกิดขึ้นแก่จิตเราแล้วเราก็จะมองเห็นธาตุไฟ-ธาตุลม ยังมีอยู่อีกธาตุคือธาตุไฟมีอยู่ 4 อย่าง ธาตุลมมีอยู่ 6 อย่าง แต่ละจำพวกหมุนเวียนสลับกันไปมา อยู่ในรูปธาตุที่หนังห่อหุ้มอยู่ในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ที่เป็น ๆอยู่ ธาตุอาการ 32 นี้ต้องอาศัยธาตุไฟ-ธาตุลมอยู่ ถ้าธาตุไฟธาตุลมสิ้นหายไป ส่วนที่เป็นธาตุน้ำธาตุดินก็จะเปื่อยเน่าเหม็นไป ละลายกลายเป็นดินไปสิ้นหาย จากรูปนามของธาตุไปทั้งหมด เราจะต้องพิจารณาให้ซึ้ง ให้ยกจิตเราออก ให้พิจารณาต่อ ๆไป จิตจะได้เกิดเห็นอากาศธาตุ – วิญญาณธาตุ ต่อ ๆไปอีกในความสว่างของจิตนั้น ๆ จงใช้จิตพิจารณาให้รู้และให้แจ้งในธาตุต่อ ๆไปคือ ธาตุไฟ – ธาตุลม – อากาศธาตุ – วิญญาณธาตุ ธาตุ 4 อย่างนี้เป็นธาตุในความเป็นอยู่ของมนุษย์และสัตว์ทุกชนิด ต้นไม้ใบหญ้าทุกชนิดที่มีความเป็นอยู่ก็ต้องอาศัยธาตุเหล่านี้ เครื่องยนต์ทุก ชนิดมนุษย์ที่มีปัญญาสามารถประกอบขึ้นได้ด้วยวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ให้เกิดรูปเกิดเสียงขึ้นได้นั้น ผู้ปฏิบัติจิตด้วยสมาธิกรรมฐานวิปัสสนาพิจารณาญาณให้สว่างให้รู้ด้วยสติน้อมนึกได้ว่า อะไรเป็นอะไรอย่างชัดเจนในสังขารกายเวทนา ของเรานี้ ให้มันรู้แจ้งชัดเจนด้วยธาตุทุก ๆธาตุดังที่กล่าวมาให้เป็นสัดส่วนแต่ละหน้าที่แต่ละพลังในกระแสนั้น ๆ ด้วยในสภาวธรรม ด้วยผู้ปฏิบัติเข้าถึงธาตุที่กล่าวนี้สามารถมองเห็นสภาวะนั้นได้ ดีหรือชั่วจะมองเห็นด้วยจิตของตนได้ทุก ๆ ท่านโดยผู้ปฏิบัติจะมองทัศนะ ของธาตุไฟ – ธาตุลม – อากาศธาตุ – วิญญาณธาตุ โดยปกติหรือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง สังเกตสายสีของธาตุจะมีสีต่าง ๆ กัน จะรู้ในสายสีนั้นๆ สำหรับผู้ปฏิบัติจิตเข้าถึงธาตุทั้งหลายเหล่านี้แล้วจะมองเห็นด้วยตนเองเพราะจิตเราทุก ๆท่านเป็นไฟแสงสว่างอยู่แล้วก็ จะฉายดูได้ทุก ๆเมื่อเวลาต้องการ เพราะจิตเราฝึกแล้วหรือล้างด้วยศีล – สมาธิ – ปัญญา สะอาดแล้วจะมีแสงสว่างมองเห็นทุกขสัจจ์ความหมาย ของโลกและจะรู้แจ้งในทุกขสัจจ์ ความเกิดเป็นทุกข์  ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ มองเห็นความทุกข์ที่จะมาถึง สังขารตนได้อย่างชัดเจน ก็จะใช้ความเพียรพยายามหาทางออกจากกองทุกข์นี้ให้ได้อย่างเด็ดขาด จะช้าหรือเร็วนั้นตามแต่จิตของ ผู้ปฏิบัติจะข้ามโอฆะสงสารเมื่อไรก็ตามแต่ผู้ปฏิบัติจิตของตนเอง จะช้าหรือเร็วตามแต่ผู้ปฎิบัติเองเพราะรู้ซึ้งถึงทุกข์ได้อย่างชัดเจนแล้ว จะมัวเมาอยู่ก็ตามแต่จิตของผู้ปฏิบัติท่านนั้นเอง  มีเหตุมีผลอยู่ท่านก็คงรู้ได้ทุก ๆท่านพุทธบัญญัติหมายทางให้ผู้ปฏิบัติสมบูรณ์แล้วดังนี้

 

               ธาตุที่กล่าวมาแล้วนี้รวมอยู่ด้วยกันส่วนหนึ่งคือรูปนอกรูปสังขารกายเวทนา ของมนุษย์และสัตว์รูปร่างชาย-หญิงอย่างเราท่านอาศัย อยู่กันทุก ๆวันนี้เอง ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงจงพิจารณาให้รู้ประจักษ์ขึ้นแก่จิตใจของตนเองในธาตุ 6 นี้ จะใกล้ก็ตามจะไกลก็ตาม ละเอียดก็ ตามประณีตก็ตามเหลวก็ตาม ให้น้อมนึกรู้ในธาตุแต่ละส่วนให้เห็นแก่จิตใจของเราด้วยจิตสว่างให้รู้ได้ในธาตุนั้น มันดีหรือชั่วในแต่ละธาตุ ถ้าผู้ปฏิบัติสว่างแล้วจะเช็คดูได้ทุก ๆ ธาตุที่มีในตนและผู้อื่นโดยรูปธาตุที่เราอาศัยกันทุก ๆวันนี้ โรคที่จะเกิดแทรกขึ้นในธาตุนั้น เราก็จะรู้ได้ชัดเจน ว่าเป็นอย่างไรในอาการ 32 ร่างกายของมนุษย์และสัตว์  ถึงได้มีเวทนาของธาตุนั้นๆ เราให้รู้ให้เห็นธาตุเหล่านี้เสียก่อน เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ก็มีแก้ไข ไม่ได้ก็มี ที่สงเคราะห์กันได้ก็มีที่สงเคราะห์กันไม่ได้ก็มี ผู้ปฏิบัติต้องสว่างแห่งจิตตนของตนเสียก่อนถึงจะรู้ได้ ในธรรมเหล่านี้ ธาตุที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นรูปธาตุที่เราอาศัยกันอยู่ในโลกกามภพมนุษย์เท่านั้น ต่อ ๆ ไป ธาตุเหล่านี้ก็จะอันตรายแตกดับสูญ ไปตามรูปและนาม ก็จะพลัดพรากจากกันไปคนละทิศละทางสูญไปท้ายที่สุดไม่มีอะไรเหลืออยู่ ธาตุที่กล่าวมานี้มิใช่ตัวตนบุคคลเราเขานะท่าน เป็นแต่เพียงรูปนอก เท่านั้น ยังมีรูปในต่อ ๆ ไปอีกผู้ปฏิบัติทั้งหลายรู้ก็ดีเห็นก็ดีได้ยินได้ฟังจำได้ก็ดีเป็นแต่เพียงลูบ ๆ คลำ ๆอยู่ เท่านั้น แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะจิตของตนยังไม่ได้ปฏิบัติให้เกิดแสงสว่างส่องเห็นได้ ก็จะลูบคลำอยู่ก็จะใช้สัญญาเป็นเครื่องจำได้ไปนึก เอาเดาเอาคาดคะเนเอาตามอาการนั้น ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะว่าพูดไปตามสัญญาณอุปาทานเท่านั้นเอง จะรู้ชัดอย่างผู้ปฏิบัติจิตสว่าง แล้วอย่างนั้นก็หาได้ไม่ การจำแนกรูปธาตุนี้เป็น ประโยชน์ในโลกและในธรรม ผู้ปฏิบัติสมควรรู้แจ้งในธรรมเหล่านี้ด้วย เพราะมันเป็น ธรรมกึ่งโลกกึ่งธรรมอยู่ เป็นสายทางของจิตผู้ปฏิบัติ ในสมาธิกรรมฐาน สมถวิปัสสนาตามพุทธเจ้าบัญญัติสำหรับผู้มีกรรมมาก ให้ประพฤติปฏิบัติไปตามธรรมเหล่านี้ ให้ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรจะได้เลิกจากกรรมไปเสียได้ จะได้ไม่มัวเมาอยู่โดยถือโดยอ้าง ตำนานในลานเปล่า ๆ ก็จะได้รู้ความหมายของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กันเสียบ้างผู้ปฏิบัติรู้ซึ้งแจ้งในธาตุรูปนอกนี้ก็จะ ปล่อยวางความโลภ – ความโกรธ – ความหลง ของตนลงไปได้อย่างน้อยก็จะลดลงได้ครึ่งหนึ่ง   เพราะรู้วัตถุของนอกกายตนและผู้อื่นที่ติดอยู่ได้ดีมาก และอารมณ์ต่าง ๆก็เป็นอกุศลก็จะเบาบางหายไปท้ายที่สุด เพราะว่ารูปนอกมิใช่ตัวตน บุคคลเราเขานั้นเอง เพราะว่าตัดเสบียงพลังของตัณหาให้ขาดตอนลงไปได้ตามลำดับไป รู้แจ้งว่าเป็นสมบัติของแดนดินด้วยกันทั้งนั้น  ผู้ปฏิบัติรู้แจ้งในธรรมเหล่านี้ด้วย ต่อไปให้พิจารณารูปในต่อ ๆไปอีกคือ รูปเบญจขันธ์ของมนุษย์และสัตว์ สมควรพิจารณารูปขันธ์ – เวทนาขันธ์ – สัญญาขันธ์ –สังขารขันธ์- วิญญาณขันธ์ 5 อย่างนี้รวมกันอยู่เป็นรูปขันธ์ ขันธ์ทั้ง 5 นี้มิใช่ธาตุเป็นสภาวธรรมเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ รู้สึกได้ รูปธาตุก็ดี – รูปขันธ์ก็ดีของมนุษย์และสัตว์นี้มีวิญญาณ ประจำรูปอยู่ทุก ๆรูป เพราะว่าวิญญาณเป็นสิ่งที่รู้ รูปธาตุก็คือรูปสังขารร่างกายของท่านชาย-หญิง เราท่านนี้เอง คือธาตุ 6 นั้นเองมีวิญญาณสะธาตุรวมอยู่ด้วยถึงได้มีความรู้สึกอยู่ เมื่อถึงเวลาสัมผัสถูกต้องในอารมณ์นั้น ๆ แต่ไม่รู้ความนึกคิดสัมพันธ์ไปได้เป็นไปแต่เพียงให้กำเนิดเชื้อสายของธาตุเท่านั้น ส่วนรูปขันธ์นั้นมีวิญญาณขันธ์อยู่ด้วย ขันธ์ทั้ง 5 นี้ถึงได้รู้สึกนึกคิด  ในอารมณ์ดีและชั่ว รู้รสดีหรือชั่วได้ สิ่งดีสิ่งมีราคาปะปนกันอยู่ในความโลภ – โกรธ – หลง หมู่ตัณหานั้น ๆ คือวิญญาณของเบญจขันธ์รูป ในนั้นเองได้รู้ทุกสิ่งนานาประการประมาณมิได้ แต่ไม่รู้จะออกจากทางตัณหาอาสวะโลภ – โกรธ – หลง ไปได้แต่ประการใด รู้แต่ความอยากได้ อยากดี อยากมี ความอยากของเบญจขันธ์นี้มีออกมากมายแม้แต่สังขารตายไปแล้ว ก็ยังมีอยากอยู่อีกไม่สิ้นสุดอยากวนเวียนว่ายเกิดตายต่อ ๆ ไปอีกก็เพราะไม่รู้ทางที่จะออกจากตัณหาอาสวะไปได้นั้นเอง รู้แต่สัญญาอุปาทานในหมู่รูปขันธ์เท่านั้น เพราะว่ายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นเบญจขันธ์ อะไรเป็นตัณหา อาสวะโลภ –โกรธ-หลง นั้นเองเพราะตนของตนประพฤติปฏิบัติจิตตนของตนยังไม่เข้าถึงองค์สมาธิปัญญานั้นเอง ถึงไม่รู้เท่าทันสังขารธาตุและรูปธาตุ  เพราะรูปธาตุนี้เปรียบได้เหมือนก้อนเมฆปิดบังดวงจันทร์ไว้อยู่  ถ้าผู้ปฏิบัติเปิดก้อนเมฆออกได้แล้ว ถึงจะเห็นเบญจขันธ์รูปในได้  รูปในนั้นคือรูปเบญจขันธ์  เราให้มีความน้อมนึกได้ให้พิจารณาตาม  รูปขันธ์นั้น ๆ  เมื่อเราจะเข้าถึงรูป เบญจขันธ์ได้นั้นก็ยังมีก้อน เมฆอยู่อีกอย่างหนาแน่น  จะมองเห็นรูปเบญจขันธ์ได้ยากที่สุดเพราะว่าสภาวะตัณหา – วิภาวะตัณหา ปิดบังไว้ไม่ให้เห็นรูปเบญจขันธ์ ไปได้ง่าย ๆต่อไปนี้ขอให้ผู้ปฏิบัติให้สว่างปราศจากนิวรณ์ธรรม  5  ประการนี้  ให้ออกเป็นพัก ๆ ก็ยังดีตอนเราทำจิตสมาธิอยู่เราจะ มองเห็นสภาวะของตัณหาได้  เราจะรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร  เป็นแต่รู้ว่ารูปสภาวะตัณหาเป็นอันมืดมัวมนอยู่มาก เราต้องมีขันติอดทนวิริยะความเพียรให้มากที่สุด  เพื่อจะเบิกสภาวะตัณหาออกให้ได้เป็นเด็ดขาด  เราจะเข้าให้ถึง เบญจขันธ์ให้ได้เป็นเด็ดขาด เราพิจารณารูปร่างทัศนะของกามตัณหาสภาวะ  -วิภาวะตัณหา และให้พิจารณาพญามารที่มันจะเกิดขึ้น เป็นรูปสภาวะจะมาผลักดันจิตของเราให้เกิดเป็นความฟุ้งซ่านรำคาญใจจะกระทำจิต ให้เรายินดียินร้ายไปต่าง ๆนานา  คอยปิดบังจิตเราไว้ไม่ให้รู้ มีแต่ความมืดมัวเมาอยู่เพราะไม่รู้ไม่เห็นในสภาวะนั้น ๆ  ก็เลยไปถือตามอาการนั้น ๆ ว่านานาจิตใจ  มันก็เป็นไปตามธรรมชาติธรรมดาของจิตใจนั้นเอง  เราให้พิจารณาความเสื่อมของ ธรรมชาติธรรมดานั้นบ้าง โดยรูปสภาวธรรมเหล่านั้นด้วย เราจึงรู้แจ้งสว่างแห่งจิตเราถึงจะรู้ที่ติดที่ผูกที่พันรัดจิตใจเราไว้ในขณะนี้ มันคือธรรมเหล่าใดเราจะรู้เราจะเห็นในรูปในนั้น  พอเราสว่างเห็นแล้วรู้แล้วเราจะหลบหลีกออกได้เป็นพัก ๆ  เข้าสู่เบญจขันธ์ได้ว่าอะไรเป็นอะไร เราก็จะรู้ได้ในเหตุและผลในสภาวะนั้น ๆ ต่อ ๆ ไป เราจะทำลายสภาวะนั้นเสียก็ได้เพราะเรารู้แล้วเห็นแล้ว  ที่เป็นประโยชน์ด้วยบุญบารมี  มีสิ่งสภาวะอะไรบ้าง เราก็จะอาศัยสภาวธรรมเหล่านั้นเป็นพัก ๆ เป็นตอน ๆไป  เพื่อบำเพ็ญบารมีตามสายทางโพธิสัตว์โพธิญาณ เพื่อชี้ทางให้แก่หมู่สัตว์ทั้งปวงให้รู้บุญและบาปตราบเท่าเข้าสู่ปรินิพพานต่อๆ  ไปได้ เพราะอาศัยมูลสภาวะนั้น ๆ อยู่เป็นสิ่งมีเหตุมีผลเพราะสภาวะตัณหา กับเบญจขันธ์นี้เป็นสิ่งที่ต้องท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะภพทั้งสามนี้อยู่จิตเราท่านต้องอาศัยธรรมเหล่านี้อยู่ แต่ให้รู้เหตุและผลเราจะรู้ได้ก็เพราะเราปฏิบัติจิตเราให้สว่างรู้สายทางได้อย่างชัดเจนนั้นเอง เพราะสภาวะตัณหานี้เป็นสภาพผู้ปฏิบัติชาย – หญิง  สามารถมองเห็นได้อย่างอัศจรรย์ โดยผู้ปฏิบัติเองจะบอกให้ผู้อื่นรู้ตามอาการนั้นๆเป็นไปไม่ได้  เว้นแต่ผู้ปฏิบัติจิตไปตามศีล  -สมาธิ  - ปัญญา  พิจารณาตามกรรมฐาน  5 ถึงจะรู้ธาตุขันธ์รูปและนามโดยสภาวะรูปนั้นไปได้  พอเรามองเห็นรูปสภาวะตัณหานั้นได้แล้วเราก็ใช้ปัญญา ของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านี้พิจารณาแหวกเปิดทางออก  ใช้ปัญญายกจิตตัวเราออกเข้าสู่รูปเบญจขันธ์ต่อ ๆ ไป จนให้รู้ในรูปเบญจขันธ์  เป็นสภาวธรรมอย่างไร  มีรูปมีเสียงสัมพันธ์กับรูปธาตุได้อย่างไร  ผู้ปฏิบัติถึงจะรู้ว่า   เบญจขันธ์กับสภาวะตัณหาโลภ – โกรธ – หลงเหล่านี้มันเป็นคนละส่วน  มันเป็นคนละสภาวะ  มีทัศนะรูปต่าง ๆ กัน ผู้ประพฤติปฏิบัติจะรู้ชัดเจนด้วยจิตของตนเองเพราะจิตตัวเราท่านนี้มีรูปอยู่เหมือนกัน โดยสภาวธรรม ท่านเรียกว่ารูปในรูป ก็คือรูปจิตเราท่านนั้นเอง รูปจิตนี้เป็นตัวเราเขาเป็นสิ่งสืบเนื่องกันได้กับรูปเบญจขันธ์และรูปธาตุ แต่มันเป็นคนละส่วนแต่มันสงเคราะห์ กันได้ในการปฏิสนธิเกิด รูปธาตุ รูปสภาวะตัณหาดับ รูปเบญจขันธ์ดับ รูปจิตไม่ดับ เพราะว่ารูปจิตเป็นสังฆตธรรมเป็นธรรมอันไม่ตาย เข้าสู่พระปรินิพพานได้ไม่ต้องสงสัยในธรรมเหล่านี้สำหรับผู้มีปัญญา บังเกิดแล้วให้พิจารณาเท่านี้ก็พอ ผู้ยังไม่มีปัญญาบังเกิดเป็นผู้โง่เขลาอยู่ก็ให้ประพฤติปฎิบัติจิตตนของตนให้พิจารณาต่อ ๆ ไปอีกเพราะรูปเบญจขันธ์กับตัณหาเป็นคนละส่วน ไม่ใช่อย่างเดียวกัน เป็นคนละส่วนๆ ตัณหา-โลภ-โกรธ-หลง นั้นเป็นสภาวะรูป ให้เกิดความทะเยอทะยานอยากไปตามสภาวะนั้นๆ ส่วนเบญจขันธ์นี้มีรูปเป็นต้นคือ รูป 1 เวทนา 1 สัญญา 1 สังขาร 1 วิญญาณ 1 ห้าอย่างนี้รวมกันอยู่ในรูปอันเดียวกันถึงเรียกว่ารูปเบญจขันธ์ เมื่อผู้ปฏิบัติละเว้นปล่อยวางปลดเปลื้องตัณหาโลภ โกรธ หลง อาสวะสภาวะรูปของหมู่อาสวะไปได้แล้ว คงเหลืออยู่แต่รูปธาต ุกับรูปเบญจขันธ์ กับรูปสังฆตธรรม คือ จิต 1 เจตสิก 1 สังฆตธรรม 1 รูป 1 สี่อย่างนี้รวมกันเป็นรูป รูปนี้ยังปฎิสนธิกันอยู่ในรูปเบญจขันธ์อยู่ก็ยังอาศัยรูปธาตุ 6 อยู่ ท่านเหล่านี้ออกพ้นไปจากตัณหา โลภ – โกรธ – หลง – อาสวะไปแล้วใช้ปัญญาเป็นอาทิ มิได้ใช้ตัณหาอย่างสามัญชนนึกคิดกันอย่างทุกๆ วันนี้ไม่มีอีกแล้ว

               1.      นิพพานังปรมังสูญญัง ผู้ปฏิบัติละกิเลสตัณหาอาสวะโลภ – โกรธ- หลง ได้แล้วยังอาศัยธาตุ 6 และเบญจขันธ์ 5 อยู่ อาศัยรูปสังฆตธรรมอยู่คือ จิต1 เจตสิก 89 ดวง 1 รูป 1 นิพพาน 1เป็นหน้าที่ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ อยู่เรียกว่านิพพาน 1 ยังตกค้างอยู่ในโลกมนุษย์เราอยู่ อยู่ในรูปสังฆตธรรมอยู่

 

               2.      นิพพานังปรมังสุขขัง รูปธาตุแตกแล้ว ดับรูปเบญจขันธ์ทั้ง 5 เข้าสู่ปรินิพพานเป็นรูปอสังฆตธรรม เป็นรูปที่เข้าถึงพระนิพพาน โดยจำเพาะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่กลับมาปฏิสนธิเกิดอีกแล้วต่อไป ส่วนว่าพระนิพพานนั้นไม่มีรูปจริงอยู่ โลกจักรวาลที่มนุษย์และสัตว์ เราอาศัยอยู่นี้ก็ไม่มีรูปเหมือนกัน ทำไมมีรูปมนุษย์และสัตว์อยู่กันเล่า ส่วนพระนิพพานนั้นก็ยังมีรูปอสังฆตธรรมเข้าไปอยู่ในพระนิพพาน มีทั้งรูปท่านชาย-และท่านหญิง ที่สิ้นอาสวะแล้วไปได้ทุกๆท่านแต่ท่านเรียกว่ารูปอสังฆตธรรม คือ รูปแก้วบริสุทธิ์นั่นเองเป็นรูปจริงของท่าน

 

ท่านเหล่าใดมีบิดา มารดา สามี ภรรยา กุลบุตรธิดา ญาติมิตร พี่น้อง อันเป็นที่รักอันยิ่งของมนุษย์ชาย-หญิง ถึงเมื่อเราท่านปฏิบัติเข้าสู่พระนิพพานด้วยกันทั้งหมดแล้ว มิได้พลัดพรากจากกันอีกแล้ว ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากกันอย่างภพทั้งสามนี้ไม่มี ความทุกข์โศกเศร้าโศการ้องไห้ โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่มีอย่างภพทั้งสามนี้ก็ไม่มี ถึงจำแนกธรรมไว้ให้ผู้ปฏิบัติชาย-หญิง เพื่อให้รู้แจ้งแห่งพระนิพพานตาม พระองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ โดยพระนิพพานโดยจำเพาะเพื่อให้ผู้ปฏิบัติไห้รู้แจ้งในธรรมอันไม่ตาย พระนิพพานมิใช่สูญ ทั้งหมดอย่างบางท่านนึกคิดก็หาได้ไม่ นิพพานเป็นสถานที่สูงสุดไม่มีต่อไปอีกแล้วไม่ลงมาเวียนว่ายเกิดตายพลัดพรากจากกันไปอีกแล้ว เป็นสิ่งสิ้นสุดลงในการพลัดพรากไม่มีอีกต่อไป มีแต่สุขอย่างเดียวเท่านั้น สุขอันใดในภพทั้งสามนี้ จะยิ่งกว่าพระนิพพานย่อมไม่มี เพลิดเพลิน จำเริญจิตใจในโลกกามภพ รูปภพ อรูปภพ ภพทั้งสามจะยิ่งกว่าพระนิพพานนั้นย่อมไม่มี ดีอย่างไร สบายอย่างไร สวยงามอย่างไร สมบูรณ์อย่างไร สะดวกอย่างไร ปลาบปลื้มอิ่มใจเท่าไรในโลกภพทั้งสามนี้จะยิ่งกว่าพระนิพพานนั้นย่อมไม่มีนะท่านชาย-หญิง พระนิพพานมีพอครบถ้วนทุกๆ ประการดังนี้ สำหรับท่านผู้มีตัณหาอาสวะอยู่จะได้รู้ซึ้งถึงพระนิพพานกันเสียบ้าง ไม่ต้องสงสัยในเรื่องพระนิพพานรีบมามุ่งหน้าละเว้นปราศจาก สร้างบารมีกันเถิดจะเข้าสู่พระปรินิพพานกันไปเสียบ้าง อย่าหลงอยู่ในสิ่งประกอบทุกข์ อย่าหาว่าสบายประเดี๋ยวความตายพลัดพรากจะมาถึง ขอให้ผู้ปฏิบัติชาย-หญิง ให้รู้สมบัติของมนุษย์สาโลกนี้บ้างมีอะไรบ้าง ขอให้รู้จักสมบัติของสวรรค์กันบ้างมีอะไรบ้าง ขอให้รู้สมบัติ พรหมสุทธาวาสกันบ้างมีอะไรบ้าง ขอให้รู้สมบัติพระนิพพานกันบ้างมีอะไรบ้าง สมบัติทั้งหลายที่กล่าวมานั้นก็คือมูลนั้นเองที่เรียกว่าสมบัติ ภพทั้งสามนี้และพระนิพพานก็ต้องมีมูลมีสมบัติด้วยกันทั้งนั้น เธออย่าไปหาว่าพระนิพพานไม่มีอะไร กล่าวสั้นๆโดยหามูลมิได้ สมบัติของ โลกมนุษย์เรานี้ที่เป็นมูลก็มีไม่ใช่หรือ โลกมนุษย์จักรวาลนี้ก็มีมูลมีสมบัติด้วยกันทั้งนั้น โลกจักรวาลก็มีพระนิพพานก็มีนะท่าน เมื่อท่านจะ ประพฤติปฏิบัติเพื่อเข้าสู่พระปรินิพพาน ก็ต้องพิจารณาละเว้นจากมูลสมบัติของโลกทั้งสาม นี้สิ้นสุดลงไม่มีมูลสมบัติในภพแล้ว มูลสมบัติพระนิพพานก็จะดึงดูดท่านชาย-หญิงเข้าสู่นิพพานต่อไปเท่านั้น ไม่ต้องสงสัยนะท่าน ที่ยังเข้าสู่นิพพานยังไม่ได้นั้นเพราะ มูลสมบัติภพทั้งสามเรานี้ดึงดูดไว้อยู่ จิตทั้งหลายและรูปอสังฆตธรรมไปไม่ได้ เพราะมูลสมบัติภพทั้งสามนี้อยู่ต่ำมากถึงดึงดูดได้แรง ที่สุดเหมือนมนุษย์เราจะมีแรงสักเท่าไรก็ตาม จะสามารถกลิ้งครกขึ้นจากเหวมิได้เลย พระนิพพานก็เช่นกันถ้ามีสิ่งดึงดูดอยู่ก็ไปมิได้เช่นกันนะท่าน เพราะพระนิพพานอยู่สูงมากอยู่เหนือสูงฟากภพทั้งสามไปแล้วถึงจะถึงพระนิพพาน ตั้งแต่พรหมสุทธาวาสภพทั้งสามนี้ก็ยังสูงอยู่มาก ตามพุทธบัญญัตินั้นว่า เอาหินศิลาหนาแปดศอกกว้างแปดศอก ทิ้งลงมาจากสุทธาวาสพรหมนั้นลงมาหาโลกมนุษย์ที่เราอยู่ทุกๆวันนี้ 7 ปี 7 เดือน 7วัน ถึงจะถึงโลกมนุษย์ที่คนเราอยู่ทุกวันนี้นะท่าน พระนิพพานยังสูงกว่าสุทธาวาสขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง ถ้าสมบัติพระนิพพานมาดึงดูด เราท่านแล้วถึงจะไปถึงพระนิพพานได้นะท่าน ท่านกล่าวไว้ว่ามนุษย์สมบัติ – สวรรค์สมบัติ – พรหมสมบัติ – พระนิพพานสมบัตินั้นอย่างไร เล่าท่านเรียกมูลสมบัติ เพราะมนุษย์และสัตว์ติดอยู่ในมูลสมบัติ ของภพทั้งสามนี้อยู่ ถึงเข้าสู่มูลสมบัติพระนิพพานไม่ได้ ขอให้หมู่ท่านชาย- หญิงให้รู้จักมูลสมบัติที่กล่าวมานี้เสียก่อน มูลสมบัตินี้มันมีอะไรบ้างมันดีหรือชั่วประการใด มูลสมบัติที่ไม่เที่ยง ให้หมู่ท่านรู้ด้วยมูลสมบัติ ที่เที่ยงที่แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงนั้น ให้หมู่ท่านรู้ด้วย มูลนอก มูลใน มูลในมูล มูลทั้งสามให้หมู่ท่านรู้ด้วย มูลทั้งสามนี้เป็นของภพทั้งสามที่ สัตว์มนุษย์ท่องเที่ยวอยู่ในวัฎฎะกามภพ เพราะเหตุมูล มูลกุศลก็มีมูลอกุศลก็มีเพราะมันเป็นมูลสมบัติที่ดึงดูดจิตใจของมนุษย์และสัตว์ที่หลง กันอยู่หาทางออกมิได้ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร หมายถึงผู้หลงอยู่ไปนับถือตามบุคคลบัญญัติเมื่อถึงคราวพลัดพราก ก็เกิดโทมนัสโศกเศร้าโศกา ร้องไห้ ติดอยู่นั่นเอง เพราะมีความติดอยู่ในมูลสมบัติภายนอกและภายในและมูลในมูล โดยตนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยไม่รู้มูลและเหตุ รู้แต่ว่าตนของตนมีแต่ความนึกคิด แต่ไม่รู้ว่าเราคิดอะไรกันอยู่หารู้ได้ไม่ให้พิจารณากันบ้างหาเหตุผลกันบ้าง ที่รักที่เกลียดเศร้าหมองจิตใจ ของตนอยู่นั้นมันเป็นมูลสมบัติด้วยกันทั้งนั้น ว่าเราติดอยู่ในมูลสมบัติภพทั้งสามอยู่อย่างนี้แล้ว ก็ต้องถูกหลอกให้เราหลงไปตามมูลสมบัติ นั้นๆอยู่นั้นเอง มูลที่ 1. คือมูลภายนอก ได้แก่ ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ หรือเป็นมรดกตกทอดมาตามที่สืบๆต่อกันมา โดยผู้ปฏิบัติมิได้พิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร ไปยึดถือว่าเป็นของๆตนก็เลยเกิดเป็นมูลสมบัติให้จิตใจเข้า ไปติดพันว่าเป็นของ ๆ ตน จิตใจเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัยของตนพอถึงคราวพลัดพรากจากไป หรือหายไปก็มีแต่ความเศร้าโศกเสียใจไปตามทรัพย์ภายนอก ที่เราหลงว่าเป็นของตนนั่นเอง ขอให้พิจารณาทรัพย์ภายนอกนานาประการนี้ มันเป็นสิ่งประกอบของสังขารกายเวทนาเท่านั้น แม้แต่ยศถาบรรดาศักดิ์ก็เป็นแต่เพียงประดับชื่อเสียงเท่านั้น แม้สังขารร่างกายของสัตว์- มนุษย์ชาย-หญิง เรานี้ก็ยังเป็นมูลสมบัติภายนอกอยู่ มูลภายนอกที่กล่าวมานี้ต้องถึงการพลัดพรากปราศจากเราไปวันหนึ่งจนได้ เพราะมันเป็นมูลสมบัติชั่วคราวเท่านั้น ก็ย่อมมีอันตรายดับสูญไปเพราะเป็นสมบัติของกามภพ เป็นสิ่งสมบัติของแผ่นดินโลกจักรวาล นี้เท่านั้น ผู้ปฏิบัติ ภิกษุ สามเณร  ชี พราหมณ์ นักบวชทั้งหลายให้พิจารณาในมูลสมบัติของโลกเหล่านี้ให้แจ้งชัดให้ปล่อยวางให้ละเว้น ปราศจากไว้เสีย อย่าให้เป็นมูลของจิตใจ ของเราได้ มันเป็นของใช้เพื่อที่เราจะได้ละเว้นจากปราศจากส่งคืน เราไม่ควรไปอาลัยในสิ่งเหล่านั้น ถึงให้พิจารณาในมูลสมบัติให้ปล่อยวางเสียให้ได้ ถึงเมื่อเราจะได้ต้องพลัดพรากไป เราก็ไม่ต้องอาลัยในสิ่งเหล่านั้น เราต้องเตรียมจิตใจเราไว้ ถึงเมื่อเราจำเป็นความตายที่จะมาถึงเรามูลสมบัติเหล่านี้ไม่ติดตามเราไปได้แม้แต่นิดเดียว แม้แต่โลหิตและเส้นผมขนแม้แต่นิดเดียวก็ติดตามเรา ไปมิได้เลยเช่นนี้ เพราะว่ามูลสมบัติเหล่านี้มิใช่ของเรา เราต้องละปล่อยวางไว้ก่อน แต่เรายังมีลมหายใจเข้าออกได้อยู่ในร่างสังขารอันประกอบ ทุกข์อยู่นี้ ถ้าเรายังเผลอตัวมัวเมาอยู่ไปถือว่าเป็นของๆตนอยู่ต่อไปสมบัติที่เป็นมูลนั้น เขาก็ต้องพลัดพรากจากเราไปอย่างแน่นอน ถ้าไปยึดถือมูลสมบัติภายนอกนี้อยู่ว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเราอยู่ ถึงเมื่อความพลัดพรากจากไป ท่านจะเกิดโทมนัสโศกเศร้าเสียใจ โศการ้องไห้ ให้เกิดเป็นมูลติดพันอยู่ในสิ่งเหล่านั้น โดยไม่มีมรรคผลความสุขอะไรเลย มีแต่ความเศร้าหมองจะมาถมทับจิตใจท่านไว้เท่านั้น

 

               องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ธรรมประจำจิตใจไว้ให้แก่ ภิกษุ- สามเณร-ชี-พราหมณ์-อุบาสก-อุบาสิกา ไว้ว่านิพพานนังปรมังสูญญัง ดั่งนี้ท่านให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัยของจิตใจของเราอยู่ให้เป็นเนืองนิตย์ ให้นึกถึงความตายที่จะมาถึงสังขารของตนเองอยู่เป็นเนืองนิตย์ ให้ดูลมหายใจเข้าออก สั้นยาวให้รู้ด้วย ให้ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ดั่งนี้ พระนิพพานนั้นแปลว่าให้ปราศจากเครื่องเศร้าหมองของจิตใจของเรานั้น ให้สิ้นสูญไปจากจิตใจของเรานั่นเอง แต่สังขารของเรายังอยู่ความนึกคิดอะไรๆทุกสิ่งทุกอย่างของเราก็ยังมีอยู่ทุกๆท่าน รู้สิ่งในอารมณ์ต่างๆก็มีอยู่แต่ปราศจากสิ้นสูญไปจาก ความเศร้าหมองของจิตใจ  นั้นไม่มี ถึงได้เรียกว่า นิพพานังปรมังสูญญัง มิใช่ว่านิพพานเป็นของสูญเปล่า จากประโยชน์อย่างนั้นก็หาได้ไม่ นิพพานเป็นสิ่งที่เราจะต้องดับสูญไปจากเครื่องเศร้าหมองของจิตใจในอารมณ์ภายนอก และภายในให้สูญไปเท่านั้น ท่านเรียกสั้นๆว่านิพพาน เป็นของสูญ สูญจากความเร่าร้อนและเศร้าหมองจิตใจไม่มีอะไรเหลืออยู่ เพราะเราท่านสิ้นสูญไปจากความเร่าร้อนเศร้าหมองของจิตใจของเรา ท่านนั่นเอง มิใช่ว่าพระนิพพานเป็นของว่างเปล่าโดยไม่มีมูลดั่งนั้นก็หาได้ไม่ พระนิพพานเป็นมูลของสุขโดยไม่เจือทุกข์ หาเป็นไปเพื่อ ประกอบทุกข์นั้นก็หาได้ไม่ ท่านถึงให้ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ นิพพานเป็นเขตของจิตที่ไม่มีเร่าร้อนเศร้าหมองของจิตเราท่านนั่นเอง ถึงเรียกชื่อว่านิพพาน พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านถึงสั่งสอนให้ปฏิบัติจิตทำนิพพานให้แจ้ง คือให้ปฏิบัติจิตของตนให้น้อมนึกเอาความไม่เร่าร้อนไม่เศร้าหมองนั้นให้เข้ามาสู่จิต ให้จิตอยู่ในเขตธรรม หรือเกาะธรรมเหล่านั้นอยู่เสมอไป ท่านถึงได้เรียกว่าผู้ทำนิพพานให้แจ้งสว่าง ให้ยึดนิพพานเป็นอารมณ์ คือยึดความไม่เร่าร้อนไม่เศร้าหมองนั่นเอง ท่านถึงได้เรียกว่า นิพพานนังปรมังสูญญัง จิตใจสูญจากความเร่าร้อนเศร้าหมองสิ้นไปแล้ว คงเหลืออยู่แต่ธาตุสังขารกายเวทนาและเบญจขันธ์คือ รูป-เวทนา-สัญญา-สังขารขันธ์-วิญญาณขันธ์ ยังมีอยู่ในโลกกามภพนี้ยังไม่ได้ดับขันธ์   ยังทำกิจพุทธศาสนายังให้ศิลปศาสตร์ตามพุทธบัญญัติ ได้อยู่ ถึงได้เรียกว่าผู้เข้าถึงนิพพาน 1 แล้วถึงได้เรียกว่า นิพพานนังปรมังสูญญังดั่งนี้ คือดับสูญไปแล้ว 1 ส่วนคงยังอยู่อีก 2 ส่วนคือ ภายนอกส่วนหนึ่งภายในอีกส่วนหนึ่งยังไม่ดับสูญไป คือรูปธาตุ 1 รูปเบญจขันธ์ 1 ดั่งนี้จงพิจารณาต่อๆไป ยังมีนิพพาน 2 อยู่อีกคือ นิพพานังปรมังสุขขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง สุขอันใดจะยิ่งกว่าพระนิพพานนั้นย่อมไม่มี จิต เจตสิก รูป นิพพาน ยังมีอยู่เป็นสิ่งเข้าปรินิพพานต่อไปถึงท้ายที่สุด ส่วนนิพพาน 2 นั้นเราท่านสมควรพิจารณาไว้ให้รู้ ถึงเมื่อธาตุสังขารกายเวทนา ที่เราอาศัยเขาอยู่นี้ เขาจะแตกแยกกันไปไฟก็จะดับลมก็จะออกหมดไป เขาจะดับของเขาเอาส่วนเราท่านคือ จิตเจตสิกรูปรวมกันอยู่ คือตัวเราท่านให้เราพิจารณาว่าเรายังมีอะไรอยู่อีก เราก็จะรู้คือ เบญจขันธ์ เป็นสิ่งให้เราวนเวียนอยู่โดยสัญญาเป็นสิ่งจำได้หมายรู้อุปาทาน พร้อมกันอยู่เป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ห้าอย่างนี้รวมกันก็เป็นรูปเรียกว่า รูปเบญจขันธ์เป็นสิ่งนำสังขาร พาให้จิตเจตสิกรูปคือ ตัวตนเราท่านนั่นเอง ทำให้เราหลงไปตามสัญญานั้นๆ อยู่เราต้องพิจารณาละหรือดับเบญจขันธ์เหล่านั้นไปเสีย ให้เหลือแต่เราที่จะเข้า สู่พระนิพพานอย่างเดียวหนึ่งไม่มีสอง จะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงมีแต่สุขอย่างเดียว ท่านถึงได้เรียกว่านิพพานนังปรมังสุขขัง ถ้าท่านเหล่าใดไม่พิจารณาไว้ก่อนในรูปเบญจขันธ์ให้ชัดเจนว่า เราจะละจะดับเบญจขันธ์รูปนั้นอย่างไร ให้หมดสิ้นจากภพชาติจากภูมิ จากรูปจากนามแห่งภพทั้งสามนี้ด้วยวิธีใด อันนี้มีอยู่ในปัญญาแสงสว่างของผู้ปฏิบัติเองเมื่อท่านไม่พิจารณาละหรือดับ ในรูปเบญจขันธ์นั้นๆให้สิ้นสูญออกจากท่านไปได้ ท่านก็จะวนเวียนอยู่ในหมู่เบญจขันธ์เหล่านั้น ท่านก็จะกลายเป็นเปรตสัมพเวสีต่อๆไป จะเข้าสู่พระปรินิพพานก็ไม่ได้จะไปจุติปฏิสนธิเกิดอีกที่ใดๆก็ไม่ได้นะท่าน ขอให้ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงให้พิจารณาให้รู้แจ้งในส่วนของธาตุ 1 ในส่วนของตัณหา 1 ในส่วนของเบญจขันธ์ 1 ในส่วนที่จะเข้าสู่พระนิพพาน 1 ดั่งนี้ เป็นทางของพุทธเจ้าบัญญัติไว้ให้ผู้ปฏิบัติให้รู้แจ้ง ในธรรมเหล่านี้  ถึงจะเป็นทางพระนิพพานตามศีล-สมาธิ-ปัญญา โดยแท้แน่นอนไม่มีสับสนแต่ประการใด ให้ผู้ปฏิบัติรู้แจ้งคือ สติ สัมปชัญญะปัญญา เป็นสายทางรู้ซึ้งแห่งธรรมทั้งปวง เป็นสิ่งน้อมนำจิตเจตสิกรูปให้รู้แจ้งในสิ่งเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ที่เป็นอยู่เป็น ธรรมอันไม่ตายคือเราเขาที่จะเข้าสู่พระนิพพานก็คือตัวเรานั้นเอง ส่วนธาตุ ส่วนตัณหา ส่วนเบญจขันธ์ เป็นสายทางให้เราหลงมืดมัวเมา อยู่ในภาพทั้งสามนี้ไม่มีทางจะสิ้นสุดลงไปได้ เป็นแต่สิ่งไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆไปเป็นสิ่งที่ประกอบทุกข์อยู่เสมอๆมา โดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเพราะธรรมเหล่านี้ถ้าเรารู้ซึ้งถึงธรรม ในภพทั้งสามนี้ได้แจ่มแจ้งแล้วว่ากายสังขารเวทนานี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง สิ่งอันใดในโลกนี้จะทุกข์ยิ่งกว่ากายสังขารเวทนานี้ย่อมไม่มี เพราะว่ากายสังขารเวทนานี้มีธาตุมีตัณหา มีเบญจขันธ์ รวมกันเป็นรูปมนุษย์และสัตว์ที่เราท่านเห็นๆ กันอย่างทุกๆ วันนี้อยู่ต่อๆไป รูปของธาตุมนุษย์ชาย-หญิงนี้ก็จะเปลี่ยนแปลง แตกดับตายสูญไปด้วยของเขาเอง ส่วนตัณหาเป็นสภาวะทำให้จิตใจสับสนให้เกิดยินดียินร้ายอยู่เสมอๆ ไปในความมืดถึง ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เลยไม่รู้ว่าอะไรเป็นดินอะไรเป็นหิน อะไรเป็นเพชรเป็นพลอยเช่นนี้ ส่วนกายสังขารเวทนานี้ก็เช่นกันนะท่าน เพราะธาตุกายสังขารเวทนาเขาปกคลุมอยู่ถึงรู้อะไรๆได้ยาก พระพุทธเจ้าท่านถึงให้พิจารณาในรูปธาตุอาการ 32 ให้ผู้ปฏิบัติให้รู้อย่างชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ถึงจะรู้ซึ้งถึงชั้นตัณหาอาสวะแห่งสภาวธรรมของตัณหาอาสวะไปได้ ส่วนตัณหาอาสวะเป็นของละเอียดมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ทำจิตนิ่งๆหรือนอนนิ่งๆ จมอยู่ในกายสังขารเวทนาหาว่าเป็นสุข ท่านเหล่านั้นหารู้ได้เท่าทันในตัณหาอาสวะมิได้เลย คงมีแต่ท่านผู้อื่นจะหลอกลวงให้จิตเราหลงไปตามตัณหาอาสวะอยู่เสมอๆไป เพราะมนุษย์ชาย-หญิงต้องการแสวงหาความเป็นสุข จะหารู้ความทุกข์ที่จะมาถึงตนเมื่อไรหารู้ได้ไม่ เพราะว่าต้องการจะทำจิตของ ตนให้หยุดนิ่งๆอยู่นั้นเอง โดยไม่พิจารณาหาทางให้รู้ตัณหาอาสวะสภาวธรรมตามพระพุทธเจ้าบัญญัติศีล-สมาธิ-ปัญญา เป็นสายทางให้จิตผู้ปฏิบัติ ให้รู้ให้สว่างรู้แจ้งตามสภาวธรรมนั้นๆถึงจะรู้ทางออกจากตัณหาอาสวะเข้าสู่สังฆตธรรม เป็นธรรมรู้แจ้งแห่งธาตุสังขารกายเวทนา และรู้สภาวะของตัณหาโดยแวดล้อมแห่งเบญจขันธ์อยู่และรู้ทางออกปล่อยว่าง ได้ไม่มัวเมาหลงอยู่ในภพทั้งสามจะรู้ได้แต่ผู้ปฏิบัติตามศีล-สมาธิ-ปัญญา เท่านั้นนอกจากนั้นไม่มีหวังจะรู้ได้ เพราะมันเป็น ทางหลงด้วยกันทั้งนั้น เมื่อจะเอาฤทธิ์เอาเดชอะไรๆนานาประการก็ตามแต่ผู้ปฏิบัติยินดียินชอบอยู่ก็ตาม จะเอามากำจัดตัณหาอาสวะที่มีอยู่ในตนมิได้เลยแต่ประการใด เพราะเบญจขันธ์รูปนั้นประณีตที่สุด ผู้ปฏิบัติจะพึงรู้ด้วยตนเองสามารถแนะนำให้ผู้อื่นปฏิบัติดูได้ตามสภาวะนั้นๆได้อย่างแท้จริง เพราะเบญจขันธ์มีวิญญาณรวมอยู่ด้วยถึงได้มีความนึกคิดรู้ได้นานาประการ เพราะวิญญาณนั้นเองส่วนตัณหาอาสวะโลภ-โกรธ-หลง ไม่มีวิญญาณมีแต่ความมืดความเมาความหลงปิดบังจิตใจไว้ไม่ให้รู้กองทุกข์ ไม่ให้รู้ในสิ่งเวียนว่ายเกิดตายอยู่ในภพทั้งสามนี้ ไม่ให้รู้ชาติรู้ภพรู้ผิดรู้ถูก รู้แต่ได้รู้แต่เอารู้แต่การสะสมรู้แต่ความกำหนัด รู้แต่ความรักความเกลียดความหึงหวง ไม่รู้เกิดรู้ตาย ไม่รู้ความทุกข์ที่จะมาถึงตน ไม่รู้กระทั่งโทมนัสโศกเศร้าโศการ้องไห้ ไม่รู้ความเป็นไปที่จะมาถึงตน ดีหรือชั่วไม่รู้ทั้งนั้น มันปิดบังจิตใจของมนุษย์และสัตว์ไว้ทั้งหมด กล่าวสั้นๆว่าอวิชชาคือความมืดปิดบังจิตใจไว้นั้นเอง จนไม่ให้รู้ว่าในโลกมนุษย์ว่าเป็นทุกข์หรือเป็นสุขไม่ให้รู้ภูมินรกว่าเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ไม่ให้รู้ชั้นสวรรค์และพรหมว่าเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ไม่ให้รู้กระทั่งพระนิพพานว่าเป็นอย่างไรมีแต่ความสงสัยลังเลอยู่เสมอไป เพราะความมืดถือว่าตายสูญไปไม่มีอะไรเหลืออยู่ ถือว่าเกิดหนเดียวตายหนเดียวเท่านั้น นี้แหละหมู่ท่านชาย-หญิงให้พิจารณาไตร่ตรองดูกันบ้าง ช้างใหญ่ไพศาลไม่รู้หัวไม่รู้หางว่ามันอยู่ที่ใดเปรียบได้เหมือนผู้ไม่รู้ตนของตนเองนั้นเอง

 

               อาตมาจึงจำแนกแนวทางไว้ให้ผู้ปฏิบัติชาย-หญิง ผู้สนใจใคร่ปฏิบัติเดินตามพุทธเจ้าบัญญัติศีล-สมาธิ-ปัญญา เป็นแนวทางให้เดินเข้าไปสู่พระนิพพาน เป็นทางคนคนเดียวหนึ่งไม่มีสอง คือจิตเจตสิกรูปนิพพานนั้นเองเป็นตัวตนของท่านทุกๆคนไป เป็นสิ่งภูมิใจสำหรับผู้ปฏิบัติรู้แจ้งในธาตุสังขารกายเวทนาที่อาศัยอยู่ในกามภพนี้มิใช่ ตัวตนบุคคลเราเขารู้แล้วก็จะออกจากทางพ้นทุกข์ได้ ส่วนตัณหาเบญจขันธ์ก็มิใช่ตัวตนบุคคลเราเขารู้แล้วก็จะเกิดความสุขออกจากความพ้นทุกข์ไปได้ ส่วนตัณหาเบญจขันธ์ก็มิใช่ตัวตนบุคคลเราเขารู้แล้วก็จะเกิดความสุขออกจากความพ้นทุกข์ไปได้ เป็นน่าอัศจรรย์ด้วยตนเองเพราะปัญญาที่เกิดที่มีขึ้นในทางพิจารณาด้วยหลักกรรมฐาน 5 ของพระศาสดาสัมมมสัมพุทธเจ้าที่ท่านวางสายทางไว้ให้หมู่เราท่านให้เดินจิตตามไปนั่นเอง “พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าให้รู้ซึ้งโลกด้วยคือ ให้รู้เท่าทันสังขารกายเวทนานั้นเอง แปลว่ารู้ซึ้งโลก ให้รู้ซึ้งธรรมด้วยคือ ให้รู้สิ่งน้อมนำจิตนั้น ธรรมมี 2 ประการ ธรรมที่น้อมนำจิตให้รู้ในทางโลกนานาประการนี้อย่าง 1 ธรรมที่น้อมนำจิตให้รู้ในทางธรรมนี้อย่าง 1 ธรรมที่น้อมนำจิตทั้งสองนี้เป็นสิ่งนำจิตให้ยินดีไปตามสิ่งนั้นๆ ธรรมทั้งสองนี้เราท่านน้อมนำจิตได้ทุกๆเมื่อ แต่เราให้รู้ด้วยว่าธรรมเหล่าใดเป็นธรรมสำหรับโลก หรือเป็นธรรมในธรรม ที่เราน้อมนำนึกคิดเข้ามาสู่จิตเรานั้น มันเป็นธรรมเหล่าใดให้รู้ด้วย” เพราะว่าผู้ปฏิบัติชาย-หญิงไม่รู้จักเลิกละอวิชชาความมืดความไม่รู้ที่มีอยู่ในจิตใจของเรา ให้ออกไปจากจิตใจเราเสียก่อน ให้เหลือแต่จิตใจของเราโดยสะอาดปราศจากเครื่องเศร้าหมอง ความมืดไม่ให้มีแก่เรา เมื่อเรานึกคิดน้อมนึกเอาธรรมเหล่าใดเข้าสู่จิตใจเรา เราก็จะรู้ในธรรมเหล่านั้นว่ามีเหตุมันมีผลอย่างไร มันเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเราก็จะรู้ได้ในธรรมเหล่านั้น เพราะว่ามนุษย์และสัตว์ต้องมีจิตใจน้อมนึกคิดเอาธรรมทั้งปวง ให้เข้ามาสู่จิตใจได้อยู่ทุกท่านในขณะทุกวันนี้ ต้องมีทุกๆท่านจะดีหรือชั่วเท่านั้น ผู้ไม่รู้ในความที่ตนน้อมนึกคิดเข้ามาสู่จิตใจของตนคือจิตใจท่านเหล่านั้นไปตกอยู่ใน อวิชชาตัณหาความมืดอยู่ ถึงไม่รู้ว่าเราน้อมนึกคิดไปตกอยู่ในธรรมเหล่าใดหารู้ได้ไม่เพราะความมืดอวิชชานั้นเอง ไม่ให้เรารู้ผิดรู้ถูกในกองทุกข์ที่มาถึงตนนะภายหลัง- ไปนึกว่าตนนึกคิดนั้นถูกต้อง แต่ไม่รู้ว่าเราน้อมนึกเอาธรรมเหล่าใดเข้ามาสู่จิตใจของตน ธรรมที่เรานึกคิดน้อมเข้ามานี้มันจะ เป็นทุกข์หรือเป็นสุขอย่างนี้หารู้ได้ไม่ มันจึงเกิดเดือดร้อนเศร้าจิตใจ สิ่งยังไม่เกิดไม่มีแก่ตนก็ไปน้อมนำนึกคิดให้มันเกิดมันมีขึ้น ถ้าไม่ได้มาสมความปรารถนาก็เป็นทุกข์ เพราะรู้ซึ้งไม่ถึงธรรมเหล่านั้นว่ามันเป็นทุกข์หรือเป็นสุขมันเที่ยงหรือไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง มันจะพลัดพรากจากเราไปอย่างไรบ้าง มันเสื่อมคลายจากจิตใจเราอย่างไรบ้าง ถ้าท่านเหล่าใดยัง ไม่รู้แจ้งในธรรมเหล่านี้ แปลว่าท่านเหล่านั้นจิตใจยังไปตกอยู่ในอวิชชาตัณหาดั่งนี้ให้รู้กันบ้าง ถึงจะไม่ได้ทะเลาะตนและผู้อื่นให้มัน เสียเวลาที่เราเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อจะแสวงหา ธรรมที่สว่างให้น้อมนำนึกคิดเข้ามาสู่จิตใจเรา ให้จิตใจเราได้ออกจากอวิชชาตัณหาความมืด ความหลงให้ได้เป็นเด็ดขาด เราจะได้รู้ในธรรมอันเป็นทุกข์หรือเป็นสุขได้แก่เราน้อมนำนึกคิดเข้ามาเองด้วยกันทั้งนั้น เราปฏิบัติจิตใจเรา ให้รู้ดีรู้ชั่วเท่านั้นก็พอ อนึ่งยังมีธรรมเหล่าหนึ่งคือ ปัญญาที่รู้แจ้งที่รู้มืดไม่มีเกิดวิตกวิจารณ์ ไม่ท้อไม่ถอยในการประพฤติปฏิบัติ ในการกระทำหรือเข้าที่อบรมหรือทำหน้าที่สั่งสอนตนและผู้อื่นก็ดี เราให้รู้ลำดับของอวิชชาอยู่ในลำดับมืด คือจิตใจเวลานี้เราท่านก็ดี เปรียบได้เหมือนเราท่องเที่ยวอยู่ในเวลากลางคืนในระหว่างมืดอยู่แต่ได้ยินเสียง แต่ก็รู้ว่าเสียงอย่างนั้นเสียงอย่างนี้บอกทางให้เป็นทางสว่างแจ้ง แต่ผู้ได้ยินได้ฟังก็รู้เหมือนกันแต่ยังไม่รู้ว่าความสว่างแจ้งนั้นมันเป็นอย่างไร เพราะยังอยู่ในความมืดหรือขอบเขตของมืดอยู่ ก็มีแต่เดินจิตใจของตนคลำไปคลำมาคลำไปเจอทางแล้วก็หาว่าไม่ใช่ทาง เลยเกิดปฏิกังขาลังเลสงสัยเมื่อจะเดินตามทางที่บอก นั้นก็กลัวว่าจะผิดทาง ก็เลยนั่งคอยยืนคอยนอนคอยเดินวนเวียนไปวนเวียนมา เดินหน้าและถอยหลังนึกกันไปนึกกันมา อยู่ในเขตมืดนั้นเอง หนักไปหนักมาก็ต้องอยู่ในอวิชชาความมืดนั้นเอง เพราะเกิดความท้อถอยคลายจากความเพียรพยายามที่จะหนีจากความมืดเลย ไม่สำเร็จมรรคผลเข้าสู่ความสว่างแจ้งแห่งวิชชาไม่ได้ เพราะจิตใจเราไปพะวักพะวนอยู่ในความมืดของอวิชชากามภพโลกมนุษย์และสัตว์อยู่ เพราะโลกกามภพสังขารกายเวทนานี้ก็ยังมีมืดมีสว่างอยู่ คือกลางคืนมันก็มืดไม่ใช่หรือ ถึงเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้วมันก็สว่างเป็นกลางวัน ไม่ใช่หรือ โลกกามภพมนุษย์คนเราก็มีมืดมีสว่าง ที่เรารู้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ก็ยังมีมืดมีสว่างตามธรรมชาติของโลกอยู่แล้ว ทางธรรมที่เราท่านประพฤติปฏิบัติจิตใจเราให้เข้าสู่ศีลและธรรม ก็ต้องมีมืดมีสว่างแจ้งเช่นกันนะท่านชาย-หญิง

 

               เขตของธรรมนั้นมีดั่งนี้คือ อวิชชาตัณหาเป็นเขตมืดนะท่านจิตใจเราท่านไปตกอยู่ในเขตมืด ก็ให้รู้ว่าเราหรือท่านกำลังอยู่ ในเขตมืดอยู่ให้รู้ดั่งนี้ด้วย ต่อๆไปเราและท่านจะพยายามให้จิตใจเราท่านละให้ออกจากเขตมืดนี้ให้ได้เป็นเด็ดขาด ถ้าจิตใจเราท่านเข้าถึง เขตสว่างแล้วเราท่านก็จะรู้ดีรู้ชั่วได้อย่างชัดเจน ต่างคนต่างรู้ ต่างคนต่างเห็นด้วยกันทุกๆอย่างแล้ว เราท่านก็จะมีความสุขสมบูรณ์ด้วยกัน ทั้งนั้นไม่ต้องสงสัยอะไรๆอีกแล้วต่อไปดั่งนี้ ถ้าท่านเหล่าใดยังอยู่ในเขตมืดอยู่ และท่านเหล่าใดอยู่ในเขตสว่างแจ้งแล้ว ทั้งสองนี้ก็ยังจะต้อง ถกเถียงกันอยู่ ผู้ที่อยู่ในที่มืดก็หาว่ามืดดีเพราะติดที่อยู่ของตนนั้นเอง ผู้อยู่เขตสว่างแจ้งก็ว่าเขตสว่างแจ้งดีเพราะไม่ได้คิดอะไรๆทั้งนั้น มีอะไรมาทางสานุทิศใดๆเราเห็นเรารู้เราหลบเราหลีกได้ไม่ถูกไม่โดนไม่ชนเรา ได้ทั้งนั้นดั่งนี้ผู้สว่างแจ้งแล้วต้องมีความเพียร และอดทนอย่างมากที่สุด เพราะจะนำจิตใจผู้ถูกความมืดครอบงำไว้อยู่ยังไม่รู้จะไปทางใดสานุทิศใดหาทางไปมิได้ด้วยตนเอง เลยยิ่งไปยิ่งมืดเพราะยังไม่รู้ทางออกด้วยวิธีใด ผู้สว่างแจ้งแล้วจะปล่อยทิ้งหรือจะหนีจากไปเสียดั่งนี้ก็ไม่ควรก็ต้องช่วยเหลือ เกื้อกูลทนทุกข์ทรมานตามๆ ไปด้วย ผิดถูกก็ต้องสู้ทนไป เพราะความปรารถนาอันแรงกล้า เพื่อจะช่วยเหลือสัตว์มนุษย์ชาย-หญิงให้ออกจากเขตมืด อยู่นั้นให้ออกไปสู่ความสว่างแจ้งให้ได้โดยวิธี ปลูกตั้งศรัทธาบารมีให้แก่หมู่ท่านเหล่านั้นต่อๆไป จนถึงท้ายที่สุดคือปรมัตถบารมีซึ่งพระปรินิพพานเป็นสถานบรมสุขพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ดั่งนี้เรียกว่ามนุษย์โส กล่าวอย่างแท้จริงคือไม่ยอมปล่อยละทิ้งมนุษย์ชาย-หญิง ที่ยังหลงอยู่ในความมืดต้องช่วยเหลือให้รู้ทางออกให้จงได้ ด้วยเจโตวิมุตติญาณในทางพระพุทธเจ้าบัญญัติต่อๆไป จนถึงท้ายที่สุดคือ พระนิพพานนั้นเองผู้เป็นสัปบุรุษเดินตามสักริยะวงศ์โพธิสัตว์โพธิญาณต้องมีเมตตา ให้แรงกล้าเพื่อแนะนำปวงสัตว์ให้เลิกจากบาปบำเพ็ญบุญ แนะนำให้จิตหมู่ปวงสัตว์ทั้งหลายให้เข้าสู่ความสงบโดยความตั้งใจไว้โดยบารมี ด้วยศรัทธานั้นๆต่อๆ ไปเพราะสัตว์มนุษย์นานาจิตตัง จิตนั้นต่างกันดั่งนี้ผู้สว่างแจ้งรู้ทางบุญและทางบาป รู้ทางหมุนเวียนอยู่ในกองทุกข์แล้ว จะต้องแนะนำผู้ที่ยังไม่รู้ให้สว่างแจ้งตามตนไปด้วย ผู้รู้ทางแล้วดูมันง่ายไปไม่ยากนัก ผู้ไม่รู้ทางก็ไม่รู้ว่าจะไปทางใดก็ต้องต่อสู้อยู่ในกองทุกข์อย่างนี้เสมอไปเท่านั้น แม้แต่ไปตกอยู่ในกองไฟร้อนแสนร้อนก็ต้องทนอยู่ในความร้อนเสมอๆไป เพราะไม่รู้จะออกไปทางไหนได้เช่นนี้ ผู้รู้ทางออกได้แล้วก็ต้องช่วยเหลือผู้ที่ยังมืดอยู่ให้ออกเข้าสู่ทางสว่างแจ้งเข้าสู่พระนิพพานไปก่อน พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ผู้เรารู้อยู่ก่อนแล้วจะ ไปในเวลาใดก็ได้ดั่งนี้ เรียกว่าสัปบุรุษช่วยเหลือมนุษย์และสัตว์แม้แต่ลำบากยากทุกข์สักเท่าไหร่ท่าน  ก็สู้เพราะท่านต้องการช่วยหมู่สัตว์ให้พ้น จากกองทุกข์ไปก่อน ถ้าจะปล่อยทิ้งไว้ก็จะจมตายอยู่นั่นเอง กว่าจะหาผู้ชี้ทางให้ออกนั้นก็หาได้ยากท่านถึงได้ช่วยสงเคราะห์ด้วยศิลปศาสตร์ให้รู้ให้สว่างแจ้ง ให้ได้ทั้งท่านชายและ ท่านหญิงเพราะเมตตาเจโต แห่งจิตปฏิบัติแล้วนั้นเอง

 

               โลกมนุษย์ภพทั้งสามนี้หลงไปด้วยความทุกข์ความมืด รู้ว่าแต่เกิดว่าเป็นสุขเพราะไม่รู้ความมืดก็เลยหลงไปตามจริตในความมืด ของตนที่มีอยู่นั้นเองไม่รู้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นกองทุกข์หารู้ได้ไม่ ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงให้ตัดความหลงนั้นออกไปเสียก่อนถึงจะผ่านพ้นความมืดออกได้ เข้าสู่ความสว่างแจ้งได้โดยเร็วนะท่าน จิตตกอยู่ในความมืดนั้นย่อมไม่รู้ในธรรมอคติแต่ประการใดเลย ย่อมกระทำไปตามจิตของตนโดยไม่รู้บุญ ไม่รู้บาปมันจะเกิดขึ้นเพราะอะไร ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงให้สนใจพิจารณาให้รู้เท่าทันจิตของตน อย่าให้ไปตกอยู่ในธรรมอคติแห่งอกุศลเลยนะท่าน ธรรมอคติก็คืออกุศลจิตนั้นเอง บางทีก็มีจิตรักบังเกิดขึ้นบางทีก็มีจิตบังเกิดความรังเกียจขึ้น ทำให้เกิดเป็นกรรมเป็นเวรซึ่งกันและกันจิตเหล่านี้เป็นจิตปะปนทุกข์อยู่นะท่าน ภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์-อุบาสก-อุบาสิกาทั้งหลาย ให้กระทำจิตของเราเสียอย่าให้มีเกิดอคติ ให้สำรวมจิตของตนที่รักสวยรักงามที่มีอยู่ในตนของตนนั้นให้เกิดพลังขึ้นให้มากให้ได้พลังเยี่ยง โทสะแต่มิใช่โทสะ ให้น้อมนึกคิดเอาเข้ามาเป็นพลังของจิตเราจะได้ผลักดันอคติอกุศลจิตให้ออกไปจากสันดานของตน ๆ เพราะจิตมีอคติอยู่ในอคติสันดาน ตนของตนทุกๆคนจะต้องมีเป็นสันดานมานานแล้วไม่รู้ว่านานกี่กัปมาแล้ว มันทำให้เราท่านหลงไปอยู่ในกองทุกข์เสมอๆมาเท่าทุกวันนี้ เพราะจิตไปติดอยู่ในอคตินั้นเองถึงได้มีความอาฆาตมาดร้ายอยู่ในจิตดีบ้างชั่วบ้างออกมากมาย แม้แต่สังขารกายเวทนาตายแตกดับไปแล้วกี่ครั้งกี่หนจนนับไม่ไหว ธรรมอคตินี้มิได้สูญหายจากเราไปเลย มันนำเผาเราอยู่เสมอๆมาไม่ขาดระยะแม้แต่น้อย ผู้ปฏิบัติทั้งหลายชาย-หญิงทุกๆท่านอ่านแล้วได้ยินได้ฟังแล้วให้รีบพิจารณาเผาอคติที่มีอยู่ในตน ให้สิ้นให้หมดไปให้จงได้ ถ้าเราไม่เผามัน มันต้องเผาเราอยู่เสมอๆไปนะท่าน เราจงเกรงกลัวต่อบาปนี้อย่าง 1 เราจงมีความละอายแก่ใจตนนี้อย่าง 1 สองอย่างนี้เป็นเครื่องมือเป็นไฟที่เราจะเผาอคติที่มันมีอยู่ในจิตใจ ของเราท่านให้สิ้นไปให้หมดไปให้จงได้ นอกจากนี้ไปก็ไม่มีไฟอะไรจะเผาจิตอคติได้เลยนะท่าน ให้เรามีสติน้อมนึกเอาไฟเหล่านี้ให้มันเกิดให้มันมีขึ้นแก่จิตใจของเราให้มากๆ อคติตัวร้ายจะได้หนีจากจิตใจเราไปเสียที เราจะได้พ้นจากกองทุกข์กรรมเวรกันไปเสียทีนะท่านชาย-หญิง อาตมาไม่บอกก็ไม่รู้ไม่พิจารณาก็ไม่เห็นในธรรมอคติเหล่านี้ เพราะมันเป็นเส้นผมบังภูเขาอยู่นะท่านเพราะธรรมอคตินี้ให้เกิดเป็นอกุศลมูลเป็นมูล ให้เกิดเป็นกรรมเป็นเวรต่อๆกันไป กระทำให้มนุษย์และสัตว์เวียนวนเกิดตายอยู่ในภพทั้งสามแห่งกองทุกข์อยู่โดยไม่รู้สึกตัวว่า อยู่ในความมืดแห่งอวิชชาตัณหา ต่อๆไปย่อมเป็นผู้ถือตัวถือตนอยู่เสมอๆเปรียบได้เหมือนผู้ตาบอดสอดรู้จำต้องแข่งดีกับผู้ไม่บอด หาว่าตนดีอยู่เสมอยังไม่รู้ซึ้งถึงตาตนว่าบอด ผู้ที่อยู่ในความมืดก็เช่นกันไม่ยอมรับว่านั้นอยู่ในความมืดขอให้พิจารณากันดูบ้าง อาตมาตั้งแต่เกิดมานี้ก็นานแล้วไม่เคยเห็นคนตาบอดต่อตาบอดจูงกันสักที เห็นแต่คนตาดีจูงคนตาบอดเสมอๆไป ผู้ปฏิบัติรู้แจ้งสว่างแห่งธรรมทั้งปวงย่อมสั่งสอนแนะนำจูงมืออยู่ในเดินไปได้ถูกทางดั่งนี้เป็นต้น ถ้าผู้ปฏิบัติต่างคนต่างมืดอยู่จะไปอบรมพร่ำสอนกันก็ต้องวนไปวนมาอยู่นั้นเอง ผู้หนึ่งว่าดีก็ว่าดีไปตามๆกันอย่างนั้นเอง ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรจะหาทางเป็นไปเพื่อออกจากกองทุกข์นั้นมิได้เลย เลยไปตกอยู่ในความหลงความมืดอยู่นั้นเสมอๆไป เหมือนผู้ที่ไปตกอยู่ในความโลภความโกรธความหลงอยู่ก็ต้องแนะนำผู้อื่นให้โลภ-โกรธ-หลง ไปตามตนอยู่นั่นเองเพราะมืดต่อมืดสอนกันนั้นเอง โดยไม่รู้ทุกข์หรือสุขที่จะติดตามมา ณ ภายหลังหารู้ได้ไม่ดั่งนี้ รู้พุทธเจ้าบัญญัติมิได้ปฏิบัติตามไปให้รู้สว่างแจ้งในธรรมเหล่านั้นว่ามันไปทางไหนสายไหนกันแน่ มันเป็นทางประกอบทุกข์หรือเป็นทางประกอบสุข จะพ้นจากทุกข์ต่อไปได้หรือไม่ให้เรารู้เสียก่อนให้เห็นมันเสียก่อน อย่าพึ่งไปนึกเอาเดาเอาคาดคะเนเอาว่ามันจะต้องเป็น อย่างนั้นอย่างนี้โดยมืดๆให้มันสว่างให้มันแจ้งเสียก่อน ถึงให้รู้ภายหลังมันถึงจะเป็นทางมรรคและผลได้ ถึงจะเป็นผู้นำทางได้โดยถูกต้องแม้แต่จะหลงก็หาทางให้ไปถูกได้ เพราะเป็นผู้สว่างแจ้งแล้วนั้นเองไม่เหมือนผู้ที่อยู่ในความมืด ต้องมืดไปมืดมาไม่รู้ทุกข์ไม่รู้สุขรู้แต่ตามประเพณีที่ได้ถือสืบๆตามๆกันมาเท่านั้นเอง ไม่รู้ความทุกข์ที่จะติดตามมา ณ ภายหลังหารู้ได้ไม่ อาตมาถึงจำแนกธรรมที่มันมีอยู่แล้วทุกตัวคนให้แจ้งชัด โดยผู้ที่ยังไม่รู้ก็ให้ได้พิจารณาในตนของตนดูกันบ้าง ไม่ว่าท่านเหล่าใดต้องมีพ่อมีแม่มีรักสามี-ภรรยาและบุตร-หลาน-พี่-น้อง ด้วยกันทั้งนั้น แต่ให้รู้ทางพ้นออกจากกองทุกข์ที่เวียนว่ายเกิดตายกันอยู่ในทุกๆวันนี้ว่ามันเป็นทุกข์หรือมันเป็นสุข ให้รู้ซึ้งถึงธรรมอคติเรานี้ด้วย สำหรับนักบวชชาย-หญิงให้พิจารณาในธรรมเหล่านี้เป็นเนืองนิตย์เพราะมัน เป็นทางของนักบวชชาย-หญิง จะได้นำจิตใจของตนให้เข้าสู่ความสว่างแจ้งในทางโลกและทางธรรม ถ้าเราอยู่ในความมืดแล้วย่อมให้ผู้อื่นเขาหลอกเอาจิตใจเราให้เดินไปตามเขาได้โดยง่ายนะท่าน เหมือนผู้ที่ตาบอดเดินทางไปจะถึงบ่อน้ำอันแสนลึกพอมีคนเขาโกหกบอกว่าที่ตรงหน้านั้น มีขี้โคลนให้ท่านกระโดดให้แรงๆถึงจะพ้นขี้โคลนนะท่าน ผู้ที่ตาบอดอยู่ในความมืดมองไม่เห็นก็ต้องเชื่อเขา ก็ตั้งใจเบ่งเต็มแรงกระโดดไปจนสุดเหวี่ยงที่กำลังตนมีอยู่ เลยไปตกหลุมพรางบ่อน้ำอันแสนลึกนั้นก็ต้องจมอยู่ในกองทุกข์ จะหาทางขึ้นจากบ่อก็ไม่เจอ เพราะตาตนบอดมืดมองอะไรๆก็ไม่เห็นนั้นเอง นี่แหละนักบวชชาย-หญิงให้พิจารณา ถ้าเราอยู่ในความมืดอยู่ก็จะต้องโดนเขาหลอกลวงได้อยู่เสมอๆไป จะใกล้หรือไกลก็ตามแต่ก็มีเช่นกัน ให้เรามีสติขันตีเป็นเครื่องประกอบจิตใจเราไว้ อย่าไปปล่อยจิตใจของเราไปตามอารมณ์นั้นๆดั่งนี้

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:15:53

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom