|
-
หลักกรรมเกิดเพราะฤทธิ์เดชอิทธิฤทธิ์จิต
|
|
-
ฤทธิ์เดชจะเกิดเป็นกรรมในสิ่งนั้นๆ
ก็เพราะการกระทำนั้นเอง
ฤทธิ์เดชจะเกิดขึ้นได้เพราะจิตถึงจะเกิดขึ้นได้
ฤทธิ์เดชมันมีตามธรรมชาติของจิตอยู่แล้ว
จิตนี้เป็นประภัสสรอยู่แล้ว
เราจะทำจิตให้เป็นบุญก็ได้
เราจะทำจิตให้เป็นบาปเป็นกรรมเป็นเวรก็ได้
เพราะจิตน้อมนำเอาฤทธิ์เอาเดชได้ทุกๆเมื่อ
จิตที่มีสังขารอยู่เหมือนมนุษย์และสัตว์ทุกชนิดหรือมีแต่จิตไม่มีสังขารก็เช่นกัน
จิตนั้นน้อมเอาฤทธิ์เอาเดชได้ทุกเมื่อ
น้อมเอาบุญก็ได้
น้อมเอาบาปกรรมเวรก็ได้
มีสังขารอยู่กับไม่มีสังขารก็เช่นกัน
เพราะว่าจิตเป็นประภัสสรอยู่แล้ว
จิตทุกๆท่านเป็นตัวตนของท่านอยู่แล้ว
เป็นความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
แต่ไม่เที่ยงเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงได้
สติความน้อมนึกได้
,
สัมปชัญญะความรู้ตัว,
จิตความน้อมนึกคิดได้,
เจตสิกความสัมพันธ์ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้
เป็นสิ่งต้องการก็ดี
ไม่ต้องการก็ดี
เป็นหน้าที่ของเจตสิกเปลี่ยนแปลงได้โดยสัมพันธ์
4
อย่างนี้รวมกันอยู่ในรูป
หรือว่าเป็นรูปก็
ใช่รูปที่กล่าวนี้เป็นตัวตนของท่านทุกๆคนเป็นตัวจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
สิ่งอันใดแตกอันตรายได้เหมือนสังขารกายเวทนา
ของมนุษย์และสัตว์และวัตถุสังขารที่สัตว์มนุษย์ปรุงขึ้นทุกๆชนิดที่เป็นรูปต่างๆกัน
เช่น
รูปสังขารที่ปรุงขึ้นเป็นรูปต่างๆก็คือ
ต้นไม้-ต้นหญ้า
รูปเหล่านี้อันตรายแตกตายหายสูญไปได้ด้วยกันทุกๆสังขาร
รูปเหล่านี้มิใช่ตัวตนเราเขานะท่าน
เพราะว่าเป็นสิ่งปรุงเกิดขึ้นชั่วคราวก็จะสลายรูปนามไปสิ้นสูญไปท้ายที่สุด
ส่วนสังขารทุกๆท่านก็ต้องสูญ
ไปตามกาลตามเวลาของสังขารเอง
สิ่งที่กล่าวนี้มิใช่ตัวตนบุคคลเราเขานะท่าน
ให้พิจารณาตามธรรมเหล่านี้หน่อย
โดยผู้สนใจอยากจะรู้สิ่งเป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร
ส่วนวิญญาณทั้งเจ็ดเป็นความรู้สึกทั้งประกอบสังขารอยู่คือ
|
|
-
|
วิญญาณสะธาตุ
1
|
จักษุวิญญาณ
1
|
|
|
โสตะวิญญาณ
1
|
ฆานะวิญญาณ
1
|
|
|
ชิวหาวิญญาณ
1
|
กายะวิญญาณ
1
|
|
|
เจโตวิญญาณ
1
|
|
|
|
|
-
วิญญาณทั้งเจ็ดนี้เป็นความรู้สึกสังขารกายเวทนาเท่านั้น
มิใช่ตัวตนของเราเขานะท่านเป็นเครื่องประกอบใช้แต่เพียง
สังขารกายเวทนาเท่านั้น
เมื่อสังขารกายเวทนาแตกดับไป
วิญญาณทั้งเจ็ดนี้ก็จะดับสูญไปตามวิญญาณสะธาตุทั้งหมด
ส่วนสติ-สัมปชัญญะ-เจตสิก-จิตรูป
สี่อย่างนี้เป็นตัวตนของท่าน
เป็นสิ่งไม่ตายนะท่าน
ถึงได้เรียกว่าตัวตนบุคคลเราเขาอยู่
เพราะสิ่งไม่ตายนั้นเอง
ถึงได้เรียกว่าเป็นที่มาปฏิสนธิอยู่ในสังขารร่างกายมนุษย์และสัตว์ชาย-หญิงเป็นสิ่งไม่ตาย
เมื่อสังขารกายเวทนาแตก
ดับสิ้นลมไฟไปแล้วตัวตนของท่านคือสติสัมปชัญญะจิตเจตสิกรวมกันเป็นรูปที่มา
ปฏิสนธิอยู่ในร่างกายสังขารอันแตกดับนั้นก็จะออกไปจุติภูมิต่างๆกัน
ด้วยกุศลและอกุศลตามผลมูลในการกระทำของท่านเหล่านั้น
ภูมิมนุษย์โสโลกนี้อย่าง
1
ท่านเรียกว่าภูมิเทวามีทั้งมนุษย์และเทวดาและมาร
ภูมินรกนี้อย่าง
1
ภูมิสวรรค์และพรหมนี้อย่าง
1
ภูมิทั้งสามนี้เป็นหน้าที่ของตัวตนเราเขาท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะภูมิและภพทั้งสามนี้เป็นหน้าที่
ของตัวตนเราเขาท่องเที่ยว
อยู่ในวัฏฏะภูมิและภพทั้งสาม
ที่เวียนว่ายเกิดตายอยู่
เพราะจิตมาปฏิสนธิวนเวียนอยู่ตามกุศลและอกุศลบุญบ้างบาปบ้างนั้นเอง
ท่านถึงเรียกว่าตัวตนบุคคลเราเขาอยู่เพราะว่าจิตเจตสิกรูปของมนุษย์เป็นสิ่ง
ไม่ตายเป็นความจริงคือเป็นสิ่งไม่ตายนั้นเอง
ผลที่จะได้รับก็คือการกระทำของท่านนั้นเอง
จะตามสนองท่านตามเหตุผลและผลในสิ่งกระทำที่จะ
ได้น้อมนำมาสู่ท่านทุกตัวคนนะท่าน
คำว่าสังขารร่างกายนี้มิใช่ตัวตนบุคคลเราเขา
ที่กล่าวนี้จะแยกตัดตอนออกให้เป็นส่วนๆ
เพื่อผู้ให้ปฏิบัติชาย-หญิงและนักบวชทั้งหลายใสสว่างแจ้งชัดให้รู้ว่า
อะไรเป็นอะไรจะไม่ได้ไป
ตกอยู่ในคำว่ามนุษย์
คนเราเกิดหนเดียวตายหนเดียว
ไม่มีอะไรเหลืออยู่
ตายแล้วก็สูญไปเท่านั้นเช่นนี้
ผู้ไม่รู้ตามความจริงของพุทธเจ้าบัญญัติ
ก็เลยหลงผิดไปตามๆกันทั้งหมด
เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั้นเอง
พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้โดยชัดเจนแล้ว
แต่ท่านบัญญัติรวมไว้เท่านั้น
ผู้ปฏิบัติไม่สนใจพิจารณาหรือไม่เข้าใจ
ก็เลยไปเชื่อผู้ที่พูดทำลายพุทธศาสนา
และทำลายตนของตนไปอีกด้วยว่า
ตายแล้วสูญไปเท่านั้น
ไม่มีอะไรเหลืออยู่เช่นนี้
ความนึกคิดที่หลงผิดก็เลยหลงผิดไปต่อๆไปอีกว่าบุญบาป
นรกสวรรค์นิพพานไม่มีเช่นนี้แหละ
เรียกว่าเป็นผู้หลงอยู่ในความมืด
ท่านเรียกว่าตาบอดสอดรู้หลงทางไม่ไต่ถาม
คำว่าสังขารร่างกายมิใช่ตัวตนบุคคลเราเขานี้จะตัดตอนออกได้ดั่งนี้
สังขารร่างกายชาย-หญิง
มิใช่ตัวตนสังขารร่างกายมิใชบุคคลนี้ส่วนหนึ่ง
ที่เราได้มาอาศัยอยู่
ส่วนจิตเจตสิกรูปส่วนนี้เป็นเราเขาเป็นของจริงเป็นสิ่งไม่ตายคือจิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน
เป็นตัวตนเราเขาทุกๆท่านดั่งนี้
จะแยกอีกต่อหนึ่งให้ผู้สงสัยเข้าใจได้เร็วๆขึ้นไม่มืดไม่เมา
คำว่าจิตเจตสิกรูปนิพพานนี้พุทธเจ้าบัญญัติรวมกันอยู่
คือดั่งนี้
จิตเจตสิกสี่คำนี้รวมกันเป็นรูป
หรือ
อยู่ในรูปอันเดียวกันนั้นคือตัวเรานั้นเอง
คือว่าตัวเรานี้แหละเข้าสู่พระนิพพานดั่งนี้
สำหรับท่านชาย-หญิงที่ละเว้นปราศจากตัณหาอาสวะจบสิ้นแล้ว
ท่านนั้นแหละเมื่อดับขันธ์แล้วต้องเข้าสู่ปรินิพพาน
พ้นจากภพชาติวัฏฏะสามแห่งความเกิดแก่เจ็บตายไม่มีอีกแล้วเป็นสุขอย่างยิ่ง
มีแต่รูปในรูปไม่มีสังขารกายเวทนา
เพราะว่ามนุษย์และสัตว์ทุกอย่างทุกๆ
วันนี้มีอยู่สามรูป
รูปนอกได้แก่สังขารกายเวทนานี้
1
รูปในได้แก่รูปเบญจขันธ์
2
รูปนี้ดับสูญไป
คงเหลืออยู่รูปในรูปคือจิตเจตสิกรวมเป็นรูปในรูปคือ
รูปเข้าพระนิพพานนั้นเอง
|
|

|
เวลา..วันที่..ขณะนี้... |
|
|
|
Created on..............:
Sat, Jul 13, 2002 |
ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด
23/10/2562 10:15:58
|
ติดต่อผู้ดูแล
web: webmaster@luangpochom.com
|
luangpochom
|

|
|
|
|