คำสวดมนต์

 

วิธีกล่าวคำสวดมนต์บูชาพระเมื่อได้ตั้งพิธี  และจุดธูปเทียนเรียบร้อยแล้วจึงว่า

 

อะระหังสัมมาสัมพุทโธ  ภะคะวา

พุทธัง  ภะคะวันตัง  อะภิวาเทมิ  

 

(กราบลงหนึ่งหน)  แล้วว่า

สวากขาโต  ภะคะวะตาธัมโม

ธัมมัง นะมัสสามิ

 

(กราบลงหนึ่งหน)  แล้วว่า

สุปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ

สังฆัง  นะมามิ

 

(กราบลงหนึ่งหน)   แล้วกล่าวคำสักการะบูชาต่อไปว่า

 

อิมินา  สักกาเรนะ   พุทธังอะภิปูชะยามิ

อิมินา  สักกาเรนะ     ธัมมังอะภิปูชะยามิ

อิมินา  สักกาเรนะ     สังฆังอะภิปูชะยามิ

แล้วให้ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า  ที่พระองค์ได้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง  แล้วว่า

นะโมตัสสะ  ภะคะวะโต  อะระหะโต  สัมมา  สัมพุทธัสสะ

นะโมตัสสะ  ภะคะวะโต  อะระหะโต  สัมมา  สัมพุทธัสสะ

นะโมตัสสะ  ภะคะวะโต  อะระหะโต  สัมมา  สัมพุทธัสสะ

แล้วให้ว่า  ปิติ 5 ถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย  ดังต่อไปนี้ 

 

                      1)  อุกาสะ  อุกาสะ  ข้าพเจ้าจะขอปิติ-ปิติ  บูชาคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

พระอุกธะกา   ปิติ  ปิติ  พระขันธิกา  ปิติ  ปิติ

พระอุบเพงฆา  ปิติ  ปิติ  พระภัณละ  ปิติ  ปิติ

               

      พระธรรมเจ้า  พระธรรมเจ้าอันสุขุมมะ  ในมโนทวาร  ในกายยะทวาร ในวจียะทวารแห่งกายข้าพเจ้า  บัดเดี๋ยวนี้เถิด  ขอพระนิพพานะปัจจะโยโหตุ  กราบลงว่า

พุทธัง  ชีวิตตัง  ยาวะนิพพานัง  สะระณังคัจฉามิ

 

                      2)  อุกาสะ  อุกาสะ  ข้าพเจ้าจะขอปิติ-ปิติฯ (ให้ว่าเป็นครั้งที่ 2  ตั้งแต่อุกาสะมา  แล้วถึงตอนจบกราบลง) แล้วว่า

ธัมมัง  ชีวิตตัง  ยาวะนิพพานัง  สะระณังคัจฉามิ

 

                      3)  อุกาสะ  อุกาสะ  ข้าพเจ้าจะขอปิติ-ปิติฯ (ให้ว่าเป็นครั้งที่ 3  ตั้งแต่อุกาสะมา  แล้วถึงตอนจบกราบลง) แล้วว่า

สังฆัง  ชีวิตตัง  ยาวะนิพพานัง  สะระณังคัจฉามิ

                      ผู้ปฏิบัติโดยยึดมั่นในสัจจธรรม   ปฏิบัติศีลด้วยสมุจเฉทมรณะ  ไม่มีวิจิกิจฉาคือ  เป็นผู้ไม่กลับกลอก  ไม่ยอมให้มืดบอดแล้ว  คือไม่ยอมสึกไม่ยอมลาสิกขาบทนั้นเอง  ผู้นั้นเวลากราบลงจึงว่า

 

                      พุทธัง  ชีวิตตัง  ยาวนิพพานัง  สรณังคัจฉามิ.  ธัมมังฯ  สังฆังฯ  ดังกล่าวแล้วข้างต้น  ส่วนที่เป็นคฤหัสถ์ครองเรือนอยู่นั้น  เวลากราบลงให้ว่า

พุทธัง  ยาวะนิพพานัง  สะระณังคัจฉามิ

 

ธัมมัง  ยาวะนิพพานัง  สะระณังคัจฉามิ  

 

สังฆัง  ยาวะนิพพานัง  สะระณังคัจฉามิ

 

                      โดยตัดคำว่าชีวิตตังออกเสีย  ต่อไปก็ถึงบทที่ระลึกพระพุทธคุณ  พระธรรมคุณ  และพระอริยสังฆคุณ  ว่าดังนี้

 

                      อิติปิโส  ภะคะวา  อะระหัง  สัมมาสัมพุทโธ  วิชชาจะระณะสัมปันโน  สุคะโต  โลกะวิทู  อะนุตตะโร  ปุริสะทัมมะสาระถิ  สัตถาเทวะมนุสสานัง  พุทโธ  ภะคะวาติ.  (กราบลงแล้วว่า)

 

พุทธัง  ชีวิตตัง  ยาวะนิพพานัง  สะระณังคัจฉามิ  

 

                      สวากขาโต  ภะคะวะตา  ธัมโม  สันทิฎฐิโก  อะกาลิโก  เอหิปัสสิโก  โอปะนะยิโก  ปัจจัตตัง  เวทิตัพโพ  วิญญูหิติ.  (กราบลงแล้วว่า)

ธัมมัง  ชีวิตตัง  ยาวะนิพพานัง  สะระณังคัจฉามิ

 

                      สุปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  อุชุปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  ญายะปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  สามีจิปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  ยะทิทัง  จัตตาริ  ปุริสะยุคานิ  อัฏฐะ  ปุริสะปุคคะลา  เอสะ  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  อาหุเนยโย  ปาหุเนยโย  ทักขิเณยโย  อัญชะลีกะระณีโย  อะนุตตะรัง  ปุญญักเขตตัง  โลกัสสาติ. (กราบลงแล้วว่า)

 

สังฆัง  ชีวิตตัง  ยาวะนิพพานัง  สะระณังคัจฉามิ

 

                      ส่วนคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนให้ตัดคำว่าชีวิตตัง  ออกเสียไม่ต้องกล่าวทั้ง 3 ตอน  อย่างเดียวกับที่เคยตัดออกในตอนก่อน

 

ต่อไปก็เป็นบทระลึกถึงคุณ

 

                      คุณพระพุทธ   คุณพระธรรม   คุณพระอริยสงฆ์  ศีลบารมี  ทานบารมี  คุณบิดา-มารดา  สมเด็จรุณ  อาจารย์นิลครูบาอาจารย์ที่ได้เล่าเรียนมา   คุณพระภูมิเจ้าที่แม่นางธรณีผู้มีฤทธิ์แก่กล้า  คุณพระปัจเจกพุทธเจ้า  และคุณพระอรหันต์ทั้งหมด  คุณแม่โพสพ  คุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทั้งที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี  และที่ยังยังชีพอยู่ทุกวันนี้ก็ดี  คุณพระอินทร์  คุณพระพรหม  คุณพระฤาษี  คุณพระนารายณ์  คุณเทพบุตร  เทพธิดา ซึ่งรักษามนุษย์  รักษาร้อยเจ็ดจักรวาล  ผู้รักษาทั้งแปดทิศ ตลอดถ้ำภูผาเคหสถาน  วัดวาอารามต่างๆ ขอคุณท่านจงได้รักษา  อุบาสก  อุบาสิกา  สมณะชีพราหมณ์ทั้งหลายในสากลโลกนี้  ให้อยู่เย็นเป็นสุข  ปราศจากภัยอันตรายเทอญฯ

 

                      ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิกรรมฐาน  เพื่อเป็นบุญเป็นกุศลแก่มนุษย์และเทวดามาร  ตลอดจนสัตว์โลกทั้งหลาย  ท่านจงคอยรับเอาส่วนบุญส่วนกุศลแห่งข้าพเจ้า  ซึ่งจะกระทำทั้งบัดนี้และบัดหน้าเทอญฯ

 

                      ถ้าเราจะทำพิธีขึ้นต่อพระธรรมก็บอกว่า ข้าพเจ้าจะขึ้นต่อพระธรรมตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ที่ได้เล่าเรียนมา  ขอให้มาบังเกิดในดวงจิตและดวงใจ  ในวาจาและแสงตาแห่งข้าพเจ้าบัดเดี๋ยวนี้เถิด

                      การทำพิธีขึ้นต่อพระธรรม  เป็นพิธีการขึ้นครูต่อพระธรรม  ซึ่งเป็นขั้นต่อไปนั้น  จะต้องมีเครื่องสักการบูชา  ดังนี้คือ

 

                      ผ้าขาวที่สะอาดหนึ่งวา  ธูปสิบดอก  เทียนสิบเล่ม(ขนาดเล็ก)  ยาวขนาดนิ้วชี้ของผู้ที่ขึ้นต่อคุณพระธรรมนั้น (เทียนขนาดเล็กเท่าหญ้าคา  ห้ามใช้เทียนที่โตกว่านั้น)   พร้อมเงินอีกหกบาท ใส่พานบูชาไว้หน้าพระพุทธ  โดยไม่ต้องจุด  ถ้าจะเข้าพิธีคราวหลังจะใช้ของเก่าก็ได้  ชำรุดแล้วเปลี่ยนใหม่ก็ได้  ส่วนธูปเทียนที่จุดบูชานั้นต้องหามาต่างหาก  เข้าพรรษาครั้งหนึ่งให้แต่งเครื่องบูชาครั้งหนึ่งเสมอไปทุกปี   ในพรรษานั้นภิกษุจะต้องอาศัยอยู่ในวัด  คฤหัสถ์ต้องอาศัยอยู่ในบ้าน  อยู่ในที่ที่อยู่อาศัยประจำ   จะออกไปไหนเกินเจ็ดวันไม่ได้ถ้าออกไปทำธุระที่ไหนเกินเจ็ดวัน   พระธรรมพระวินัยท่านไม่อนุญาตอาจได้รับโทษ  เว้นแต่เรามีเหตุผลตามพุทธบัญญัติเท่านั้น  คำสวดมนต์ที่ขึ้นต่อพระธรรม  มีสามคำเท่านั้นคือ “อนิจจัง” ว่าดังๆ  ให้ได้ยินทั้งสองหู  ว่าเรื่อยๆ ไปจนกว่าจะพูดภาษาพระธรรมได้  หมายความว่าขณะที่เรานั่งสมาธิท่อง “อนิจจัง”  อยู่นั้น  เสียงคำว่าอนิจจังซึ่งดังอยู่  ได้ยินอยู่นั้นจะหายไป  และจะได้ยินคำบาลี  คือ   คำพูดที่เป็นพระธรรมคล้ายเสียงสวดมนต์ดังขึ้นแทน  ดังขึ้นที่ปากก็จะพูดภาษาบาลีไปหมดนั้นเอง  นี้คือพระธรรมท่านเกิดขึ้นแล้วแก่ผู้ปฏิบัติแต่ยังแปลไม่ออก  จนกว่าจะปฏิบัติถึงขั้นสูงไปอีก  เมื่อเราต้องการจะอาราธนาพระธรรมท่านมาสวดมนต์  หรือให้ท่านมาแสดงพระธรรมเทศนา  ให้เราระลึกถึงพระพุทธคุณ-พระธรรมคุณ-พระอริยะสังฆคุณ  ทำจิตให้เป็นสมาธิมีจิตไม่หวั่นไหว  คือ  ขาดจากสัญญาอารมณ์และนิวรณ์ต่างๆ ที่มากวนแล้ว  มีสติ  คือรู้อยู่อย่างเดียว  พระธรรมท่านจะมาปรากฏให้เห็นทางตาใน หรือทางญาณ  จะสวดมนต์หรือแสดงธรรมเรื่องอะไร  อาราธนาบอกกล่าวพระธรรมแล้ว   ถ้าท่านรับนิมนต์แล้วจะทำได้ทั้งนั้น  ไม่ติดขัดตั้งแต่ต้นจนจบทีเดียว  เราจะน้อมจิตให้ท่านมาอยู่ข้างหน้าก็ได้  มาอยู่ข้างหลังหรือข้างบนก็ได้   พูดเป็นไทยก็ได้พูดเป็นบาลีก็ได้  พระธรรมนี้ท่านเป็นอรูปเคลื่อนได้  ปรากฏให้เห็นได้ 

 

                      ผู้ปฏิบัติคนใดที่ได้ทำพิธีถวายชีวิตขึ้นต่อพระธรรมแล้วนั้น  ห้ามไม่ให้ล่วงศีลสิกขาบท  ถ้าล่วงศีลสิกขาบทแล้วทิ้งๆ ไว้นานๆ  จะเกิดอันตราย  อาจจะถึงเสียชีวิตก็ได้  ฉะนั้นถ้าหากรู้ตัวว่าผิดศีลสิกขาบทข้อหนึ่งข้อใดแล้วไซร้  ต้องรีบรับสารภาพผิดต่อพระธรรมรับผิดกับท่านเสีย  แล้วบอกว่าจะไม่พยายามล่วงเกินอีก  ไม่ปล่อยไว้นานจนเกินไปซึ่งอาจทำให้เสียสติและเป็นไปต่างๆ นานา   พระธรรมมีคุณล้นเหลือประมาณมิได้   ท่านจะเป็นผู้แนะนำให้ผู้ปฏิบัติเป็นไปแต่ในทางโลกุตระธรรมแต่อย่างเดียว  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์ท่านก็เคารพพระธรรม  จึงตรัสไว้ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ดังนี้ 

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:17:08

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom