-
ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
|
|
-
ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
ความจริงก็คือสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นเอง
ความไม่เที่ยงนี้ตายไม่เป็นมีความทุกข์อยู่เสมอ
ๆ ไป
จะหาที่จะสิ้นสุดลงมิได้เลย
มีความนึกคิดเปลี่ยนแปลงจะหาเอาดีอยู่เสมอ
ๆ ไป
เลยเวียนว่ายเกิดตายจะหาทางที่จะสิ้นสุดลงในความนึกคิดของตนมิได้เลย
จะหาดีก็ไม่ได้จะหาได้ก็ไม่ดี
เพราะความจริงที่เป็นสิ่งไม่ตายนั้นเอง
ความตายนั้นเป็นความแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง
หนึ่งไม่มีสอง
แต่อย่างใด
อย่าประมาท
ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย
ท่านเหล่าใดเกิดมาเป็นมนุษย์ชาย
หญิงคนเราแล้วไปถือเอาความประมาทว่ามนุษย์คนเราจะไปสวรรค์
นิพพานไม่ได้ดอก
คำพูดเช่นนี้แหละเป็นคำประมาทตนและผู้อื่นว่าไปไม่ได้
ท่านเหล่านี้เป็นผู้หลงตายเสียแล้ว
เป็นผู้เวียนว่ายเกิดตายอยู่เสมอ
ๆ
ไปจะหาทางที่สิ้นสุดลงมิได้เลย
เพราะเป็นผู้หลงอยู่ไม่รู้ความตายว่าเป็นทุกข์หรือเป็นสุขจะหารู้ได้ไม่
ท่านเหล่านี้เรียกว่าเป็นผู้อัปมงคล
ไม่รู้มงคล 38
แต่อย่างใด
มนุษย์คนเราชาย
หญิงก็ตามเกิดมาแล้วเปรียบได้เหมือนกับเถาวัลย์ที่เลื้อยไปตามดิน
โดยธรรมชาติที่จะโผล่ขึ้นสูงด้วย
ตนเองนั้นมิได้มีแต่จะเลื้อยไปตามดินเท่านั้น
เถาวัลย์ใดมีสติปัญญาก็ต้องอาศัยต้นไม้ที่จะเกาะขึ้นได้เป็นที่อาศัยเกาะพันขึ้นไปตามต้นไม้ใหญ่
ๆ
ที่แข็งแรงถาวร
เถาวัลย์นั้นก็ต้องอาศัยต้นไม้นั่นเอง
ถึงจะโผล่ขึ้นสูงได้ใหญ่โตสามารถโผล่ยอดไม้ได้ไปถึงที่สุด
ก็ต้องอาศัยต้นไม้นั่นเอง
เพราะต้นไม้เป็นมงคลของเถาวัลย์อยู่แล้ว
ตามธรรมดาเถาวัลย์นั้นจะโผล่ขึ้นสูงด้วยตนเองมิได้เลย
มีแต่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจะเหยียบย่ำทำลายอับเฉาตายไปท้ายที่สุด
หมู่ท่านทั้งหลาย
ให้พิจารณาเอาเยี่ยงเถาวัลย์นั้นเถิด
ภิกษุ
สามเณร
ชี
พราหมณ์นักบวชทั้งหลายก็ต้องอาศัยศีลและธรรมเป็นที่ขึ้นที่อาศัยถึงจะไปถึงที่สูงสุด
เพราะศีลธรรมก็เป็นมงคลของผู้ปฏิบัติอยู่แล้ว
มนุษย์ชาย
หญิงก็ต้องอาศัยบิดามารดา
ครูบาอาจารย์
ถึงจะเติบโตถึงจะมีความรู้อันดีงามได้
เพราะว่าบิดา-มารดา-ครูบาอาจารย์
ก็
เป็นมงคลแก่บุตรธิดาศิษยานุศิษย์อยู่แล้ว
การอาศัยตนเองนั้นต้องอาศัยธัมมะให้ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของบิดามารดา
ครูบาอาจารย์
ตามประเพณีอันดีงาม
เราต้องอาศัยตนของตนด้วยความพิจารณาให้รู้เหตุและผลด้วยสติปัญญาให้รู้ดีและชั่ว
เราถึงจะอาศัยตนของตนเองนั้นได้
ก็เพราะมูลนั้นเองเป็นธัมมะ
ธัมมะนั้นแหละเป็นคำสั่งสอนเนื่องมาจากบิดามารดาครูบาอาจารย์
เราต้องอาศัยตนของตนเองด้วยสติปัญญาเหตุผลในธรรมเหล่านั้น
เราไม่ควรไปเชื่อและถือในความล่อลวงของผู้อื่นในเรื่องชู้สาวด้วยความรักของตนเอง
ว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัย
ให้เราอาศัยตนของตนเป็นที่พึ่งของตนด้วยสติปัญญาหาทางโดยปลอดภัย
ใจของมนุษย์และสัตว์คนเราทุก
ๆ
คนไม่ว่าท่านชาย
และหญิงมันโง่อยู่แล้ว
ตามธรรมชาติความเขลา
พระพุทธองค์ท่านถึงให้มีสติปัญญารักษาใจของตนให้ดีงาม
อย่าไปเอาผู้อื่นเขามาใส่ใจตน
เพราะว่าใจนั้นมันเป็นลมนะท่าน
ลมต่อลมพอได้ยินหรือเห็นกันเข้า
มันก็จะกระทบกันทันทีจะดีหรือชั่วก็ตามแต่ใจของบุคคลนั้น
ๆ
มันจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะความนึกคิดของตนนั้นเอง
ก็เพราะตนของตนเป็นที่พึ่งของตน
เราก็ให้รักษาใจของตนให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมตามประเพณีอันดีงามก็คือใจของตนนั่นเอง
ลมทางใจนี้ไม่มีผู้ใดจะรักษาให้กันได้
มีแต่ตนของตนเป็นที่พึ่งของตนเท่านั้น
ถึงจะรักษาใจของตนเองได้
ต้องใช้สติปัญญาเอาสิ่งที่ดีรักษาตนเอง
อย่าให้ใจเราไปหลงใหลไปตามใจผู้อื่นเขา
จะเกิดไฟเผาตนเอง
เราต้องอาศัยเมตตาสามัคคีธรรมข่มอำนาจใจเราเอง
โดยไม่รักไม่เกลียดแก่ท่านเหล่าใด
ศีลและธรรมก็ดี
ธัมมะอันใดใดก็ดี
เราต้องใช้ปัญญาของเราเองพิจารณาอันเป็นสิ่งใคร่ครวญรักษาใจของตนเอง
เราต้องกลั่นกรองเอาอารมณ์ที่ดีเข้ามาใส่ใจเราไว้จิตเราถึงจะดีและสว่างไสวได้
เพราะจิตเราเป็นไฟอยู่แล้วทุกตัวคนชายและหญิง
จิตเราท่านชาย
หญิงให้แสงสว่างอยู่แล้วเหมือนแก้วสารพัดนึก
มีกระแสวิ่งเร็วยิ่งกว่าแสงปรมาณูร้อยเท่าอยู่แล้ว
สำหรับจิตเราอย่างเดียวอย่างหนึ่งไม่มีสองนะท่าน
|
|
-
หนึ่งไม่มีสองนี้แปลว่า
สิ่งอันใดในโลกจักรวาลภพทั้งสามที่มนุษย์และสัตว์ที่เวียนว่ายเกิดตายอยู่นี้
จะยิ่งกว่าจิตย่อมไม่มีนะท่าน
เพราะแสงกระแสจิตเป็นสิ่งไม่ตาย
ยึดที่ไหนติดที่นั่น
ยึดดีก็จะดี
ยึดชั่วก็จะชั่ว
ไปตามอารมณ์ของใจ
เพราะใจเป็นลม
ข่มอำนาจิตอยู่เสมอ
ๆ
ท่านจะรักษาตนให้เป็นที่พึ่งของตน
ก็ให้รักษาใจของตนนั้นให้ดีให้สงบ
แล้วผลดีถึงจะเกิดถึงจะมีขึ้น
เพราะใจนั้นแหละมันอาละวาดตนและผู้อื่นอยู่มันถึงไม่มีอันใดจะดีเกิดขึ้นได้เลย
กลายเป็นโลภโกรธหลงกันไปทั้งหมด
สิ่งเหล่านี้แหละจะทำลายตนและผู้อื่น
ทำลายประเทศชาติบ้านเมืองให้พินาศไป
ก็เพราะใจเป็นลมที่ชั่วนั่นเอง
เราให้เรียนรู้ในสิ่งที่ผิดที่ไม่ดีอัปปรีย์จัญไรนั้น
ๆ ให้มาก ๆ
ที่สุด
เราถึงจะรู้เหตุและผล
แม้แต่เราเรียนศีลธรรม
ธัมมะ
กฎหมายและวินัยอันใดใดก็ดี
ท่านให้รู้ในสิ่งที่ผิดที่ไม่ดีนั้นเอง
ท่านให้ละเว้นในสิ่งที่ผิดที่ไม่ดีทั้งหมดไม่ใช่หรือ
ศีลธรรมก็ดี
ธัมมะก็ดี
กฎหมายก็ดี
วินัยก็ดี
เป็นข้อห้ามไม่ให้กระทำตามข้อห้ามนั้น
ๆ มิใช่หรือ
ท่านให้ละเว้นไปตามข้อห้าม
ข้อห้ามนี้เป็นสิ่งที่ผิดที่ไม่ดีเป็นเสนียดจัญไรที่จะทำลายตนเอง
และผู้อื่นทั้งปวงญาติตระกูลและชาติที่กำเนิดมา
โดยตนไม่รู้ในความผิดในความไม่ดี
ไม่รู้ในความชั่วไปหลงเอาแต่ใจตนเอง
เพราะตนยังไม่ทันได้เรียนรู้ในทางที่กระทำผิดให้มาก
ๆ
ให้รู้ในทางสิ่งที่กระทำผิดที่ไม่ดีที่ชั่วเลวทราม
ว่าทางสายนี้ไม่ดีไม่งาม
เป็นสิ่งที่น่าเกรงกลัวเป็นสิ่งที่น่าสยดสยอง
เราก็จะไม่นึกไม่คิดไม่กระทำไปตามในสิ่งที่ผิดที่ไม่ดี
เราจะได้เลิกจากการกระทำในสิ่งที่ชั่วได้
เพราะเราเรียนในสิ่งที่กระทำผิด
ที่กระทำไม่ดี
ที่กระทำความชั่ว
เรารู้แล้วในธรรมเหล่านี้เป็นธรรมอกุศล
เป็นทางอัปมงคล
ธรรมเหล่านี้มนุษย์ชาย
หญิงจะกระทำไปตามไม่ได้เพราะได้เรียนรู้มาแล้ว
ท่านเหล่านั้นย่อมไม่กระทำในสิ่งที่ชั่วไปได้อย่างใด
เพราะท่านเรียนรู้ในสิ่งผิดที่ไม่ดีในสิ่งที่ชั่วจนจบแล้ว
ก็จะเลิกได้ในท้ายที่สุดความดีก็จะเกิด
ก็จะมีขึ้นในทางกาย
ทางวาจา
ทางใจของท่านเหล่านั้น
เพราะท่านเหล่านั้นรู้ในทางที่ผิดที่ไม่ดีที่ชั่วแล้ว
ท่านเหล่านั้นย่อมจะไม่กระทำผิดแต่อย่างใด
มิใช่ทางจิตใจของมนุษย์ชาย
หญิงพึงจะกระทำเช่นนั้นแต่อย่างใด
ผู้ไม่ได้เล่าเรียนอบรมให้รู้ในสิ่งที่ผิดที่ไม่ดีในสิ่งที่ชั่วแล้ว
ท่านเหล่านั้นย่อมกระทำผิดอยู่เสมอ
ๆ ไป
เพราะตนยังไม่รู้ในทางที่ผิดนั้น
ๆ
ว่ามันเป็นอย่างไร
เพราะตนไม่ได้เล่าเรียนอบรมมานั่นเอง
ถึงเป็นตนของตนเป็นที่พึ่งของตนไม่ได้
เพราะว่าท่านเหล่าใดจะถือตนเองจะเชื่อตนเอง
ตนของตนจะเป็นที่พึ่งของตนได้นั้น
ต้องเล่าเรียนอบรมให้พิจารณาในตนให้รู้แจ้งในทางผิดทางไม่ดี
ในทางที่ชั่วให้มากที่สุด
จนให้จบเสียก่อนขนาดว่าเรารู้จนจบแล้วก็ยังไปแพ้ปัญหาของผู้หญิงอยู่นะท่าน
เพราะมนุษย์ชายหญิงจะฉ้อราษฎร์บังหลวงกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะปัญหาผู้หญิงนั่นเอง
มีมาแต่ตั้งแผ่นดินโน้น
ปัญหาเหล่านี้สำหรับโลกกามภพนี้
ถ้าเรารู้คำผิดคำไม่ดีคำชั่วสามอย่างนี้จบแล้วท่านชาย
หญิงเหล่านั้นแหละเป็นตนของตนเป็นที่พึ่งของตนเองได้โดยถูกต้องเป็น
อัตตาหิ
อัตตโน นาโถ
ที่พึ่งของตนได้โดยสมบูรณ์
เป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่าทันสังขารตนและผู้อื่นได้ถูกต้อง
เพราะว่ามนุษย์และสัตว์มีหัวใจเป็นมูล
ท่านจึงให้รักษาใจของตนนั้น
บางท่านก็ไม่รู้ที่จะรักษารู้แต่นามเท่านั้นว่าใจไม่รู้ว่าอะไรเป็นใจ
เลยรักษาไม่ถูก
คือจิตนั้นเป็นไฟ
ใจนั้นเป็นลม
โดยความเป็นอยู่ของมนุษย์และสัตว์
ลมภายนอกกับไฟภายนอกต้องอาศัยซึ่งกันและกันอยู่
และ
ลมภายในกับไฟภายในก็ต้องสงเคราะห์นั้น
ๆ
ท่านถึงให้รักษาใจของตนนั้นให้ดูลมหายใจเข้า
ออก
ว่าสั้นหรือยาวให้รู้ด้วยนั้นแหละเรียกว่ารักษาใจของเราโดยสติปัญญา
ตัณหาพญามารความอยากความหึงหวงความกลัวที่จะเกิดขึ้นในอารมณ์ต่าง
ๆ
เราก็ให้รู้เท่าทัน
เพราะเรารักษาใจดูลมหายใจเข้าออกของเราอยู่เป็นเนืองนิตย์
ฯ
|
|
-
ให้ระลึกถึงความตายที่จะมาถึงสังขารตน
โดยความไม่ประมาทเถิด
ความประมาทเป็นความหายนะโดยไม่มีปัญหา
จะกลายเป็นผู้โง่เขลามืดมนจนถึงที่ตายได้ถึงตนและผู้อื่น
กามความกำหนัดให้เกิดความรักความหึงหวงทำให้เกิดเป็นความพยาบาทอาฆาตจองเวร
ทำให้เห็นผิดเป็นถูก
เห็นความไม่ดีเป็นที่รักชอบใจของตนเอง
เห็นความชั่วว่าพอใจของตนโดยไม่รู้ว่าภัยจะมาถึงตนเอง
เพราะตนไม่รู้ในสิ่งที่ผิดที่ไม่ดี
เพราะตนไม่รู้ในสิ่งที่ชั่วเลวทรามเป็นทางฉิบหายถึงตายได้
เพราะโกงหวังเอายศเอาศักดิ์
เอาทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นของตนความนึกคิดเช่นนี้มีอยู่ในตนของตนเองทุกคน
ความที่จะเอาแพ้เอาชนะอันนี้มันก็มีอยู่ในตนของตนเอง
ความผิดความไม่ดี
ความชั่วช้าลามกสิ่งใดใดก็มันมีอยู่ในตนของตนอยู่แล้ว
เราต้องเล่าเรียนพิจารณาให้รู้ให้มาก
เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตนของตนเอง
เราให้รู้เท่าทันในความนึกคิดของตนเอง
ความนึกคิดนี้มันดีหรือชั่วเช่นนี้
ถ้าเราไม่ได้เล่าเรียนพิจารณาให้มันมากในทางผิดในทางไม่ดีในทางชั่ว
ให้รู้ให้มากแล้วเราจะนึกจะคิดอะไรจะทำอะไรลงไป
ก็ย่อมผิดและเสียหายไปได้
ก็จะเกิดความผิดความไม่ดีความชั่วได้
เพราะเราไม่รู้ซึ้งถึงเหตุผลนั้น
ๆ
ได้ที่มันมีอยู่ในตนของตนนั้นเอง
ผู้ที่ถือตนเองเชื่อตนเองอาศัยตนของตนเอง
จะต้องให้เรียนรู้ในทางที่ผิดที่ไม่ดีในทางที่ชั่ว
ที่มีอยู่ในตนให้มันจบเสียก่อน
ถึงจะอาศัยตนของตนเองได้
เพราะเราเอาชนะตนของตนได้แล้ว
เราก็อาศัยตนของตนได้
ความสงสัยไม่มีแก่เราแต่อย่างใด
เพราะความผิดไม่มีแก่เราแล้ว
ความไม่ดีก็ไม่มีแก่เราแล้ว
ความชั่วก็ไม่มีแก่เราแล้ว
เพราะเราเอาชนะตนของตนได้แล้ว
ก็เป็นตนของตน
เป็นที่พึ่งของตน
เพราะไม่เชื่อในความทะเยอทะยานอยากแต่อย่างใด
เราไม่เชื่อไม่ถือในการหึงหวงแต่อย่างใด
เราไม่เชื่อถือในการกลัวแต่อย่างใด
แต่เราเป็นผู้ขยันหมั่นเพียรมีขันติความอดทนซื่อสัตย์มีเมตตาสามัคคีธรรม
เพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่นให้ถึงพร้อมขั้นบรรลุ
ในความหมายนั้น
ๆ
มิใช่ความทะเยอทะยานอยากแต่อย่างใด
เราเป็นผู้ประหยัด
เพื่อแจกจ่ายในคราวจำเป็น
โดยสามัคคีธรรมอันดีงาม
มิใช่ตระหนี่หึงหวงแต่อย่างใด
เราเป็นผู้เก็บออมรอมริบเพื่อมีไว้
มิใช่กลัวอดกลัวอยาก
กลัวผู้อื่นเขาจะนินทาอย่างนั้นก็หาได้ไม่
โลกธรรมแปดโลกวัชชะไม่มีแก่เราอย่างใด
ฯ
|
|
-
เราอาศัยเลิกละจากสิ่งที่ชั่ว
เราประพฤติสิ่งที่ดี
เราอาศัยเลิกละในทางฉ้อโกงในคำส่อเสียดเบียดบังอำพรางตนและผู้อื่น
แย่งยศแย่งศักดิ์จากผู้อื่นดังนี้ไม่มีแก่เรา
เราอยู่ด้วยความเมตตาสามัคคีธรรมให้ถึงพร้อมในหมู่คณะชาย
หญิงในโลกนี้เราอาศัยความสงบจิตใจของเรา
เราปราศจากสิ่งเศร้าหมองจิตใจทั้งปวง
เราอาศัยตนของตนเป็นที่พึ่งของตนโดยความสงบเป็นมูลดังนี้ถึงจะเรียกว่าเราอาศัยตนเอง
หัวคิดเราเองได้โดยถูกต้องด้วยสติปัญญา
เราอาศัยความดีที่เราได้รับมาจากคำสั่งสอนผู้ที่ท่านรู้มาก่อนเห็นมาก่อน
ให้เราสละสิ่งที่ชั่วออกจากใจเราไปได้เป็นพระคุณอย่างยิ่ง
คือพระพุทธเจ้าเป็นต้นมาเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
บิดามารดาครูบาอาจารย์ท่านถึงได้จำเอาคำสั่งสอนที่ดี
ให้เลิกจากความประพฤติชั่ว
ท่านถึงจะได้เอามาอบรมเราให้รู้ในทางที่ผิดที่ไม่ดีที่ชั่ว
สิ่งที่ชั่วเปรียบได้เหมือนนำโคลนตมที่สกปรกนั้นเอง
ถ้าใจเราคิดชั่วก็เหมือนนำที่กล่าวมานั้นเอง
เราให้เป็นผู้มีสติปัญญากลั่นกรองเอานำมันให้ได้ให้ใสสะอาด
เรากลั่นกลับไปกลับมาหลาย
ๆ หน
น้ำที่ขุ่นมีโคลนตมก็จะใสสะอาดเป็นน้ำกลั่นที่บริสุทธิ์ก็จะเกิดมีราคาขึ้น
เพราะความใสสะอาดนั้นเอง
จิตใจชาย
หญิงท่านเหล่าใดก็เช่นกัน
ก็ต้องใช้ความกลั่นกรองพิจารณาในเหตุและผลให้รู้ในสิ่งที่ดี
ให้เกิดให้มีขึ้นอยู่ในตน
เราถึงจะพึ่งตัวเราได้อาศัยตัวเราได้
ถ้าเราไม่กลั่นกรองหรือตรึกตรองจิตใจเราให้ใสสะอาดแล้ว
ท่านเหล่าใดจะมาไตร่ตรองให้เราได้
มีแต่ผู้เฉลียวฉลาดมีสติปัญญามาแนะนำให้ท่านด้วยศิลปศาสตร์
ให้ท่านได้รู้ได้จำเอาไปพิจารณาไตร่ตรองให้ใสสะอาดปราศจากในสิ่งไม่ดีไม่สะอาด
เราต้องทำตนเองเราต้องอาศัยตนเอง
ท่านถึงได้เรียกว่าตนของตนเป็นที่พึ่งของตนแล
ฯ
|
|