-
ทำไมต้องให้รู้บุญรู้คุณ
|
|
-
ถ้าท่านไม่รู้บุญไม่รู้คุณโดยความเคารพแล้ว
ท่านจะหาปัญญามาจากที่ใดกันเล่า
ก็มีแต่โทสะพยาบาทฆ่ารันฟันแทง
ทำให้ความพินาศฉิบหายตายกันไปทั้งโลกเท่านั้นเองเพราะไม่รู้บุญไม่รู้คุณนั่นเอง
บิดามารดาผู้เป็นผู้ให้กำเนิดสังขารกายท่านชาย
หญิงที่เกิดมาร่วมโลกมนุษย์คนเรานี้ทุก
ๆ คนไป
ท่านก็มีพระคุณแก่เรา
ครูบาอาจารย์ที่ท่านสั่งสอนให้รู้อ่านออกเขียนได้ตามคำปริยัตินั้น
ๆ
ท่านก็มีพระคุณแก่เรา
ชาติคือความเกิดของท่านนั้นเอง
ศาสนาก็คือคำสั่งสอนให้เรารู้ดีรู้ชั่วนั้นเอง
พระมหากษัตริย์ก็คือประมุขเป็นหลักแน่นหนาในประเทศนั้น
ๆ
ให้สามัคคีกันด้วยจิตใจใน
ชาติ
ศาสนา
พระมหากษัตริย์
ด้วยความจริงใจ
ทุกคนในชาติมีจิตใจรักสันติเสมอกัน
มิได้เห็นแก่ปากแก่ท้องแต่อย่างใด
มีขันติอดทน
วิริยะ
เป็นคนขยันหมั่นเพียรในกิจการงานหน้าที่มนุษย์
ไม่เชื่อฟังคำยุยงป่วนปั่นปลุกระดมประท้วงเพื่อที่จะให้แตกแยกความสามัคคีกัน
อันนี้เป็นลัทธิของตัณหาพญามาร
ที่เขาจะขนสัตว์และมนุษย์ลงไปสู่นรกหมกไหม้ในลัทธินั้น
ๆ
เราทุกคนสมควรให้รู้ไว้
ในลัทธิมหาประลัยมันเกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์และสัตว์นั่นเอง
เราต้องเป็นผู้ฉลาดมีสติปัญญาเอาทานศีลภาวนามาป้องกันจิตใจเราทุก
ๆ คนไป
ถึงจะได้ไม่ตกนรกนะท่านชาย
หญิง
|
|
-
นรกคือความทุกข์ความเร่าร้อนในตนและผู้อื่น
นรกที่จะเกิดขึ้นได้นั้นก็เกิดขึ้นด้วยความนึกคิดในทางชั่ว
ในทางที่เห็นผิดของตนนั้นเอง
ศีลจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะความนึกคิดที่เราจะประพฤติปฏิบัติทำจิตใจเราให้มันดี
เป็นสายทางสบายของเราไม่ให้มีความเร่าร้อนในตนและผู้อื่น
ธรรมนั้นได้แก่ความนึกคิดของตนนั้นเอง
เราจะปล่อยวางละเว้นในสิ่งที่เศร้าหมองในทางจิตใจเรา
เราไม่รับในอารมณ์ทั้งภายในและภายนอก
เรานึกคิดเอาตั้งแต่สิ่งที่เป็นสุขสิ่งที่สงบเข้ามาสู่จิตใจเราเอง
สิ่งทั้งปวงได้แก่ความนึกคิดด้วยกันทั้งหมด
เราท่านเกิดมาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ชาย
หญิงแล้วในขณะนี้
เรามิได้เป็นสัตว์เดรัจฉานแต่อย่างใด
เราอย่าไปหลงในทางอันไปได้แก่ความนึกคิดของตนเองนั้น
ฯ
|
|
-
ทางที่จะนึกจะคิดมีอยู่สามทางเท่านั้น
เรานึกคิดไปในทางประกอบทุกข์อยู่ก็เป็นทางอบายมุขอบายภูมิคือทางไปนรกนั้นเอง
เรานึกคิดในทางดีทางสบายจิตใจเรา
ในทางเย็นที่อิ่มใจเราดังนี้
เป็นทางนึกคิดไปทางสวรรค์แน่นอน
เรานึกคิดให้จิตใจเรามีแต่ความสุขสงบแต่อย่างเดียวนึกคิดเช่นนี้เป็นทางพระนิพพาน
นะท่านชาย
หญิง
ได้แก่ความนึกคิดของเรานั้นเอง
พุทธศาสนาสั่งสอนให้ท่านชาย
หญิงรู้ในทางประพฤติดี
นึกคิดดีให้รู้ถึงคุณ
คุณอย่างหนึ่งเป็นคำสั่งสอนเนื่องมาจากพุทธศาสนา
ครูบาอาจารย์สั่งสอนให้มีสติปัญญา
ให้เป็นคนมีความอดทนขยันหมั่นเพียรซื่อสัตย์
ให้รู้จักพระคุณที่ท่านสั่งสอนอบรมให้ปัญญาความรู้แก่เรามาเราสมควรเคารพอยู่เสมอ
ๆ
ในคุณความดีนั้น
ๆ
เราอย่าไปลบหลู่ในคำสอนที่ดีแก่เรา
คุณอีกอย่างหนึ่งคือ
ชาติที่เราเกิดมาจากบิดามารดา
พระมหากษัตริย์ที่เป็นประมุขของประเทศที่เราอาศัยอยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษปู่
ย่า
ตา
ยายของเรา
เราไม่ควรไปลบหลู่พระคุณท่านเราอย่าไปเห็นผิดนึกผิดว่าบิดามารดา
พระมหากษัตริย์ที่เป็นประมุขของชาติที่เราเกิดมา
ว่าท่านไม่ทำให้เรารวย
เราจะไปนับถือทำไม
เช่นนี้เป็นความนึกคิดที่อกตัญญูต่อบิดามารดาพระมหากษัตริย์
ถ้าท่าไม่รักเราท่านจะให้เราเกิดมาเป็นมนุษย์คนเรามาร่วมโลกนี้ทำไมถ้าท่านเกลียดเราท่าน
ไม่รักท่านก็ต้องฆ่าเราตั้งแต่อยู่ในท้องของท่านแล้ว
หรือถ้าท่านคลอดออกมาใหม่
ๆ
ท่านก็เอาโยนลงน้ำไปแล้ว
หรือถ้าท่านคลอดออกมาใหม่
ๆ
ท่านเอามีดสับให้เป็นชิ้น
ๆ
แล้วนำไปเผาหรือฝังเสียก็ได้
ท่านจะเลี้ยงไว้ให้เติบโตมาทำไมกัน
เราอย่าไปนึกคิดในทางอกตัญญูเป็นผู้ไม่รู้จักคุณท่าน
ให้พิจารณากันเอาเองเสียบ้าง
สิ่งอันใดให้ความเป็นอยู่
สิ่งอันใดให้ความหล่อเลี้ยงชีวิตสังขารของท่านให้เติบโตมา
สิ่งอันใดดูแลท่านมาตั้งแต่เกิด
สิ่งอันใดให้ความรู้สึกนึกคิดแก่ท่านมา
สิ่งอันนั้นเป็นคุณแก่ท่านทั้งหมด
ท่านจะไปหาว่าไม่ดีได้อย่างไร
|
|
-
เธออย่าไปเห็นแก่ปากแก่ท้องของเธอเท่านั้น
โดยไม่รู้จักคุณและประโยชน์เสียเลยไปหลงวัตถุยศถาบรรดาศักดิ์ชื่อเสียงเงินทอง
ว่าเป็นชีวิตของท่านโดยไม่รู้คุณประโยชน์ของสังขารตนและผู้อื่น
ว่ามีคุณอย่างไร
วัตถุข้าวของ
เงินทองยศถาบรรดาศักดิ์จะเกิดจะมีขึ้นได้
ก็เพราะสังขารตนและผู้อื่น
ที่ท่านเลี้ยงเรามานั่นเอง
ถ้าท่านหลงลืมคุณของท่านแล้วโลกอีกต่อไปก็เพราะบุญคุณนั้นเองไม่ต้องสงสัย
เพราะบุญคุณเป็นใหญ่ในโลกจักรวาลภพทั้งสามอยู่แล้ว
ให้ความเป็นสุขเสมอ
ๆ มานะท่านชาย
หญิง
บุญคุณหมายถึงโลกและธรรมพระพุทธเจ้าสั่งสอนให้รู้ซึ้งโลกและรู้ซึ้งธรรม
โลกคือสังขารของมนุษย์และสัตว์นั้นเอง
ธรรมก็คือจิตใจที่นึกคิดอยู่นั้นเอง
ให้รู้ซึ้งโลกก็ให้รู้ซึ้งเท่าทันสังขารตนและผู้อื่นนั้นเอง
รู้ซึ้งธรรมก็ให้รู้ซึ้งในความนึกคิดในทางจิตใจของท่านนั้น
มันมีเหตุมีผลอย่างไรบ้าง
มันเป็นทุกข์หรือเป็นสุขให้รู้เท่าทันอยู่เสมอ
ๆ
ทุกลมหายใจว่าดีหรือชั่วในความนึกคิดนั้น
ๆ
ถ้าเราไม่รู้ซึ้งโลกเราก็ไม่รู้ทุกข์เท่านั้นเอง
ถ้าเราไม่รู้ซึ้งธรรมเราก็ไม่รู้ดีไม่รู้ชั่วเท่านั้น
เพราะความนึกคิดเป็นเหตุเป็นผลอยู่ด้วยกัน
ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือนักบวชชายหญิงก็ต้องให้รู้ซึ้งโลกและรู้ซึ้งธรรมด้วยกันทั้งนั้น
ถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรไปได้นะท่านชาย
หญิง
ถ้านึกคิดให้เกิดเหตุชั่ว
ผลที่เราจะได้รับต่อ
ๆ
ไปก็จะเป็นผลที่ชั่วเหมือนกัน
ถ้าเรานึกคิดในทางเหตุดีผลที่เราจะได้รับต่อ
ๆ ไป
ก็จะเป็นผลที่ดีเหมือนกัน
ผลร้อนที่เรานึกคิดเราก็จะได้รับร้อนเหมือนกัน
ผลความรักถ้าเราให้เกิดเป็นความหึงหวงแล้ว
ท่านเรียกว่าโลกันต์เพราะอาจทำลายตนและผู้อื่นให้ตายพินาศไป
ก็ได้ผลที่เราเกลียดนั้นก็เช่นเดียวกัน
ท่านเรียกว่าโลกันต์เพราะอาจทำลายตนและผู้อื่นให้ตายพินาศไปก็ได้
ผลที่เราเกลียดนั้นก็เช่นเดียวกัน
ท่านเรียกว่ากรรมเวร
เกิดขึ้นเพราะจิตใจที่เรานึกคิดนั้นเอง
ท่านถึงได้เรียกว่า
ตนของตนเป็นที่พึ่งของตนแล
|
|
-
ตนนึกคิดดีกระทำดีตนก็จะได้พึ่งที่ดี
ตนนึกคิดชั่วกระทำตามชั่วนั้น
ๆ
ตนเราก็จะได้ที่พึ่งที่ชั่วนั้นเองเพราะมนุษย์ชายหญิงที่เกิดมาด้วยกันทุก
ๆ คนไป
จะทำดีก็ได้
จะทำชั่วก็ได้จิตใจเป็นสิ่งไม่ตายนะท่าน
เราจะทำอันใดไว้ดีหรือชั่วก็จะได้รับผลอย่างนั้น
เราจะไปนรกก็ได้จะไปสวรรค์ก็ได้
จะไปนิพพานก็ได้
ทาง 3
สายนี้เปิดทางรับอยู่เสมอ
ท่านมิได้ปิดไว้แต่อย่างใด
ท่านเปิดไว้โดยเสรีสุดแท้แต่ชายหญิงเหล่าใดจะไปสายไหน
ตามใจในความนึกคิดของท่านผู้นั้นจะไปเท่านั้น
แต่สังขารธาตุชายหญิงที่เกิดมาเป็นสัตว์มนุษย์อยู่ในขณะนี้มิได้ไปแต่อย่างใด
เกิดแล้วก็ตายถมทับแผ่นดินอยู่ในที่นี้เอง
ส่วนไปนั้นก็คือจิตใจความนึกคิดของท่านชายหญิงนั้นเอง
ความนึกคิดก็เป็นรูปเป็นนามเหมือนกันท่านถึงเรียกว่า
รูปภพ
นามภพ
คือจิตใจเป็นรูปเป็นนาม
จิตใจมาปรุงแต่งขึ้นเป็นรูปต่าง
ๆ
กันปรุงด้วยการกระทำในทางประพฤติปฏิบัติด้วยกุศลและอกุศลของตนในทางกระทำดีหรือชั่ว
รูป
นามก็จะไปตามในสิ่งนั้น
ๆ
ตามที่พอใจของตนในการกระทำนึกคิดทางจิตใจนั้นเอง
ทำให้เกิดเป็นรูปเป็นนามต่าง
ๆ
ไม่เสมอกันไม่เหมือนกันเพราะกุศลและอกุศลที่ท่านได้กระทำไว้ดีหรือชั่วนั้นเอง
ความดีก็คือผู้ถือคุณเคารพบูชาคุณ
รู้จักตอบแทนคุณด้วยความงาม
ความดี
สามัคคีธรรม
ด้วยความเคารพยำเกรง
มีความละอายต่อการกระทำบาปนั้นเอง
เรียกว่ากระทำดี
ความชั่วก็คือเป็นผู้ลบหลู่คุณเป็นผู้เหยียดหยาม
คุณไม่เคารพต่อคุณในทางราชการที่ท่านทำไว้ให้แก่เรา
เลยกลายเป็นผู้ทะเยอทะยานอยากได้เท่านี้จะเอาเท่านั้น
เลยกลายเป็นผู้ไม่รู้จักคุณ
ไปถือว่าปากท้องเป็นของสำคัญยิ่งกว่าคุณความดี
เลยไม่รู้จักประโยชน์ประเทศชาติบ้านเมืองที่ตนอยู่อาศัยท่านเหล่าใดเห็นแก่ปากแก่ท้องจนเกินไป
ก็จะเกิดเดือดร้อนแก่ตนและผู้อื่น
โดยลบหลู่กันไปทั้งหมด
พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสไว้แก่ประชาชนทั้งปวงว่า
พวกเธออย่าไปเห็นแก่ปากแก่ท้องจะมีอันตรายแก่เศรษฐกิจบ้านเมืองจะเกิดเดือดร้อน
เพราะการแย่งชิงกันกินต่อ
ๆ
ไปจะถึงความพินาศไปทั้งประเทศก็ได้
กลายเป็นผู้ไม่รู้จักคุณธรรมดีก็เลยได้รับความชั่วต่อ
ๆ
ไปได้แก่ความนึกผิดคิดผิดนั่นเอง
ว่าปากท้องเป็นเรื่องใหญ่
ใช้คำพูดให้คนเข้าใจผิด
เลยหลงกินหลงเล่นกันไปต่าง
ๆ
ไม่ปรารภความเพียรในกิจการงานที่ตนที่อยู่แต่อย่างใด
เลยเป็นผู้ว่ายากสอนยาก
กลายเป็นผู้เห็นแก่ปากแก่ท้องหาเวลามิได้
มิได้นึกถึงคุณมื้อหน้าแต่อย่างใดกลายเป็นผู้เนรคุณตนและผู้อื่น
ก็เลยเกิดขาดแคลนขัดสนขึ้นก็ต้องจำใจประพฤติชั่วต่อ
ๆ ไป
เพราะเราไม่รู้ในทางคุณงามความดีนั้นเอง
(เราจะไปต้องติใครเล่า
ให้หมู่ท่านพิจารณาเอาเอง)
|
|
-
ความรวยความจนเกิดขึ้นเพราะอะไร
ตอบว่าเพราะการเข้าใจผิดในทางมักง่ายเกินไปนั้นเอง
เพราะท่านไปหลงสุกเพลิดเพลินในทางอาศัยอามิสว่าเป็นที่พึ่งทางใจของท่าน
ท่านถึงไม่รู้ความทุกข์ไม่รู้ความอับจนที่จะมาถึงตนท่านแต่อย่างใด
เพราะความหลงความเมาในการเพลิดเพลินด้วยอามิส
ในทางดูในทางการละเล่นต่าง
ๆ
ว่าเป็นสิ่งโด่งดังมีหน้ามีตา
หลงไปด้วยทางอบายมุขไม่รู้ความทุกข์ที่จะมาถึงตนแต่อย่างใด
เลยหลงไปตาม ๆ
เด็ก ๆ
ที่ไม่รู้จักคุณประโยชน์ในทรัพย์นั้น
ๆ
เพราะความเมาในตัณหาสุดตาเห็น
ความเมาที่ท่านเรียกว่าสภาวะตัณหา
พอได้ยินหรือได้เห็นในเรื่องนั้นเรื่องนี้เท่านั้น
สภาวะตัณหาจะวิ่งเข้าสู่แทรกแซงจิตใจของสัตว์มนุษย์ปุถุชนสามัญชนโดยทันที
ทำให้เกิดเป็นอุปาทานขึ้นติดฝังแน่นอยู่ในจิตใจของพวกเหล่านั้น
ต้องกลายเป็นเปรตคือความอยากในสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นใหญ่เป็นโต
ด้วยความมืดจะหาทางที่จะสว่างมิได้เลย
ทำให้สัตว์มนุษย์ตาบอดไปตาม
ๆ
กันอยู่เท่าทุกวันนี้
จะหาทางรู้ทุกข์ที่จะมาถึงตนไม่ได้เลย
ทุกข์ที่มีอยู่ในตนก็พออยู่แล้วจะหาทางรู้ได้ไม่
เว้นไว้แต่ผู้ที่อยู่ในศีลแปดประการเท่านั้น
ถึงจะเลิกจากพวกเปรตเหล่านี้ได้นะท่านชาย
หญิง
นอกจากนี้ไม่มีทางเพราะหมู่ท่านเหล่านั้นไม่รู้คุณในทาง
คุณทาน คุณศีล
คุณภาวนาพระรัตนตรัยให้อยู่ในคุณให้บูชาคุณเป็นที่พึ่งที่อาศัยและให้ออกจากคุณ
ไม่รักไม่เกลียดในคุณเหล่านั้นแต่อย่างใดเราให้รู้ว่าเราอยู่กลางทุ่งหรืออยู่ทางป่า
ให้พิจารณาดูให้มันชัดเจนให้รู้สึกตัวของตัวของตนเสียก่อนเราถึงจะรู้ทางออกแห่งทุกข์ได้
ถ้าเราไม่รู้ว่าในเวลานี้เราอยู่ที่ใด
เราอยู่กลางทุ่งหรือเราอยู่กลางป่า
สิ่งแวดล้อมเราอยู่มันมีอะไร
สิ่งเหล่านั้นมันเป็นทุกข์หรือเป็นสุขให้รู้ด้วย
ผู้อยู่ในป่าอย่าหลงป่า
ผู้อยู่ในทุ่งอย่าหลงทุ่ง
จะหามรรคผลมิได้เลย
ผู้เกิดอยู่กลางทุ่งต้องออกจากทุ่งเข้าสู่ป่า
ให้ผ่านพ้นป่าต่อไป
ถึงจะรู้ว่าเป็นทุกข์หรือเป็นสุขได้
ส่วนผู้ที่เกิดอยู่กลางป่าต้องออกจากป่าเข้าสู่ทุ่งให้ผ่านพ้นทุ่งต่อ
ๆ ไป
ถึงจะรู้ว่ามันเป็นทุกข์หรือเป็นสุขต่อ
ๆ ไปได้
ถ้าท่านเหล่าใดได้พิจารณาเช่นนี้แล้ว
จะเป็นผู้รู้ซึ้งโลกรู้ซึ้งธรรมได้อย่างอัศจรรย์
ในความรู้ซึ้งในทางผ่านออกได้ของตนเอง
ด้วยจิตใจในความนึกคิดแห่งปัญญาความสว่างของตน
ที่เราออกจากทุ่งได้แล้วนั่นเอง
ในธรรมตรัสไว้ว่า
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ
วิญญูหิ
ผู้ประพฤติปฏิบัติที่ออกจากความหลงป่าหลงทุ่งได้แล้ว
จะรู้ได้โดยจำเพาะตนเองดังนี้
|
|