โลกนี้มีทั้งมนุษย์และเทวดา มาร

 

               ดูก่อน ท่านชายและหญิงทุกเพศทุกวัย ให้รู้จักในทางปัญญาแสงสว่างของตนที่มีอยู่กันบ้าง อย่าไปปฏิเสธตนเสีย อย่าไปกล่าว อย่าไปพูดนอกเรื่องนอกราว อย่าไปพูดโดยโกรธเคือง คับแคบแค้นใจตนเสีย ให้พิจารณาความรู้ของตนที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ เพื่อสอนตนและผู้อื่นให้สมบูรณ์ตามตนไปด้วย ขออนุโมทนาด้วย

 

               ปัญญารู้เท่ากองสังขารแห่งธาตุทั้งปวง เรียกว่าโลกสังขารสัตว์มนุษย์ชายหญิง ที่อยู่กันอย่างทุก ๆ วันนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า “โลก” ให้พิจารณาให้รู้แจ้งว่า “โลก” นี้มีทั้งมนุษย์และเทวดา มาร ที่มีปฏิสนธิอยู่ในร่างของโลก ของสัตว์มนุษย์ชายหญิง เรียกว่าเป็นสภาวธรรม เราให้พิจารณาที่มันเกิดขึ้นแก่จิตใจของเราที่มีอยู่ มันสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ ให้รู้จักด้วย

 

               จิตใจที่เป็นมนุษย์ได้แล้วนั้น มีจิตใจชอบทำบุญ บริจาคให้ทาน รักษาศีล ภาวนาถึงพระรัตนตรัยอยู่เสมอ ๆ มิได้ขาด นี้เป็นจิตใจของมนุษย์

 

               ผู้มีจิตใจเป็นเทวบุตรเทวดาแล้ว มีจิตใจเป็นผู้แสวงหาทางเดินตามศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผล นิพพาน เป็นทางสุขที่ปราศจากอามิสทั้งปวงอยู่เสมอ ๆ ไม่มีวิจิกิจฉาลังเลแต่อย่างใด อันนี้เรียกว่าจิตใจเราท่าน อยู่ในเทวบุตรเทวดาแล้ว ต้องเป็นไปตามทางอย่างนั้น จะรู้ได้ด้วยตนเอง จะมีเมตตาและผู้อื่น ได้ถึงพร้อมมรรคผลนิพพาน ให้ถึงสุขด้วยกัน จิตใจเป็นเทวบุตรเทวดาได้แล้ว เป็นดังนี้ พิสูจน์ตนได้นะท่านชายหญิง ไม่ต้องไปถามท่านเหล่าใดแต่อย่างใด

 

               จิตใจชายหญิงเหล่าใด ไปตกอยู่ในมาร จิตใจนั้นจะหลงไปตามความโลภความโกรธ ความหลง หลงรัก หลงเกลียด พยาบาทจองเวร เห็นกงจักรเป็นดอกบัว กลายเป็นผู้ลืมตายจิตใจร้ายยิ่งกว่าสัตว์ไปอีก จะหาความสงบในทางสามัคคีอันดีงาม ก็ไม่มีแต่อย่างใด ไม่รู้กรรม ไม่รู้เวรแต่อย่างใด จิตใจไปตกอยู่ในตัณหาสาม โลกธรรมแปดประการ ทั้งหมด ด้วยความเขลา จะกล่าวบอกทางพระนิพพานนั้นหารู้ได้ไม่ เพราะจิตใจไปตกอยู่กับพญามารต้องไปตามมารนั้นเอง

 

               เราให้พิจารณาให้รู้จักว่า จิตใจเราไปตกอยู่ในธรรมเหล่าใด ให้รู้ด้วย จิตใจเป็นมนุษย์โสแล้วหรือยัง ให้รู้ด้วย จิตใจเราไปตกอยู่ในเทวบุตรเทวดาแล้วหรือยัง ให้รู้ด้วย หรือจิตใจเราไปตกอยู่กับหมู่มาร ให้รู้ด้วย เราจะได้ปรับปรุงจิตใจของเรา ให้ออกจากสิ่งเหล่านี้ที่ชั่วให้จิตใจเราเดินไปในทางสิ่งที่ดี คือทางมรรคผล นิพพาน ต่อ ๆ ไป

 

               อาตมาปฏิบัติมาแต่เริ่มต้น ครั้นปฏิบัติจิตใจของตน ต้องสำรวจจิตใจตนอยู่เสมอ ๆ ว่าจิตใจเราไปตกอยู่ที่ใด ให้รู้อยู่เสมอ ๆ ไป ถ้าจิตใจเราโง่เกินไป ไม่ยอมเป็นผู้ฉลาด ไม่พิจารณาในทางมรรคผล ก็จะหาประโยชน์อันใดมิได้แต่อย่างใด กลายเป็นบัวใต้น้ำ กลายเป็นเหยื่อของเต่า ปู ปลา สุนัข เขาเอาไปเป็นอาหารด้วยความหลงตนเอง

               ผู้มีปัญญาเปรียบได้ดอกบัวที่โผล่ผุดขึ้น พ้นจากน้ำได้แล้ว ได้รับแสงพระอาทิตย์และสัจธรรม ที่จะน้อมนำจิตใจของตน ให้เข้าสู่มรรคผลนิพพานได้ด้วยปัญญา ความสว่างความว่างวางเฉยนั้นเอง ตาเห็นเราก็รู้ หูได้ยินเราก็รู้ อะไร ๆ เราก็รู้ ให้วางเฉยเสีย ให้เอาจิตใจเอาสิ่งไม่มีมาเป็นอารมณ์ เอาพระรัตนตรัยมาเป็นที่พึ่งที่อาศัย ให้ทำจิตใจให้เบิกบานให้สว่าง ให้แจ่มแจ้งผ่องใสเป็นสรณะที่พึ่งของตนเถิด สิ่งอื่น ๆ จะยิ่งกว่าย่อมไม่มี เอานิพพานมาเป็นอารมณ์ นิพพานคือความสุขที่ปราศจากอามิสทั้งปวง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เรียกว่าผู้มีสติปัญญาเดินตามทางสายนี้ คือทางศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางมรรคผล นิพพาน “นิพพาน” แปลเป็นภาษาเรา ๆ อย่างทุกวันนี้ ก็คือความสุขที่ปราศจากอามิสทั้งปวงนั้นเอง เรียก นิพพาน

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:18:23

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom