-
โลกนี้มีทั้งมนุษย์และเทวดา
มาร
|
|
-
ดูก่อน
ท่านชายและหญิงทุกเพศทุกวัย
ให้รู้จักในทางปัญญาแสงสว่างของตนที่มีอยู่กันบ้าง
อย่าไปปฏิเสธตนเสีย
อย่าไปกล่าว
อย่าไปพูดนอกเรื่องนอกราว
อย่าไปพูดโดยโกรธเคือง
คับแคบแค้นใจตนเสีย
ให้พิจารณาความรู้ของตนที่มีอยู่ให้สมบูรณ์
เพื่อสอนตนและผู้อื่นให้สมบูรณ์ตามตนไปด้วย
ขออนุโมทนาด้วย
|
|
-
ปัญญารู้เท่ากองสังขารแห่งธาตุทั้งปวง
เรียกว่าโลกสังขารสัตว์มนุษย์ชายหญิง
ที่อยู่กันอย่างทุก
ๆ วันนี้แหละ
พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า
โลก
ให้พิจารณาให้รู้แจ้งว่า
โลก
นี้มีทั้งมนุษย์และเทวดา
มาร
ที่มีปฏิสนธิอยู่ในร่างของโลก
ของสัตว์มนุษย์ชายหญิง
เรียกว่าเป็นสภาวธรรม
เราให้พิจารณาที่มันเกิดขึ้นแก่จิตใจของเราที่มีอยู่
มันสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์
ให้รู้จักด้วย
|
|
-
จิตใจที่เป็นมนุษย์ได้แล้วนั้น
มีจิตใจชอบทำบุญ
บริจาคให้ทาน
รักษาศีล
ภาวนาถึงพระรัตนตรัยอยู่เสมอ
ๆ มิได้ขาด
นี้เป็นจิตใจของมนุษย์
|
|
-
ผู้มีจิตใจเป็นเทวบุตรเทวดาแล้ว
มีจิตใจเป็นผู้แสวงหาทางเดินตามศีล
สมาธิ ปัญญา
มรรคผล นิพพาน
เป็นทางสุขที่ปราศจากอามิสทั้งปวงอยู่เสมอ
ๆ
ไม่มีวิจิกิจฉาลังเลแต่อย่างใด
อันนี้เรียกว่าจิตใจเราท่าน
อยู่ในเทวบุตรเทวดาแล้ว
ต้องเป็นไปตามทางอย่างนั้น
จะรู้ได้ด้วยตนเอง
จะมีเมตตาและผู้อื่น
ได้ถึงพร้อมมรรคผลนิพพาน
ให้ถึงสุขด้วยกัน
จิตใจเป็นเทวบุตรเทวดาได้แล้ว
เป็นดังนี้
พิสูจน์ตนได้นะท่านชายหญิง
ไม่ต้องไปถามท่านเหล่าใดแต่อย่างใด
|
|
-
จิตใจชายหญิงเหล่าใด
ไปตกอยู่ในมาร
จิตใจนั้นจะหลงไปตามความโลภความโกรธ
ความหลง หลงรัก
หลงเกลียด
พยาบาทจองเวร
เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
กลายเป็นผู้ลืมตายจิตใจร้ายยิ่งกว่าสัตว์ไปอีก
จะหาความสงบในทางสามัคคีอันดีงาม
ก็ไม่มีแต่อย่างใด
ไม่รู้กรรม
ไม่รู้เวรแต่อย่างใด
จิตใจไปตกอยู่ในตัณหาสาม
โลกธรรมแปดประการ
ทั้งหมด
ด้วยความเขลา
จะกล่าวบอกทางพระนิพพานนั้นหารู้ได้ไม่
เพราะจิตใจไปตกอยู่กับพญามารต้องไปตามมารนั้นเอง
|
|
-
เราให้พิจารณาให้รู้จักว่า
จิตใจเราไปตกอยู่ในธรรมเหล่าใด
ให้รู้ด้วย
จิตใจเป็นมนุษย์โสแล้วหรือยัง
ให้รู้ด้วย
จิตใจเราไปตกอยู่ในเทวบุตรเทวดาแล้วหรือยัง
ให้รู้ด้วย
หรือจิตใจเราไปตกอยู่กับหมู่มาร
ให้รู้ด้วย
เราจะได้ปรับปรุงจิตใจของเรา
ให้ออกจากสิ่งเหล่านี้ที่ชั่วให้จิตใจเราเดินไปในทางสิ่งที่ดี
คือทางมรรคผล
นิพพาน ต่อ ๆ ไป
|
|
-
อาตมาปฏิบัติมาแต่เริ่มต้น
ครั้นปฏิบัติจิตใจของตน
ต้องสำรวจจิตใจตนอยู่เสมอ
ๆ
ว่าจิตใจเราไปตกอยู่ที่ใด
ให้รู้อยู่เสมอ
ๆ ไป
ถ้าจิตใจเราโง่เกินไป
ไม่ยอมเป็นผู้ฉลาด
ไม่พิจารณาในทางมรรคผล
ก็จะหาประโยชน์อันใดมิได้แต่อย่างใด
กลายเป็นบัวใต้น้ำ
กลายเป็นเหยื่อของเต่า ปู ปลา สุนัข
เขาเอาไปเป็นอาหารด้วยความหลงตนเอง
|
|
-
ผู้มีปัญญาเปรียบได้ดอกบัวที่โผล่ผุดขึ้น
พ้นจากน้ำได้แล้ว
ได้รับแสงพระอาทิตย์และสัจธรรม
ที่จะน้อมนำจิตใจของตน
ให้เข้าสู่มรรคผลนิพพานได้ด้วยปัญญา
ความสว่างความว่างวางเฉยนั้นเอง
ตาเห็นเราก็รู้
หูได้ยินเราก็รู้
อะไร ๆ
เราก็รู้
ให้วางเฉยเสีย
ให้เอาจิตใจเอาสิ่งไม่มีมาเป็นอารมณ์
เอาพระรัตนตรัยมาเป็นที่พึ่งที่อาศัย
ให้ทำจิตใจให้เบิกบานให้สว่าง
ให้แจ่มแจ้งผ่องใสเป็นสรณะที่พึ่งของตนเถิด
สิ่งอื่น ๆ
จะยิ่งกว่าย่อมไม่มี
เอานิพพานมาเป็นอารมณ์
นิพพานคือความสุขที่ปราศจากอามิสทั้งปวง
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
เรียกว่าผู้มีสติปัญญาเดินตามทางสายนี้
คือทางศีล
สมาธิ ปัญญา
เป็นทางมรรคผล
นิพพาน นิพพาน
แปลเป็นภาษาเรา
ๆ
อย่างทุกวันนี้
ก็คือความสุขที่ปราศจากอามิสทั้งปวงนั้นเอง
เรียก นิพพาน
|
|