ตอบปัญหาธรรม

 

                ในคราวต่อมา  อาตมากำลังเจรจากันถึงเรื่องธรรม กันอยู่บนศาลา  ในสถานที่นั้นมีท่านปลัด และครูประชาบาล  พระภิกษุ-สามเณร-อุบาสก-อุบาสิกา  รวมกันอยู่เป็นจำนวนมาก  ได้มีมัคทายกผู้หนึ่งชื่อรี  เดินตรงขึ้นมาบนศาลา  ชี้หน้าอาตมาพร้อมกับกล่าวสำทับขึ้นดังๆ ว่า  พี่น้องทั้งหลายอย่าได้หลงเชื่อคนผลาญโคตรผู้นี้  ถ้าผู้ใดเชื่อบุคคลผู้นี้  ผู้นั้นจะกลายเป็นคนผลาญโคตรกันหมด  นายรีพูดขึ้นดังนั้นแล้วก็นิ่งเงียบอยู่

 

               อาตมามองเห็นสีหน้าญาติโยมทั้งหลายที่นั่งอยู่ ณ. ที่นั้น  มีสีหน้าสลด เกิดความไม่พอใจไปตามๆ กัน  อาตมาจึงพูดตอบขึ้นว่า “ถูกแล้ว-จริงแล้ว  ทายกรีท่านพูดถูก  ผู้ที่ได้ฟังทั้งหลายอย่าเพิ่งเสียใจ  เพราะคำที่กล่าวนั้นเป็นธรรมปฏิบัติ  ขั้นปรมัตรในโลกุตรธรรม  คนที่รู้แจ้งเห็นจริง  คือ ผู้ปฏิบัติเท่านั้น  ผู้ผลาญโคตรที่แท้เขาผลาญใคร  อาตมาขอชี้แจงให้ท่านทุกคนทราบว่า  ผู้ผลาญโคตรเง่านั้น  คือผู้ทำลายล้างผลาญตัณหาอุปาทาน เป็นผู้ทำลายความกำหนัด  สัมผัสยินดี  ฆ่าความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ถอนรากถอนโคนไม่มีเหลืออยู่ในจิตของตน  นับว่าเขาผู้นั้น  เป็นผู้ผลาญโคตรจริงแล้ว  โคตรนั้นคืออุปาทาน  เชื้อนั้นคือตัณหา  สกุลนั้นคือ ความโลภ-ความโกรธ-ความหลง  ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย  ผู้ใดทำลายล้างผลาญสิ่งเหล่านี้หมดแล้ว  ผู้นั้นไม่มีภพไม่มีชาติ  ชรา  มรณะ  ทุกข์โศกโทมนัสก็ไม่มี  ไม่ติดเชื้อติดสกุล  จะพบกับความสงบที่แท้จริง  มีแต่ความโล่งโปร่งเบา  สงบเย็นดังนี้”  

 

               ความลังเลสงสัยของญาติโยมยังไม่หมด  ยังมีเรื่องราวต่อไปอีก  ด้วยผู้ฟังธรรมทั้งหลาย  ในคราวนั้นยังข้องใจอยู่เที่ยวพูดกันต่อๆ ไปว่า  อาตมาซึ่งเป็นผู้พูดธัมมะในวันนั้น  เป็นผู้ละตัณหาได้จริงหรือ  หรือพูดแต่ปาก  ปฏิบัติไม่ได้  ผู้ใดที่เชื่อถือ  ก็ตั้งอยู่ในความสงบ  ผู้ที่ไม่เชื่อถือก็พูดกันต่อๆ ไป  

 

               จนวันหนึ่งโยมโรน  บ้านอยู่หลังวัด อายุ 97 ปี  ทราบข่าวจากคนที่พูดต่อกันแล้ว  เกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก  จึงเดินเข้ามาที่วัด  มาหาอาตมาที่บนศาลา  ร้องถามอาตมาขึ้นว่า “เถรๆ ทำอะไร” อาตมาตอบว่า “ทาสีไม้ช่องลม  สำหรับเมรุเผาศพ  ตามีธุระอะไรเชิญนั่งก่อน”  อาตมาได้จัดที่นั่งให้  มีเสื่อปู  หมอนอิง  ด้วยเกรงว่าจะเหนื่อย เพราะท่านแก่มาก  เสร็จแล้วจึงบอกอนุญาตว่า  ตามีความสงสัยอันใดเชิญถามได้  ตาโรนจึงถามว่า “เถรเลิกจากตัณหาความรักใคร่ใยดี ได้จริงหรือ  เมื่อเลิกจากความรักใคร่  ในเพศหญิงได้แล้วนั้นใจมันเป็นอย่างไร  ขอให้เถรชี้แจงให้ฟังสักหน่อยเถิด”  อาตมาถามว่า “ตาสงสัยในกิเลสกามความกำหนัดรักใคร่อยู่หรือ  เรื่องนี้มันรู้จำเพาะตนแต่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น  มันเป็นเรื่องของผู้ออกจากกาม  ตาจะรู้ได้อย่างไร” ตาโรนก็พูดต่อขึ้นอีกว่า “เมื่อเลิกได้แล้วจิตใจมันเป็นอย่างไร  ขอให้เถรเล่าให้ฟังสักหน่อยเถิด” อาตมาจึงพูดว่า “ถ้าตาอยากจะรู้จริงจะพูดให้ฟัง  คือว่าเมื่อก่อนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติ  เห็นเพศหญิงที่สวยงาม  ก็เกิดความรักใคร่  เกิดความสงสัย  อยากรู้อยากลอง  เมื่ออยู่ใกล้ชิดกันเข้า   ก็เกิดความกำหนัดยินดีใน  รูป-เสียง-กลิ่น-รสและสัมผัสถูกต้อง  หลงอยู่ชอบอยู่ในกามารมณ์  มีเชื้อเหลืออยู่  ไม่สิ้นไม่สุด  เมื่อได้พบแล้ว  คราวหลังก็มีความใคร่  ความอยากอีก  เกิดความต้องการขึ้นมาอีก  อย่างนี้เรียกว่ากามตัณหา  เป็นตัณหาในกาม  คืออารมณ์ที่สัตว์ใคร่  

 

               อย่างอื่นยังมีอีก คือภาวะตัณหา  ตัณหาในความอยากมีอยากเป็น  วิภาวะตัณหาคือตัณหาในความไม่อยากมี  ไม่อยากเป็น  ตัณหาทั้งสามนี้ทำความเกิดใหม่ให้มีขึ้น  ในจิตของสัตว์อยู่เรื่อยไป  มีสภาวะเป็นที่รัก  มีสภาวะเป็นที่ยินดีในโลก  เป็นความกำหนัดความใคร่  ความเพลิดเพลิน  เกิดขึ้น  ตั้งอยู่  ดับไป  เวียนว่ายตายเกิด  อยู่ในกฎแห่งกรรมไม่มีสิ้นสุด  ผู้ที่ติดอยู่ในตัณหา  ก็ย่อมเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย  ดังกล่าวแล้ว  ถ้าเราเป็นอย่างที่กล่าวมานั้น  เราก็รู้ว่าเราข้องอยู่  ติดอยู่มิใช่หรือ  พระพุทธองค์ได้ทรงเปรียบเทียบไว้ว่า  มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมา  เปรียบเหมือนดอกบัวสามเหล่า  ที่เกิดมาจากสระน้ำ  มีขี้โคลนและตม  หมู่หนึ่งงอกขึ้นมาหน่อยเดียว  หาทางออกไม่ได้  หลงติดอยู่ในโคลนตม  หมู่หนึ่งงอกยาวขึ้นมาแล้ว  หลงวนติดอยู่ในกลางน้ำอันตรายรอบด้านชีวิตจะหลุดรอด  จากเต่าปลาเป็นของลำบาก  อีกหมู่หนึ่งงอกโผล่ขึ้นเหนือน้ำ  กำลังจะบานรอรับแสงอาทิตย์อยู่  

 

              นี่แหละมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย  ระดับจิตของเขาต่ำสูงไม่เท่ากัน  โปรดใช้สมาธิปัญญาพิจารณาในกายอันเป็นของภายในของตนบ้าง  อันเป็นของภายนอกคือกายของผู้อื่นบ้าง  ก็จะเห็นธรรมทั้งหลายว่าหมู่ที่ติดอยู่ในโคลนตมนั้นคือ  ผู้ที่ติดอยู่ในธาตุดิน เช่น  ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง-เนื้อ-เอ็นกระดูก-เยื่อในกระดูก -ม้าม-หัวใจ-ตับ-พังผืด-ไต-ปอด-ไส้ใหญ่-สายรัดไส้-อาหารใหม่-อาหารเก่า  ติดอยู่ในกองสังขาร  รักใคร่สัมผัส  ยินดีต่อสิ่งที่เป็นปฐวีธาตุ  คือธาตุดินนี้เอง  ส่วนหมู่ที่ติดอยู่ในกลางน้ำนั้น  คือผู้ที่หลงอยู่ในธาตุน้ำ เช่น  น้ำดี  น้ำเสลด  น้ำเหลือง  เหงื่อ  เลือด  มันข้น-มันเหลว  น้ำตา  น้ำลาย  น้ำมูก  ไขข้อ  น้ำมูตร  ล้วนแต่เป็นอาโปธาตุ  มีความสกปรกหาที่เปรียบไม่ได้  

 

              อีกหมู่หนึ่ง  ที่ชูคอลอยขึ้นมาเหนือน้ำ  กำลังจะบานรอรับแสงอาทิตย์อยู่  หมายถึง  ผู้ซึ่งมีจิตอันแน่วแน่  สามารถแทรกทะลุธาตุขันธ์  ออกมาได้ไม่หลงอยู่  เมื่อได้รับแสงสว่างคือศีล-สมาธิ-ปัญญา  ซึ่งเป็นคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงรู้แจ้งในปัญญาของตนว่าสังขารของตนนั้น เกิดมาจากน้ำมูตร  คูตร  ธาตุร่างกาย ไม่ใกล้ไม่ไกล  พิจารณาจากพื้นเท้าขึ้นสู่เบื้องบน  จากขันธ์อันสกปรกเน่าเปื่อย  เห็นสภาวธรรมทั้งหลาย ตามความเป็นจริง  จึงเกิดมีการเบื่อหน่าย  หาอุบายถอนรากถอนโคน  ออกไปเสียจากแหล่งลามกสกปรกโสมม  จากสระซึ่งทำให้เวียนว่ายตายเกิด  ไม่หลงอยู่ในสังสารวัฏอีกต่อไป  อย่ามัวหลงเชยชมรีบหนีไปเสียให้พ้น  ประเดี๋ยวไฟจะดับ  ลมจะหมด  ทนทุกข์เวทนาไม่มีจบ  

              นี่แหละท่านทั้งหลายปฐวีธาตุ 20 อย่าง  อาโปธาตุ 12 อย่าง  ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นตรวจดูให้เห็นอยู่ในร่างกาย  ไม่ใกล้ไม่ไกล  พิจารณาจากพื้นเท้าขึ้นสู่เบื้องบน  จากปลายผมลงมาเบื้องต่ำล้วนแต่มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของปฏิกูล  ไม่สะอาดมีประการต่างๆ  พระศาสดาท่านให้มองดูตน  ผู้ใดพิจารณาตรวจค้นผู้นั้นย่อมรู้แจ้งเห็นจริง  ผู้นั้นย่อมเห็นทุกข์ทั้งหลายในตนของตน ที่เกิดขึ้น  เห็นทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่  และดับไป เพราะเราเข้าไปยึด  เข้าไปอาศัย สังขารอันมีธาตุขันธ์   อันเป็นเหตุเป็นปัจจัยหนุนเนื่องกันอยู่  เกิดความหลุดพ้น  เพราะเห็นว่าสังขาร เป็นของสูญเปล่า คือว่าง  ไม่มีเจ้าของที่แท้จริง  เป็นแต่อาศัยชั่วครู่ชั่วขณะ  แล้วก็ต้องละต้องทิ้งไปหมด  เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ผู้นั้นย่อมเบื่อหน่าย  คลายจากตัณหา  ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นที่ซึ่งอาศัยมิได้  ตรงกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสไว้กับราธะว่า “ดูก่อนราธะ  เธอทั้งหลาย จงไม่พอใจ  ไม่เพลิดเพลิน  ไม่ทะยานอยาก  ไม่ยึดมั่น  ในรูป-เวทนา-สัญญา-สังขารและวิญญาณ  จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา  ดูก่อนราธะ  ความสิ้นไปแห่งตัณหา  เป็นนิพพาน  ดังนี้”

 

              โยมโรน  ก็ถามขึ้นอีกว่า “เถร  จิตใจของคนเราเมื่อมันขาดความรัก ความใคร่นั้น  มันเป็นอย่างไร” อาตมาก็ตอบว่า “เมื่อเรายังมองไม่เห็นพระธรรมพระวินัยนั้น  ตัณหามันเป็นนายเรา  มันชักนำให้เรา  กระวนกระวาย  มีความกำหนัดยินดีในรูป-รส-กลิ่น-เสียง  อยากสัมผัสจับต้องเสียดสีอยู่เรื่อยไป  มีความปรารถนาต้องการคุกรุ่นอยู่  หนุนเนื่องกันอยู่  เหมือนกับกองไฟสุมชีวิตให้จิตเร่าร้อนอยู่ด้วย  เพลิงรัก-เพลิงสวาท  มีความรักที่ใฝ่ฝันเร้าใจ  ถึงพ่องาม  แม่งาม  อันร้อนระอุ  เป็นควันกลุ้มรุมอยู่ในอก  ขณะที่เลือดและกายตนกำลังร้อนจัดซาบซ่าไปด้วยฤทธิ์ของกามา  ในอ้อมกอดของคนรัก  รู้สึกว่าเป็นสุขยิ่งแล้วในชีวิต  เพลิดเพลินไปด้วยความคึกคะนอง  ยั่วยวนต่างๆ เป็นการยั่วยุในกาม  ยินดีในเพศตรงข้ามอยู่เรื่อยไป  ไม่จบไม่สิ้น

 

               เมื่ออาตมาทำเพียรปฏิบัติ  เห็นศีลเห็นธรรมแล้ว  จึงได้มองเห็นทุกข์  ในตัณหาของตน  มองเห็นความรักความใคร่  เห็นความกำหนัดในตนที่ตนมีอยู่  โดยมีกิเลสตัณหาปิดล้อมข้างตน  ทนทุกข์ทรมานมานานนักหนา  เมื่อเห็นแล้วรู้แล้ว  ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตัวต้นเหตุนำทุกข์ทั้งหลาย  อาตมาจึงได้ตัดใจหนีไปเสีย ให้พ้นจากทุกข์เหล่านั้น  จึงได้เริ่มปฏิบัติจิตใจ  เข้าไปสู่พระธรรมพระวินัยอย่างแท้จริงยิ่งขึ้น  ผลที่ได้  คือเกิดความสว่างไสวขึ้นในจิตในใจ  ความอยากสัมผัสกำหนัดยินดี ในตัณหาเหล่านั้นก็หมดสิ้นไป  แม้เราจะมองดูหรือนึกสิ่งเหล่านั้นมันก็เฉยอยู่  สักแต่ว่ามอง-สักแต่ว่าเห็น  ไม่มีความกำหนัดยินดีอีกเลย  ผิดกันกับผู้ที่ยังข้องอยู่ติดอยู่ทั้งหลาย  สามารถท้าให้ผู้อื่นมาดูได้ไม่หวั่นไหวแต่อย่างใด  ในโลกวัชชะ  ในโลกธรรมที่ยึดติดอยู่ในสมมุติบัญญัติ แปลว่าผู้นั้นยังตกอยู่ในวงล้อมของตัณหาทั้งหลายนั้นเอง  ไม่ต้องสงสัยผู้นั้นจะปรารถนาพระนิพพานก็หมดหวัง  แม้จะพูดให้เสียงดังปานประหนึ่งฟ้าร้องฟ้าคำรามก็ตาม  พออาตมาพูดจบลงตาโรนคนแก่ได้ถามขึ้นว่า 

 

                “เถร  ฉันใคร่ขอถามอีกสักหน่อยเถิดว่า  ขณะที่เถรเห็นหนุ่มๆ สาวๆ  เขามาใส่บาตรหรือมาวัดเขาทาแป้งแต่งตัว  หน้านวลปากแดงสวยงามน่ารักทุกอย่าง เช่นนี้  ถ้าเถรเห็นแล้ว  นึกรักนึกชอบเขาบ้างไหม”

 

              อาตมาตอบว่า “เห็นก็สักแต่ว่าเห็น  เห็นแล้วก็รู้ว่าคนนั้นสวยคนนี้ไม่ค่อยสวย  ก็รู้อยู่เห็นอยู่  สวยก็อยู่ที่เขาไม่สวยก็อยู่ที่เขาผู้นั้น  แล้วก็เฉยๆ ไม่รักไม่เกลียด  อยู่ในอาการสงบ” อาตมาก็ได้ย้อนถามตาโรนไปบ้างว่า

 

              “แล้วตาละอายุของตาก็จะถึงร้อยปีอยู่แล้ว  ถ้าตาเห็นสาวๆ สวยๆ อย่างนั้น  เมื่อตาเห็นแล้วตานึกรักเขาบ้างหรือเปล่า” ตาโรนหัวเราะ  แล้วตอบอาตมาว่า 

 

             “ถ้าเห็นเข้าเช่นนั้น  จิตใจของตายังคงนึกรักนึกชอบ  เขาอยู่นั่นแหละ  ความรักความชอบ  ไม่หายไปจากจิตใจเลย  ที่ถามมาคราวนี้  ก็เพราะสงสัยว่า  ผู้ที่ละกามสิ้นแล้ว  จิตใจมันเป็นอย่างไร” เคยได้ยินแต่คนเขาพูดกัน  ว่าอาตมาละได้  ที่ตาโรนมาถามคราวนี้  ต้องการจะทราบเท่านั้น

 

              ขณะที่อาตมากำลังสนทนาโต้ตอบกันอยู่กับตาโรนในวันนั้น  หลวงตาไสวได้เดินขึ้นมาบนศาลา  นั่งฟังใช้หลังอิงเสาอยู่  เมื่อได้จังหวะหลวงตาจึงพูดแย้งขึ้นว่า “พวกเรานี้จะไปสวรรค์ไปนิพพานไม่ได้  ก็เพราะผู้หญิงนี่แหละหรืออย่างไร” อาตมาจึงตอบไปว่า 

                “ดูก่อนหลวงตา  ท่านอย่าไปใส่ร้ายป้ายสีผู้หญิงเขา  เราไม่ดี  อย่าไปติท่านผู้อื่น  สิ่งที่ดี  และไม่ดีมันอยู่ที่เรา  ท่านอย่าลืมคุณบิดามารดา  หาว่าผู้หญิงไม่ดี  ผู้หญิงและคนอื่นเป็นผู้ให้อาหาร  หลวงตา  ท่านเคยสังเกตบ้างไหมว่า  ขณะที่ท่านไปบิณฑบาตนั้น  ท่านเห็นผู้หญิงหรือผู้ชาย  เพศใดนำอาหารมาใส่บาตรให้ท่านมากกว่ากัน  ผมเองเห็นมีเพศหญิงเป็นส่วนมาก  เพศชายมีน้อยเหลือเกิน  บางวันไม่มีเสียเลย  นี่แหละหลวงตา  ท่านจะว่าผู้หญิงเขาไม่ดีมีเหตุผลอย่างไร  ถ้าเรารังเกียจผู้หญิง  เห็นเพศตรงกันข้ามเป็นศัตรูข้อนี้มันผิด  มันจะทำให้เกิดอกุศลจิตผิดทำนองคลองธรรม  ฉะนั้นเราต้องเป็นคนมีเมตตาไม่ว่าเพศใด  ถ้าท่านรังเกียจผู้หญิงท่านจะไปอยู่ที่ไหน  พูดให้ผมฟังสิ  ในโลกมนุษย์เราก็มีผู้หญิงอยู่เกลื่อนไปทั้งนั้น  ท่านจะไปอยู่ที่ไหน  ถ้าท่านจะไปอยู่สวรรค์ก็มีเทพบุตรเทพธิดา  และนางฟ้าเต็มไปทั้งนั้น  ท่านจะไปอยู่ชั้นพรหมเพศหญิงเขาก็เป็นพรหมได้เหมือนกัน  ท่านจะไปอยู่พระนิพพานหรือก็ไม่พ้นอีก  พระอรหันต์เถรี-พระอรหันต์เถโร  ท่านก็เสด็จไปอยู่กันได้ทั้งนั้น  ถ้าท่านรังเกียจผู้หญิงอยู่ตราบใด  ท่านจะไปสู่สวรรค์หรือนิพพานนั้นอย่าหมาย  หากท่านยังมีความกำหนัดรักใคร่อยู่ในเพศหญิงอีก  ท่านก็ไปไม่ได้เช่นเดียวกัน  ปัญหาทั้งหลายมันอยู่ในตน  มันอยู่ที่เรา  ความรักความใคร่มันมีอยู่  เราจะละได้หรือไม่ได้นั้น  มันอยู่ที่เรา  อย่าโทษ  อย่าไปใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นเขา  หาว่าเขาทำให้ตนรักตนชอบ  อันนี้มันผิด  จะตกนรกหมกไหม้เหมือนไฟเผาผลาญ”

 

              ไฟนั้นคืออะไร  ไฟนั้นคืออัคคี  แห่งกิเลสราคะ  นั้นเอง  ไฟธรรมดา  คือไฟที่ไหม้บ้าน  ไหม้เมือง  มันลุกไหม้เท่าใด  ก็ยังมีน้ำมาดับเสียได้  แต่อัคคีแห่งกิเลสราคะนี้  มันลุกลามแผ่ไพศาลยิ่งนัก  มันครอบงำเผาลนมนุษย์ได้ทั้งโลกในขณะนี้  มันไม่ร้อนแต่ทางกายมันร้อนทางใจด้วย  มันร้อนมากทางสายเลือด  เกิดรบราฆ่าฟัน ปล้นสะดม  ยักยอกฉ้อโกง  ผิดลูกผิดเมียเขา  โลกทั้งโลกกำลังลุกแดงอยู่ขณะนี้  เพราะอะไร  ไม่ใช่เพราะไฟเหล่านี้หรือ  ไฟอย่างที่กล่าวมานี้  ไม่มีวัตถุน้ำยาเคมีอะไร  ที่จะมาดับได้  เห็นมีอยู่เพียงอย่างเดียว  สิ่งนั้นคือ  พระธรรมวินัย  นั่นเอง

 

               ท่านผู้ที่ปฏิบัติ  ท่านผู้ที่จะอยู่ตามป่าตามเขา หรือจะอยู่โดดเดี่ยวที่ไหนก็ตาม  หากท่านละกามคุณห้าอันเป็นโลกิยะวิสัยได้แล้ว  ท่านจะไม่มีความทุกข์เดือดร้อนแต่อย่างใด  พระพุทธองค์ท่านทรงวางหลักไว้แล้ว  คือศีลข้อที่สาม  ความว่า  อพรัหมจริยาฯ นั่นแหละคือทางพระนิพพาน  จะบรรยายให้ฟังโดยละเอียดในตอนหลัง  ตอนนี้จะเล่าประวัติต่อไป

 

               เวลาได้ผ่านมาอีกหลายเดือน  อาตมาจึงได้พิจารณาใคร่ครวญดูว่า  วัดบ้านโง้ง  ซึ่งอาตมาได้ช่วยบูรณะซ่อมแซมอยู่นี้  เป็นวัดใหญ่โตวัดหนึ่ง  แต่ทำไมเมื่อออกพรรษาแล้ว  ไม่ค่อยมีพระภิกษุสามเณรเหลืออยู่กับวัดเลย  จะมีมากก็เฉพาะในพรรษาหนึ่งๆ เท่านั้น  ผู้ที่มาบวชจำพรรษาอยู่แต่ต้น  เมื่อออกพรรษาแล้ว  ถ้าไม่สึกก็หนีกันไปจนหมด  เมื่อพิจารณาแล้วต่อไปจึงทราบว่า  พระภิกษุสามเณรวัดนี้ขาดอาหารเป็นแน่แท้  ด้วยเหตุที่ไม่มีโรงครัวสำหรับทำอาหารเลี้ยงพระนี่เอง  พระท่านจึงอยู่ไม่ได้  อาหารการกินเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย  เพื่อยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้เหมือนกัน  ถ้าขาดอาหารแล้ว  ไม่ว่าที่ตรงไหนก็ว่างเปล่ากันทั้งนั้น  

 

              อาตมาคิดได้ดังนี้  จึงรวบรวมเอาไม้ที่รื้อเปลี่ยนมาจากกุฏิเก่าๆ  ชิ้นไหนผุก็ตัดทิ้งไป  เอาแต่ที่ดีมาต่อกันเข้าปลูกเป็นโรงครัว  ตีฝาทำลูกกรงได้สองหลังแฝด  ต่อจากนั้นอาตมาได้คิดหาเพศหญิงที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  เพื่อจะให้มาทรงเพศพรหมจรรย์  เป็นชีรักษาศีลปฏิบัติธรรม  จะได้ช่วยเก็บอาหารที่ทายกทายิกา  ศรัทธาถวาย  หุงแจกขบฉันกันไป  เพื่อกันเวทนาหิวโหยเมื่อขัดสน

 

              จนถึงเดือนสิบสองในปีนั้น  น้อยภรรยาผู้ติดตามปรนนิบัติอาตมาอยู่นั้น  ได้ขอออกบวชเป็นชีคนแรก  ในสำนักวัดบ้านโง้ง  ในปีต่อมาประมาณเดือนหก  นางทุเรียนผู้มีศรัทธา  ได้มาบวชเป็นคนที่สอง  อยู่ช่วยเหลือกันไปในสำนักนี้  อาตมารู้สึกปิติในศรัทธาของตนเอง  และผู้อื่นที่ได้ช่วยกันทำนุบำรุงศาสนาไว้ให้มั่นคงถาวร  เป็นมรดกสืบต่อๆ กันไป

 

              การปฏิบัติธรรมนั้น  ไม่ว่าหญิงชายผู้ใด  เมื่อปฏิบัติตรงตามพระธรรมพระวินัย  ทำใจให้ขาดจากตัณหา  ปรารถนาพระนิพพาน  ก็ไปได้ทุกตัวคนนะท่าน  เว้นแต่ท่านผู้นั้น  จะมีสัจจะจริงหรือไม่เท่านั้น

 

              เวลาผ่านมาอีกหกเดือน  ประมาณเดือนเจ็ดกลางเดือน  อาตมา  ได้ปรารภกับชีทั้งสองว่า  ต่อไปนี้  ฉันจะลาไปต่างจังหวัด  ต่างประเทศ  ทีแรกจะมุ่งหน้าไปกรุงเทพฯ ก่อน  แล้วจะต่อไปลำปาง  เชียงใหม่  จะเลยไปพม่า  ย่างกุ้ง  และเมืองหงสาวดีรวมเวลาประมาณ 5-6 ปี  ถ้าชีวิตสังขารของฉันนี้ยังอยู่  คงได้พบกันอีก  ถ้าถึงเวลาที่ฉันกะไว้ตามเวลานั้นแล้ว  ไม่เห็นฉัน  ก็แปลว่าสังขารอันนี้ของฉัน  ต้องแตกดับไปแล้ว  ไม่ต้องคอย  ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน  ขอให้ชีทั้งสองปฏิบัติอยู่ใน ศีล-สมาธิ-ปัญญา  ตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ล้วนที่พระพุทธองค์  ทรงบัญญัติไว้ในศาสนานี้  ให้เอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง  พระวินัยเป็นที่อาศัย  ปฏิบัติต่อเนื่องกันไปให้ตลอดชีวิต  แม้ว่าสังขารของชีทั้งสอง  จะต้องแตกดับไปด้วยประการใดๆ ก็ตาม  ขออย่าได้ละศีลธรรมเป็นอันขาด  จะได้นำติดตัวไปในภพหน้า  จะได้เป็นอุปนิสัย  เป็นปัจจัยต่อไป  จนถึงพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้า

              ถ้าท่านปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และไม่ทิ้งเพศพรหมจรรย์อันนี้เสีย  ก็แปลว่าท่านยังเดินตามหลังฉันอยู่อย่างเดิม  อย่าได้ลาสึกกลับไปเป็นคฤหัสถ์  ทิ้งเพศถอยหลังไปลงนรกกันอีกก็แล้วกัน  เพราะสิ่งเหล่านั้น  พวกท่านได้ผ่านกันมาแล้วมิใช่หรือ  เห็นหรือไม่  นั่นแหละ  นรกทั้งเป็นละ  เห็นไหม  เคี่ยวเข็ญต่างๆ นานา  เพราะอะไร  เพราะตัณหาบ้ากาม  เอาหนามปิดทาง  หูหนวกตาบอดไม่ว่า  ถามหาเรื่อยไป  คนเหล่านั้นเป็นอะไร  คนเหล่านั้นหลงทาง  เดินตามทางรถ  ทางเกวียนปิดไว้  เอาไฟสุมอกนรกเปลวเพลิง  หลงรักหลงเกลียด  เชือดเนื้อตนเอง  มืดมามืดไป  ตัณหาบังไว้  หลงอยู่นั้นเอง

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:18:30

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom