-
ผู้ปฏิบัติให้ว่าคาถานี้อยู่เสมอ
|
|
-
|
พุทธัง
สะระณัง
คัจฉามิ
|
|
|
ธัมมัง
สะระณัง
คัจฉามิ
|
|
|
สังฆัง
สะระณัง
คัจฉามิ
|
|
|
รัตนะ
คุณณัง สะระณัง
คัจฉามิ
|
|
|
มาตาปิตุ
คุณณัง สะระณัง
คัจฉามิ
|
|
|
อาจาริเย
คุณณัง
สะระณัง
คัจฉามิ
|
|
|
|
-
ว่าแล้วให้กราบลงสามหนเช้า
เย็น
เวลานอนและตื่นนอน ให้น้อมนึกอยู่เสมอ ๆ
วิเศษดีนัก
ยังมีธรรมอีกเหล่าหนึ่งเกิดขึ้นแก่จิตใจของมนุษย์ชาย
หญิง
ด้วยความโง่เขลา
ตัดปัญญาของตนและผู้อื่นให้เห็นคล้อยไปตามตนด้วยว่าเป็นความจริงก็คือว่า
คนเราตายแล้วก็สูญไม่มีอะไรเหลืออยู่
ความนึกคิดเช่นนี้และปิดประตูตัดปัญญาของตนและผู้อื่น
ให้หลงผิดไปตามตนด้วยโดยขาดความพิจารณาในทางนึกคิดจิตใจและวิญญาณที่ตนรู้สึกอยู่
ถึงเมื่อสังขารร่างกายถูกทำลายแตกดับสูญไปแล้ว ส่วนความนึกคิดจิตใจวิญญาณที่ตัวรู้นั้นไปไหน
ทำไมไม่พิจารณากันบ้าง
เขาไปเกิดกันที่ไหน เขาจุติกันที่ไหน
ไปด้วยเพราะมูลเหตุอะไร
โลกมนุษย์เรามีอยู่
ภพภูมิของจิตใจ
ที่จะไป
ที่จะมา
ต้องมีอยู่เป็นคู่กับโลกของสัตว์มนุษย์คนเราอยู่ทุก
ๆวันนี้
ทำไมไม่พิจารณากันดูบ้างให้มันรู้ซึ้งโลกภพภูมิกันบ้าง
หลงแต่สร้างความนึกคิดกันให้ได้อยู่ดีให้ได้กินดีก็แล้วกัน
ความนึกคิดเช่นนี้แหละ
เป็นความผิดพลาดในความหวังของตนเอง
โลกมนุษย์สังขารนี้มันก็เป็นโลกมนุษย์อยู่นี้เอง มันจะเปลี่ยนแปลงไปไหนไม่ได้
โลกก็แปลว่าสังขารของมนุษย์และสัตว์เรานี้เองที่เรียกว่าโลก
ถ้าเราถือว่าตายแล้วก็สูญไปเท่านั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่
เราจะเล่าเรียนประพฤติปฏิบัติกายวาจาใจกันไปทำไม เราอยู่เฉย ๆ
ไม่ต้องไปนึกคิดเปลี่ยนแปลงกันไปทำไม
ขอให้ท่านชาย
หญิงใช้สติปัญญาพิจารณาในความฝันนิมิตของท่านเองในเวลานอนหลับไปนั้น
จะรู้ได้ดีด้วยตนเองและให้พิจารณาถึงเมื่อผู้ตายไปแล้ว
ผู้ที่ยังอยู่ท่านมาแจกข้าวอุทิศไปให้ผู้ตายไปแล้วนั้น
ท่านจะทำไปให้อะไร ท่านก็ทำไปให้สิ่งที่มีอยู่นั้นเอง อะไรมีอยู่อะไรเหลืออยู่ให้มันรู้แจ่มแจ้งในตนและผู้อื่นกันบ้าง
ให้เราพิจารณาเช่นนี้ไม่มีโทษไม่มีภัยดอกท่านชาย
หญิง
เราอย่าไปถือว่าบิดามารดา
ปู่ย่า
ตายาย
ท่านหลงไปถืองม
ๆ งาย ๆ
เช่นนั้น
เพราะปู่ย่า
ตายาย
ท่านเกิดมาก่อนเรา
ท่านก็ต้องรู้ได้ดีกว่าเรา
ความเล่าเรียนนึกคิดอันใดก็ดี
ก็ต้องมาจากหลักเดิมต้นเดิมนั้นเอง
มันถึงมีเกิด
มันถึงมีขึ้นได้
มันไม่มีต้นตอมันจะมีมาได้อย่างไรกันเล่าดังนี้
|
|
-
ต่อไปนี้เป็นโลกียะธรรม
เป็นสมบัติของมนุษย์ที่จะเวียนว่ายเกิดตาย จะให้เป็นมนุษย์อยู่เสมอๆ
นั้นต้องให้มี ทาน ศีล
ภาวนา
บริจาคทานให้เป็นมูลอยู่ทุก
ๆ ชาติ
ถึงจะได้เกิดเป็นมนุษย์คนเราอยู่ทุก
ๆ ชาติไป เพราะมูลการกระทำของตนนั้นเอง
เพราะมนุษย์คนเราเกิดมาเพื่อสร้างบุญกุศลบารมีให้เป็นบุญไว้
เพื่อจะได้เกิดเป็นมนุษย์ชาย
หญิงต่อไปนั้นเอง
ถ้าท่านเหล่าใดประมาทอยู่
ไม่กระทำบุญบริจาคและท่านเหล่านั้น
ถึงเมื่อตายจากชาติมนุษย์ไปแล้ว
อาจจิตใจที่ยังอยู่ต้องไปปฏิสนธิเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ตามนานาสัตว์
เพราะพวกหมู่สัตว์เดรัจฉานนั้นเขาไม่รู้
ทานศีลภาวนาบริจาคทำบุญให้ทานแจกจ่ายซึ่งกันและกันเหมือนมนุษย์คนเรา
แม้แต่จะมาเกิดเป็นมนุษย์คนเราอยู่ในโลกอย่างทุกวันนี้ก็ตาม
ไม่รู้จักประพฤติปฏิบัติตามศีลภาวนาบริจาคให้ทาน ไม่รู้คุณพระรัตนตรัย
คุณบิดามารดา
ครูบาอาจารย์ว่าเป็นที่เคารพนับถือทางจิตใจ ก็ไม่มี
หมู่ท่านเหล่านั้นก็เป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่แล้วทางด้านจิตใจ
เมื่อตายจากร่างสังขารของมนุษย์ก็จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่อไป
เพราะจิตใจเป็นเดรัจฉานอยู่แล้ว
มันก็ไปตามมูลนั้นเอง
เพราะเกิดเป็นมนุษย์นี้เกิดได้ยาก
ถ้าท่านเหล่าใดรู้ตัวว่ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้วโชคดีที่สุด
เราต้องมีทานศีลภาวนาบริจาคทานตามสมควรที่ตนจะกระทำได้
โดยศรัทธาเลื่อมใสในจิตของตนนั้นเอง
ให้มีเหตุให้มีผลไว้โดยเป็นมนุษย์
สำหรับมนุษย์คนเราต้องมี
ทาน
ศีล
ภาวนา
บริจาคเป็นทานให้เกิดเป็นมูลถึงจะเกิดเป็นมนุษย์คนเราอยู่เสมอ
ๆไปนะท่านชาย หญิง
|
|
-
ต่อนี้เป็นน่าสมควรนึกคิด
ผู้ที่มีความโลภ ความโกรธ
ความหลง
อยู่ต้องจิตกตัญญูกตเวทีตอบแทนกันบ้างถึงจะถูกต้องตามนิสัยของมนุษย์คนเรา
ท่านเหล่าใดเห็นแก่ตน
เห็นแก่พรรคพวกของตน
ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ไร้ประเทศและชาติ
ศาสนา
พระประมุขไปเสียแล้วเป็นผู้หาที่พึ่งทางจิตใจมิได้เลย หลงแต่กอบโกยเอาแต่เงินทองไม่นึกถึงผู้ท่านกตัญญูที่ท่านอุดหนุนเรา
ให้ลาภรวยเพราะอะไรกันบ้าง
ท่านอย่าไปถือว่าทำบุญให้ทานสูญเปล่าหาว่าไม่มีประโยชน์เช่นนี้
เราให้นึกคิดดูศาสนาพระพุทธเจ้าทุก
ๆ วันนี้คือ
พระภิกษุ
สามเณร
ชี
พราหมณ์
อุบาสก
อุบาสิกา สี่เหล่านี้เป็นศาสนาและบูรณะบำรุงศาสนาไว้และอุดหนุนเถ้าแก่พ่อค้า
ให้ลาภรวยเป็นมหาศาลอยู่ทุกวันนี้
ก็เพราะศาสนายังอยู่คือพระภิกษุสามเณรชีพราหมณ์นักบวชชายหญิง
อุบาสกอุบาสิกา นี้แหละอุดหนุนพ่อค้าพานิชให้ลาภรวย เป็นผู้ทำกิจในทางพระพุทธศาสนาเพื่ออุดหนุนการค้าให้ถาวรอยู่เท่าทุกวันนี้
มีทั้งอุดหนุนตั้งแต่ดอกไม้ธูปเทียนเป็นต้น และเครื่องบูชาต่าง
ๆออกมาก
ยังมีการบริโภคอาหารหวานคาวทุกอย่าง
เป็นเครื่องได
้มาจากการอุดหนุนพ่อค้าแม่ค้าด้วยกันทั้งนั้น
ยังอยู่การบริโภคเครื่องใช้สอยต่าง
ๆ
ผ้านับแต่ผืนเล็กยันผืนใหญ่
ทั้งเหลืองและขาว
ที่นั่งที่นอนออกมากมาย
ยังมีการก่อสร้างเสนาสนะทราย
หิน
ปูน
เหล็ก
ไม้
ออกมากมายพรรณนาไม่ไหว
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาจากรายการซื้ออุดหนุนพ่อค้าเถ้าแก่ทั้งนั้น
ทำไมพ่อค้าแม่ค้าบริษัทเถ้าแก่ไม่กตเวทีบำรุงพระภิกษุ
สามเณร
ชี
พราหมณ์
นักบวชไว้บ้าง
ตอบแทนด้วยข้าวสุก
เกลือน้ำตาลก็ได้
ยามเช้า ๆ
พระออกบิณฑบาตเราเห็นก็คิดถึงศาสนาที่พระเณรชีพราหมณ์นักบวชอุบาสก
อุบาสิกาอุดหนุนเราบ้าง
เราก็ใส่บาตรให้ท่านบ้าง
แต่ผู้ใส่บาตรนั้นก็มีแต่ก็มีน้อยที่สุด
เพราะไปมองเห็นว่านักบวชไม่มีประโยชน์
เพราะเรารู้ไม่ถึงนั้นเอง
ทำให้พ่อค้ารวยปีหนึ่ง
ๆ
หลายร้อยล้านไม่ใช่หรือ รวยโดยของบริสุทธิ์เป็นสิ่งไม่เดือดร้อน ไม่เหมือนประเทศอื่น ๆ
ที่ไม่มีศาสนา ประเทศนั้น
ๆเขารวยก็จริงเพราะเขาขายอาวุธให้มนุษย์คนเราเข่นฆ่ากัน ทำให้มนุษย์เกิดเดือดร้อนกันไปทั้งโลกอยู่ทุก
ๆ วันนี้
เราไปเห็นดีสิ่งใดต่อ
ๆ
ไปผู้ขายอาวุธนั้นก็จะเกิดการวิบัติเร่าร้อนตายไปตามกันไม่ช้าก็เร็วนะท่าน
พระภิกษุ
สามเณร
ชี
พราหมณ์
อุบาสก
อุบาสิกายังสั่งสอนไม่ให้ปุถุชนค้าขายสิ่งเร่าร้อนที่เบียดเบียนตนและผู้อื่น
คือค้าขายอาวุธที่เป็นเครื่องประหัตประหารซึ่งกันและกัน
1
ไม่ให้ค้าขายยาพิษ
1
ไม่ค้าขายสุรายาฝิ่นเฮโรอีนผงขาวที่ทำลายตนและผู้อื่น
1
ไม่ให้ค้าขายมนุษย์คนเรา
1
สี่อย่างนี้ผู้ขายมีจิตใจขาดจากมนุษย์คนเราไปแล้ว
จะหาความสุขมิได้เลยเพราะมันเป็นทางอัปมงคล
ถึงเมื่อตายไปแล้วก็จะไปตกนรก
ออกจากนรกมาเกิดอีกก็จะเป็นคนใบ้บ้าเสียจริตต่อ
ๆ
ไปถึงห้าร้อยชาตินะท่านชายหญิง
เพราะตนค้าขายให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนเศร้าหมองนั้นเอง
เรามีจิตใจแจกจ่ายให้ผู้อื่นรับความเดือดร้อนเศร้าหมองนั้นเอง
เรามีจิตใจแจกจ่ายให้ผู้อื่นมีงานทำเพื่ออาชีพมีความสุขส่วนตัว
เราก็จะได้รับความสุขความเจริญติดตามไปด้วย
ถ้าเรามีการกระทำทางกายทางวาจาทางใจให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วยวิธีใด
ๆ ก็ตาม
ผลที่เราจะได้รับก็คือเราต้องได้รับความเดือดร้อนเช่นกันนะท่าน
ถึงเมื่อท่านอุดหนุนเรา
เราสมควรอุดหนุนท่านด้วยให้เลิกจากสิ่งที่ชั่วให้บำเพ็ญสิ่งที่ดีให้สามัคคีซึ่งกันและกัน
ให้มีการกระทำจิตใจตนและผู้อื่นให้สบาย
มิให้เบียดเบียนตนและผู้อื่น
โดยเป็นเหตุให้เกิดความเศร้าหมองให้นึกถึงความเจ็บไข้ได้ป่วย
ความใกล้จะตายที่จะมาถึงตนด้วยเพื่อจะได้อาศัยซึ่งกันและกันด้วย
ถึงจะไม่มีศัตรูนะท่าน
|
|