-
พิจารณาก่อนบรรพชา
|
|
-
ภายหลัง
อาตมาได้ออกจากจังหวัดนครนายก
เดินทางมุ่งหน้าไปถึงกรุงเทพฯ
ได้เข้าพักอาศัยอยู่ที่วัดดวงแข
เย็นวันนั้น
ได้พบกับผู้บังคับกองอร่าม
ร้อยเอกคทาวุธ
และร้อยตรีลิขิต
นายทหาร
ร.พัน 1
รักษาพระองค์
ได้ถามอาตมาว่า ท่านอาจารย์จะไปไหนต่อไป
อาตมาได้ตอบว่า
เมื่อออกจากกรุงเทพแล้ว
จะไปเชียงใหม่
ไปต่อถึงพม่า
นายทหารเหล่านั้นได้กล่าวขึ้นว่า
ท่านอาจารย์ครับ พวกผมจะขอถวายผ้ากาสาวพัตร
พร้อมทั้งบริขารทั้งแปดให้ท่านอาจารย์ๆ
จะรับได้ไหมครับ
อาตมาได้พูดตอบไปว่า
ดูก่อนท่านผู้มีศรัทธาทั้งหลาย
ฉันขอรับฟังไว้ไปพิจารณาดูในศีลสิกขาบทประมาณ
7 วัน
จะรับได้หรือไม่นั้น
จะแจ้งให้ทราบในภายหลัง
|
|
-
ต่อจากวันนั้นผ่านไปแล้ว
อาตมาได้พิจารณาในศีลสิกขาบทข้อที่
10 คือ
ชาตะรูปะระชะตะ
ปฏิคคะหะนา
เวรมณี
ตามพุทธบัญญัติห้ามไว้
สำหรับภิกษุสามเณร
ห้ามมิให้ยินดี
ห้ามไม่ให้จับเงิน
และทอง
ห้ามไม่ให้ซื้อขาย
ห้ามไม่ให้ยินดี ในวัตถุที่ประเทศอื่นๆ
เขาใช้แทนเงินและทอง
อาตมาต้องพิจารณา โดยแยบคายเสียก่อนว่า
หากบรรพชาอุปสมบท
รับศีลข้อที่สิบไว้แล้ว
เราจะปฏิบัติตามโดยแท้จริงได้หรือไม่
เพราะว่าแต่หนหลัง
เราเคยเป็นดาบส
รักษาศีลแปดเก้าสิกขาบทมาแล้วโดยบริสุทธิ์ มิเคยล่วงเกินแต่อย่างใด
เป็นเวลายาวนานถึงหกปีเศษมาแล้ว
ครั้งนี้หากเราจะรักษาศีลเพิ่มเติมขึ้นอีกข้อหนึ่ง
คือข้อที่สิบ ถ้าละได้โดยบริสุทธิ์หมดจดจริงแล้ว ก็จะถูกต้องตรงแท้ตามพุทธประสงค์
เพราะศีลข้อนี้พระพุทธองค์ทรงมอบไว้ให้ภิกษุสามเณรถือไว้เป็นอาวุธ
เพื่อต่อสู้ป้องกันกับตัณหาเหล่าที่มีมาทางวัตถุกาม
และกิเลสกาม
|
|
-
พระพุทธเจ้าได้ทรงวางในศีลข้อที่สิบนี้เต็มอัตรา
คือ 30
สิกขาบทนั้นแล้ว
ตัณหาจะมีมาได้อย่างไร
ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย
ก็จะเดินทางเข้าสู่โลกุตรธรรมได้โดยง่าย
เพราะสิกขาบทเหล่านี้เป็นหมู่ๆ
เพื่อต่อสู้กับมารทั้งหลาย
ไม่ต้องการให้สาวกของพระพุทธองค์ลุ่มหลงในทรัพย์ศฤงคาร
ยึดผิดติดวัตถุโลภ หลงมัวเมายึดเอาโลกิยะสมบัติหวั่นไหวไปตามโลก
แต่เพื่อจะให้มุ่งหน้าหาความหลุดพ้นจนบรรลุมรรคผล
เป็นพระอริยะเจ้า
|
|
-
อาตมาจึงต้องพิจารณา
ถามตนของตน-ถามใจ-ถามจิตวิญญาณ
ถามท่านเหล่านี้ว่า จะพร้อมใจกันปฏิบัติตามศีลข้อที่สิบนี้ได้หรือไม่
เพราะเหตุว่ากายสังขารมนุษย์นี้โดยย่อมีอยู่
3 คนคือ นายตน
นายใจ
นายจิตวิญญาณ
(หรือเรียกว่า
จิตนอก
จิตใน
จิตในจิต
ซ้อนกันอยู่เช่น กายนอก กายใน
กายในกาย)
3
คนนี้เขาครองสังขารอยู่
ต้องทำการปรึกษาตกลงกันเสียก่อน
ไม่ให้ขัดแย้งกัน
มิให้เกิดวิจิกิจฉาติเตียนซึ่งกันและกัน
เพราะว่ากายเหล่านี้
เขาต้องพึ่งวัตถุกาม
เป็นเครื่องยึดเครื่องอาศัย
ถ้าขาดทรัพย์ศฤงคารวัตถุปัจจัยแล้ว
หมู่ท่านทั้งสามนี้เขามักจะมีความเร่าร้อนดิ้นรนกระวนกระวาย
เศร้าโศกเสียใจต่างๆ
นานา
การที่พระศาสดาทรงห้ามไม่ให้จับ
ไม่ให้ยินดี
ต่อเงินและทองสิ่งที่ใช้แทนเช่นนี้
ว่าจะเกิดการไม่สะดวกขัดข้องประการใดหรือไม่
|
|
-
อาตมาจึงตั้งปัญหาธรรมนี้วิจัยในตนของตน ถามใจ-ถามจิตวิญญาณ
เพื่อความพร้อมเพรียงเสียก่อนดังกล่าวมาแล้ว ถามว่าปฏิบัติตามศีลข้อนี้ได้ไหม
นายจิตตอบว่าได้
แต่นายใจอีกอันหนึ่งแย้งว่าถ้าเราไม่รับเงินและทองแล้ว
จะไม่ทำให้ศรัทธาของญาติโยมต้องพลอยตกไปด้วยหรือ
นายจิตตอบว่า ถ้าหากเราจะไปไหนก็ควรมีไวยาวัจกรตามไป หากมีญาติโยมนำอะไรมาถวาย
ถ้าเป็นวัตถุที่พระพุทธเจ้าห้าม
เมื่อเรารู้เราก็ไม่รับประเคน
ส่วนเงินทองข้าวของที่ญาติโยมนำมาถวาย
ก็เป็นเรื่องหรือหน้าที่ของไวยาวัจกร
เป็นผู้รับศรัทธา เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้บริจาคทั้งหลาย นายใจถามต่อไปว่าหากมีผู้บริจาคศรัทธาจำเพาะเจาะจงต้องการประเคนเงินทอง
กับภิกษุและสามเณรโดยตรงจะปฏิบัติอย่างไร
นายจิตตอบรับว่ารับได้แต่ต้องไม่มีความอาลัยใยดีในเงินและทองนั้น
รับแล้ววางไว้ที่เดิม
สละไปไม่ต้องนำมาใช้จ่าย
เงินที่เสียสละไปแล้วนั้น
ห้ามมิให้ไวยาวัจกร นำมาใช้จ่ายเปลี่ยนแปลง
ซื้อของมาถวายเราอีกเป็นอันขาด
นายใจได้ถามอีกว่า
เมื่อเดินทางไกลไม่มีเงินทองติดตัว
จะเอาอะไรซื้ออาหาร มิต้องอดอยากหิวโหยเกิดทุกข์เวทนาแย่หรือ นายจิตตอบว่าหากเราบวชเป็นพระภิกษุสามเณรแล้ว
เราก็บิณฑบาตมาฉันเพื่อกันเวทนาไปวันหนึ่งเท่านั้น
ด้วยเหตุพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้
ไม่ให้ภิกษุสามเณรซื้อขาย
ไม่ให้ใช้รูปิยะ-กัปปิยะด้วยตนเอง
นายใจถามว่าจะเดินทางไกลไม่มีค่าพาหนะ
ค่ารถค่าเรือก็ไม่มี
ทำอย่างไรจึงจะไปได้โดยสะดวกให้คิดดูซิ
นายจิตตอบว่าถ้าเราเดินทาง
เป็นกิจของสงฆ์แล้ว ก็ควรมีไวยาวัจกรติดตามเราไป
ถ้าไม่มีไวยาวัจกรเราก็ไปได้
เพราะภิกษุสามเณรทำกิจต่างชนิดกับผู้ที่ครองเรือน
ไม่มีความเร่าร้อนแต่ประการใด
เราไปตามกิริยาบทของพระคือเดินไปด้วยเท้าก็ได้ เหนื่อยนักก็หยุดพักไปตามร่มไม้ชายป่า วัดวาอาราม
มิต้องเดือนร้อนดิ้นรนอะไรเลย
นายใจถามต่อไปว่า
ถ้าเกิดเจ็บป่วยไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล
จะทำประการใด
นายจิตตอบว่า
เราเป็นพระภิกษุสามเณร
หากป่วยไข้เราควรบอกกับญาติโยมอุบาสกอุบาสิกา คงมีผู้ศรัทธาช่วยเหลือ
อีกประการหนึ่งภิกษุสามเณรเราควรยินดีศรัทธา แต่ในสิ่งเฉพาะหน้า
คือ
ญาติโยมนำยาแก้ไขมาถวาย
เราก็ฉันไปตามที่มีอยู่นั้น
นายใจแย้งว่า
ถ้าไม่หายจากโรคเหล่านั้นควรปฏิบัติอย่างไร มิต้องทนทุกข์ทรมานแย่หรือ
นายจิตบอกว่า
ดูก่อนท่านอย่าเพิ่งวิตกไปนักเลย
เมื่อเราอุปสมบทแล้วเราควรระลึกถึงพระพุทธคุณให้มากๆ
ตามพุทธประสงค์อีกประการหนึ่งที่ทรงห้ามไม่ให้จับเงินทอง
ก็เพื่อประโยชน์โดยตรงกับผู้ปฏิบัติเอง
จะได้เดินตรงทางตามที่ทรงกำหนดไว้
ให้ภิกษุสามเณรได้รู้ได้เห็น
ได้เจอประสบการณ์ต่างๆ
โดยตนของตนเสียบ้าง
(คือรู้เท่าทันสังขารนั้นเอง)
เห็นอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา
จนเกิดเบื่อหน่ายคลายจากความกำหนัด
จากกามทั้งหลาย เพราะกามเหล่านี้
มันเป็นสมบัติของผู้ครองเรือน
มีอยู่ประจำโลก
หรือมีอยู่ในขันธ์สันดานของสัตว์โลก
เกี่ยวพันโลภหลง อยู่กับวัตถุเครื่องใช้ต่างๆ
ฉะนั้นเงินและทองทรัพย์สมบัติ
ที่มีราคาค่างวด จึงเป็นของศักดิ์สิทธิ์เหนี่ยวรั้งโน้มจิต
ให้เข้าไปยึดถือรั้งอารมณ์ของสัตว์ไว้
ให้ไปติดในวัฏฏะสงสาร
เกิดโสมนัสสัญญา
และโทมนัสสัญญา
มีอาการไขว่คว้าดิ้นรนและแสวงหาอยู่ร่ำไปในโลกกว้าง
เกิดดับไม่รู้วันจบสุดจะพรรณนาได้
พระพุทธองค์ได้ทรงมองเห็นแล้วเกิดเมตตาสงสาร
จึงได้ทรงชี้ทางไว้ให้
มีอยู่สองอย่าง คือทานและศีล
|
|
-
ทาน
แปลว่าการให้ การเสียสละ
การปราศจาก
เมื่อเราบริจาคทรัพย์ศฤงคาร
วัตถุเครื่องใช้เช่น
เงินทองสิ่งของไปแล้ว
ท่านห้ามไม่ให้อาลัยใยดีต่อสิ่งเหล่านั้น
คือห้ามไม่ให้แสวงหามาอีก
มิให้ทำการสะสมขึ้นอีก
คือ
หมายความว่าให้หมดสิ้นไป
ปราศจากในสิ่งที่เป็นสังหาริมทรัพย์ทั้งหลาย
เป็นอุบายสงบใจ มิให้ยึดเหนี่ยวยินดีในวัตถุตัวตน
นี่ความมุ่งหมายต้องเป็นอย่างนี้
ผู้ที่จะมาบวชเป็นพระภิกษุ-สามเณร
ต้องปฏิบัติเช่นนี้
ผู้ใดที่มาบวชเป็นภิกษุ-สามเณรในศาสนานี้
ยังมีจิตคิดอาลัยใยดีต่อสิ่งดังกล่าวแล้ว
กลับมาสะสมรวบรวมขึ้นอีก
มีความยินดีต่อไปอีก
ก็แปลว่าพระภิกษุสามเณรผู้นั้น
ยังติดอยู่ในกาม
มีความโลภความหลงอยู่
เป็นพระภิกษุสามเณรไม่พอศีล
บกพร่องในสิกขาบทข้อที่สาม
กับข้อที่สิบนั้นเอง
|
|
-
นายใจถามว่า
ผู้ที่ยังบกพร่องต่อพระธรรมพระวินัย
ปฏิบัติไม่เต็มดังที่พูดมาแล้วจะเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้ไหม
นายจิตตอบว่า เป็นพระภิกษุสามเณรได้เหมือนกัน
แต่เป็นพระไม่เต็ม
เป็นได้แต่ชื่อเท่านั้น
เป็นผู้ที่ยังบกพร่องอยู่
เป็นผู้ที่ยินดีในกาม
เป็นผู้ทำลายศาสนาทำลายตนเอง
และหลอกลวงผู้อื่น เป็นภิกษุผู้สมมติ
จัดเป็นภิกษุผู้สมบูรณ์ไม่ได้
นายตน-นายใจ-นายจิต
ได้ดำริต่อไปอีกว่า
การที่เราทั้งสามพิจารณาใคร่ครวญกันอยู่ในศีลข้อที่สิบนี้
ตกลงกันอยู่หลายวัน บัดนี้จวนครบตามกำหนดนัดหมายไว้
กับผู้บริจาคผ้าไตรจีวรนั้นแล้ว
จะตกลงหรือไม่ประการใด
จะหลีกออกจากกาม
เดินทางเข้าสู่โลกุตระ
(โลกอุดร)
จะเข้าสู่อสังขตธรรม
และพระนิพพานหรือไม่
พวกเราจะได้พ้นจากโลภ-โกรธ-หลง-กามคุณห้ากันเสียที
เพราะตัณหาเหล่านี้นำให้เราสุขบ้าง
ทุกข์บ้าง
เกิดดับสลับกันไป
ชาติไหนทำความชั่วไว้มากก็ไปตกนรก
เร่าร้อนทนทุกข์แสนเข็ญ
หมดเวรหมดกรรมที่สร้างไว้
จึงกลับจุติมาเกิดในโลกมนุษย์อีก
ไม่สิ้นสุด
เพราะตัณหาพาไปเหมือนไฟสุมอก
โลภหลงมัวเมา
ยึดเงิน-ยึดทองทรัพย์สินสมบัติ
ยึดรูป
ยึดนาม
ยึดตัวยึดตน
ถือเขาถือเรา ห่วงโน่นห่วงนี้
ถือยศถือศักดิ์
รักเกลียดมัวเมา
ตราบเท่าชราไม่มีวันสุด
ตายแล้วก็เกิด
เกิดแล้วก็ตายไม่มีวันจบ
ร้อยชาติหมื่นชาติหมุนเวียนเรื่อยไป
เจ้าตัวกิเลสตัณหาราคะนี้เป็นฝ้าบังตามนุษย์สัตว์เทวดาทั้งหลายไม่ให้เห็นดวงธรรม
จึงทำให้ท่านทั้งหลายพูดกันน่าขำว่าเป็นของธรรมดา
เพราะอะไร
ก็เพราะตัณหาปิดตาปิดใจท่านไว้
ไม่ให้รู้พระธรรมพระวินัยอย่างแท้จริง
จึงเห็นแต่เพียงว่าเป็นของธรรมดา
อะไรก็ถือว่าเป็นของธรรมดา
อยู่ในกิเลสกองทุกข์ก็ว่าธรรมดา
อยู่ในนรกมูตรคูตร
ตัณหาก็ถือว่าเป็นของธรรมดา
ให้ท่านมองเห็นพิจารณาดูความทุกข์ของธรรมดาบ้าง ให้ท่านเห็นความเสื่อมของธรรมดาบ้าง ให้ท่านเห็นความเปลี่ยนแปลงของธรรมดาบ้าง ให้ท่านเห็นความทุกข์ของธรรมดาบ้าง ให้ท่านเห็นความเคลื่อนได้ของธรรมดาบ้าง
|
|
-
จากนี้ไป
นายตน นายใจ
นายจิต ได้พิจารณาย้อนดูในอดีตจึงทราบว่า
เจ้าตัวกิเลส-ตัณหา-ราคะ
สามตัวนี้เป็นผู้ชักนำ
ให้เราหลงอยู่ติดอยู่
ตามติดผูกพันมานานนักหนา
ร้อยชาติหมื่นชาติตั้งแต่
ปู่-ย่า-ตา-ยาย
เวียนตายเวียนเกิดดังกล่าวมาแล้ว
เอาละต่อจากนี้ไปพวกเราทั้งสาม
คือ นายตน
นายใจ นายจิต
จะไม่ยอมเชื่อคำ
จะไม่ยอมทำตามเจ้าพวกกิเลสกามต่อไป
|
|
-
จึงในเย็นวันนั้นเมื่อครบถ้วนเจ็ดวัน
ผู้บังคับกองอร่าม ร้อยเอกคฑาวุธ
และร้อยตรีลิขิต
ผู้ศรัทธาทั้งสามได้นำผ้ามาถวาย
อาตมาจึงพูดว่า
อ้อ นี่ครบถ้วนเจ็ดวันแล้ว
เอาละอาตมายอมรับบริขารแปดตามความประสงค์ของท่าน นับเป็นบุญเป็นกุศล
ของหมู่ท่านยิ่งแล้วจะพึงหาได้ในโลกนี้
จะเป็นประโยชน์และความสุข
เป็นอานิสงส์ของท่านทั้งหลาย
ทั้งภพนี้และภพหน้า เป็นการอุปสมบทครั้งสุดท้ายของอาตมาแล้ว ภายหลังจากทำเพียรนุ่งขาวมาหกปี
เป็นประเพณีของผู้ปฏิบัติมาแต่อดีตกาล
|
|
-
ต่อจากนั้นอาตมาจึงได้พิจารณาแก่เจ้ากิเลสตัณหาราคะต่อไป
และดำริว่า
ดูก่อนท่านตัณหา
เมื่อก่อนนี้
อาตมาสนใจเชื่อคำท่านมามาก
เหล่าท่านก็พาอาตมาไปร้อยสีพันอย่าง
พาอาตมาไปสู่ความรักความใคร่
ความเหยียดหยามชิงชังบ้าง
สุขโสมนัส
ทุกข์เศร้าโศกเสียใจ
ได้รับเวทนาดิ้นรนด้วยอาการต่างๆ
กัน
เพราะอะไร
ก็เพราะเราหลงเชื่อคำท่านทุกประการ
แต่วันนี้ต่อไป
อาตมาได้รับผ้ากาสาวพัตรอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว มีศีล-สมาธิ-ปัญญาเป็นเกาะป้องกัน
อาตมาต้องลาจากท่านกิเลสตัณหา
ปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัย
ท่านและเราจะต้องแยกกัน
ไม่เชื่อฟังกันอีกต่อไป
ท่านจงอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด
เจ้ากิเลสกามทั้งหลายเอ๋ย
เจ้ากับเราจะต้องห่างไกลกันออกไปทุกทีๆ
เราคงจะไม่ได้พบกันอีก
ต่างคนต่างอยู่
ต่างคนต่างไป คนละทางคนละฝ่าย
คนละฟากคนละฝั่ง
ดูก่อนท่านกิเลสตัณหาราคะ
ในอดีตท่านได้เป็นผู้นำอาตมา
มาหลายชาติแล้วเช่น
|
|
-
1. บางคราวท่านได้นำอาตมา
ไปฆ่าเนื้อเบื่อปลา
ปลิดชีพมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเสียมากต่อมาก กำแหงจนลืมตัว
ยกตนข่มท่าน
ว่าเก่งกล้าสามารถ
อวดตัวอวดตนข่มเหงระรานผู้อื่น
จองล้าง-จองผลาญ มีความพยาบาทเป็นทุน
เพิ่มความฮึกเหิมความโกรธให้กับใจตน
หาความสงบไม่ได้
สร้างกรรมสร้างเวรไม่เกรงกลัวบาป
เหล่านี้ท่านตัณหานำอาตมาไปไม่ใช่หรือ
|
|
-
2.
บางครั้งท่านตัณหาได้นำอาตมา
ไปทำอทินนาทานลักขโมยของเขา
เนื่องจากมีความโลภ ยินดีอยากได้ในสิ่งของๆ
ท่านผู้อื่น ซึ่งมีเจ้าของหวงแหนอยู่
เขายังไม่ได้อนุญาตให้นำมาเป็นของๆ
ตน
ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
เผลอไม่ได้เป็นหยิบเอาขโมยเอาเห็นแต่ได้ฝ่ายเดียว
มีความโลภดิ้นรนอยากได้สมบัติอยู่เรื่อยไป หาความสงบมิได้
|
|
-
3. บางครั้งท่านก็พาอาตมาไปให้ประพฤติล่วงเกินในของรักของใคร่
ในสิ่งที่เป็นกิเลสกาม
ยึดมั่นถือมั่นในกาม
มีความอยากในกามารมณ์ต่างๆ
ล้วนแต่ประพฤติ
ในสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์
ชอบพอหลงใหลแต่ในสิ่งที่เป็นสภาวะ
เป็นที่รักที่ยินดีในโลก
เช่น
โภคทรัพย์ต่างๆ
ล้วนที่มีสังขารครอง
และไม่มีสังขารครอง
จับต้องชายหญิงในเพศตรงกันข้าม
ลูกเขาผัวเมียเขาไม่เลือกหน้า
หลงสัมผัสยินดีแสงสีต่างๆ
ชั่วลูกชั่วหลานมานานนักหนา
เกิดชอบพอรักใคร่
อยากจะได้ทดลอง
หูหนวกตาบอดไม่เว้น
นุงนังไปหมด
เกิดมีลูกมีหลานมากมายเหลือเกิน
หาเลี้ยงไม่พอ ยากแค้นทนทุกข์เวทนา
ทำให้จิตใจเร่าร้อนนอนไม่หลับกระสับกระส่าย ตัณหาหลอกล่อเอาปลอกแขวนคอ
นี่แหละหนอตัณหาเอากามมาลวง
ปล่อยใจให้หลงใหลไปในเบญจพิธกามคุณคือ
รูป-เสียง-กลิ่น-รสและโผฏฐัพพะอันอบอุ่นนิ่มนวล เป็นสิ่งยั่วยวนชวนให้กำหนัด
ขัดเคืองลุ่มหลงมัวเมา
ไม่พ้นจากเครื่องผูกอันเป็นกิเลสราคะไปได้
|
|
-
4.
บางขณะท่านตัณหาได้นำอาตมาไป
ให้กล่าวคำเท็จ ล่อลวงผู้อื่น
ให้ได้รับความเสียหายเดือดร้อน
พูดจาส่อเสียดใส่ร้ายป้ายสี
เนื่องจากมีท่านตัณหาเป็นเหตุคับแค้นดลใจอยู่ จึงกล่าววาจาออกมาเพื่อเห็นกับประโยชน์ส่วนตัว
ไม่เห็นกับประโยชน์ผู้อื่น
สร้างความเท็จขึ้น ล่อลวงอำพราง
หลอกลวงชายหญิง
เพราะเหตุอะไร
เพราะท่านตัณหาสิงจิตสิงใจอยู่มิใช่หรือ
|
|
-
5. บางขณะท่านตัณหาได้เข้าสิงจิตใจ
พาอาตมาไปในที่ผิด
ติดเหล้า
เมากัญชา-ยาฝิ่น
ของเมาทั้งหลาย
เสียชื่อเสียทรัพย์
เพลิดเพลินมึนงงล้มลุกคลุกคลาน
หมดความละอาย
พูดจายานคางลิ้นสั้นพรรณนาท้าตีท้าต่อย
เรียกเมียว่าแม่-เรียกแม่ว่าเมีย
ไม่รู้จักพระ ไม่รู้ว่าเป็นสมณะชีพราหมณ์
ไม่รู้จักสูงต่ำจนเกิดถ้อยร้อยความ
บางคนหัวล้านฟันหลุด
หนังเหี่ยวผมหงอก
แล้วยังเมาเสียเต็มคราบ
นอนให้สุนัขเลียปากพูดมากไม่ได้ศัพท์
เกิดโรคเกิดภัย
ตกน้ำตกท่าเมาแป้จนตาย
เหล่านี้ท่านตัณหาทั้งสาม
นำอาตมาไปใช่ไหม ทำให้มืดให้หลงมัวเมาติดอยู่ใช่ไหม
|
|
-
6. ดูก่อนท่านตัณหา
บางครั้งได้เข้าสิงอาตมา
ให้เกิดเดือดร้อน
หิวโหย
อ่อนเปลี้ยในยามวิกาล
นอนหลับแล้วลุกขึ้นมาเสาะหาของกิน
เวลาค่ำคืนบ้าง กลางวันบ้าง
ติดรสติดชาดสารพัด
จะกินมื้อไหนไม่ได้กิน
ก็ให้เกิดอ่อนเพลีย
ท้อถอยทุรนทุรายต่างๆ
นานา
บรรพชิตบางรูปเป็นสมมุติสงฆ์
ไม่เชื่อศีลไม่เชื่อสิกขาบทก็มีมาก
หลงเชื่อตัณหา
เชื่อปากเชื่อท้อง
พระพุทธองค์ท่านทรงปรารถนา
ให้ฉันแต่เพียงมื้อเดียว
แต่ฝ่ายตัณหาบอกทนไม่ได้
ฉันวันละสองมื้อก็ทนไม่ไหว
ตัณหาบังใจสิงใจให้อยาก
กลัวอดกลัวหิวไม่รู้จักพอ
|
|
-
7.
ดูก่อนท่านกามตัณหา ท่านภาวะตัณหา
และท่านวิภาวะตัณหา
ท่านเคยดลใจชักจูงให้อาตมาไปหาความสำราญใจ หลงใหลเพลิดเพลินเต้นรำขับร้องดนตรีต่างๆ
หมดแอ่วหมอลำเป่าแคนเป่าขลุ่ย
สีซอ
เต้นรำ
กลองยาวลิเกลำตัด
โขนหนังการละเล่นต่างๆ
ทำให้หลงใหลอยู่ในกามคุณ
หลงแก่หลงตาย หลงวุ่นหลงวาย
เพราะตัณหาพาไปตกนรกทั้งเป็น
ไม่รู้ว่าวันคืนล่วงไปเท่าไหร่
หมดเงินหมดทองหมดตัว
เสียผัวเสียเมียเสียลูกเสียหลานเพราะดูการเล่น
เพราะหลงทางเดิน ใจยังไม่แก่แต่สังขารร่อแร่เต็มประดา ตายเป็นผีแล้วต้องมาเกิดหมุนเวียนในวัฏฏะ ติดภพติดชาติหาทางหลุดพ้นไม่ได้
|
|
-
8.
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว
ยังมีอีกมิใช่หรือ
ท่านกามตัณหา
ท่านภาวะตัณหา ท่านวิภาวะตัณหา
ท่านอำพรางปิดบังไว้
ให้อาตมาหลงใหล
ในเครื่องย้อมเปลี่ยนสี
ทัดดอกไม้ของหอม
ย้อมทาปลอมแปลง
แต่งหน้าเขียนคิ้วดัดผม
แต่งเล็บเสริมทรงทาปาก
ให้สวยงาม
ผัดแป้งแต่งกายด้วยผ้าไหมสีแพรต่างๆ
ยั่วยวนส่วนโค้งในกายตน
ล้วนแต่ระบายสี
ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบอบอวล
ผมขาวแล้วย้อมสีให้กลับเป็นดำ
อำพรางสังขารเฒ่าแก่
เอาแต่สิ่งปฏิกูลซ่อนไว้
หนุ่มแก่เหมือนกันหมด
ไม่รู้จักวันตาย
ไม่รู้
ไม่ได้เห็นของจริง
(ธรรม)
มัวแต่เสกแป้งผัดหน้าว่าคาถา
มหาละลวยเพื่อให้เขารักตน
นี่แหละท่านตัณหา
ท่านทำให้เกิดการฉุดคร่า
ก่อคดีอนาจารเต็มบ้านเต็มเมือง
เพราะอบผิวน้ำหอมของอาภรณ์ประดับกาย
ยั่วยุกิเลสราคะ ให้ลุกโพลง
หลงลืมคุณธรรมประจำใจ
โดยตัณหากั้นไว้ เกิดมารหัวขนรีดลูกไม่มีพ่อ
โดยที่ท่านตัณหา
เป็นหัวหน้าในปีศาจสังคมมิใช่หรือ
ยมทูตได้มาพร่ำเตือนฝูงชนอยู่เนืองๆ
แต่หามีผู้ใดรู้ทันไม่
ก็ความเกิด
ความแก่
ความเจ็บ
ความตายอย่างไรเล่ารอบๆ
ตัวของท่าน
คนรักมิตรสหายและตัวท่านเอง
ก็เกิดเจ็บป่วยล้มตายลงไปทุกวันไม่เห็นหรือ นั่นแหละอนิจจัง
ทุกขังและอนัตตา
เห็นไหมของจริง ทำไมมองไม่เห็น
มองเห็นแต่เจ้าตัณหาปีศาจจอมปลอมกันอยู่
|
|
-
9. ท่านตัณหาทั้งหลาย
ท่านมิใช่หรือที่ดลใจให้มนุษย์
หลงใหลรักหวงอยู่ในเสนาสนะเคหะสถาน
ที่นั่งที่นอนอันโอ่โถงสูงใหญ่ไฉไลนิ่มนวล มีการตกแต่งประดับประดาด้วยสิ่งอันสวยงามล้ำค่ำอย่างปราสาทราชวัง
จนถึงกับเกิดการชิงดีชิงเด่น
แย่งบ้านแย่งเมือง
แย่งเก้าอี้กันจนเกิดฆ่าฟันกันตาย
มามากต่อมากนักแล้ว เพราะอะไร
เพราะแย่งยศถาบรรดาศักดิ์
คฤหาสน์ราชวังอันใหญ่โตหรูหราทั้งหลาย
เหล่านี้มิใช่หรือ
หลงยึดติดเพลิดเพลินของเราของเขา
ยินดีในโลกียสมบัติ
เวียนว่ายอยู่ในภพทั้งสาม
ตายแล้วก็เกิดมาอีก
เพราะห่วงเคหะสถาน
ห่วงที่อยู่อาศัยเหล่านี้
จึงติดข้องอยู่
|
|
-
10.
ท่านตัณหาทั้งหลายเอ๋ย
ความอยากอันไม่รู้จบ
ความอยากอันไม่รู้จักพอของท่าน
ท่านทำให้ฝูงชนทั้งหลาย
จมอยู่ในกองทุกข์ เช่นเดียวกับหมู่หนอนที่จมอยู่ในปลักอันสกปรกลามก
ฉะนั้นก็อะไรเล่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะตัณหาความอยากได้
อยากมีเงินมีทองทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่ใช้แทนเงิน
มีแก้วแหวนเงินทอง
เพชรนิลจินดา
เป็นต้น
หาซื้อหาขายเอาเงินมาบำรุงกาย
บำรุงความสวยงามความสุขของตน
หาอุบายต่างๆ
นานา
มาโกงเอาเงินไม่เกรงกลัวบาป
บางครั้งถึงกับจ้างฆ่าคน
ทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
เพื่อแลกกับเงินตัวเดียว
ท่านตัณหาทั้งหลายเอ๋ย
บางครั้งท่านเข้าสิงจิตใจคนเราให้โลภ-ให้โกรธ-ให้หลง
ให้สำคัญผิดไปต่างๆ
นานา
หารู้ไม่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
ไม่ใช่ตัว-ไม่ใช่ตน มงกุฎเพชร
คทาทอง
สร้อยสังวาลอันล้ำค่าทั้งหลายแหล่
ก็นำติดตัวไปไม่ได้
แม้ว่าจะเป็นสมเด็จพระราชา-มหาเศรษฐีมีเงินมหาศาลเพียงใด
เงินทองนั้นเป็นสมบัติของสัตว์โลก
คุณก็มีมาก
ส่วนโทษนั้นก็เหลือหลาย
|
|
-
ดูก่อนท่านตัณหา
ท่านเปรียบเหมือนบิดามารดาของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
ท่านเป็นผู้แนะนำสั่งสอนอบรมให้มนุษย์และฝูงสัตว์
ท่านทำให้เขาเพลิดเพลินทะยานอยากหลงอยู่ในโลกีย์
ท่านมีสัญญาอุปาทาน
จำได้หมายรู้ให้เกิดรู้เกิดมีขึ้น
ในจิตของสัตว์โลกให้คิดไปต่างๆ
นานา
อบรมสั่งสอนทุกวิถีทางให้เขาติดอยู่ในกามคุณ
ด้วยความอยากทั้งหลายที่มีประจำโลก
แทนที่จะดับความอยากเสียให้สิ้นเชิง
ท่านเป็นผู้ทรมานจำจองมนุษย์และสัตว์อย่างมากมายเช่น
|
|
-
1.
คือความทะยานอยากเพลิดเพลินยินดีดังกล่าวมาแล้วนั้น
บางครั้งก็เป็นบุญบางครั้งก็เป็นบาป
ดังนี้
|
|
-
2.
ทำให้เกิดความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
กระสับกระส่ายลุ่มหลง
ไม่รู้บาปบุญคุณโทษเมื่อได้สมตามความปรารถนาก็ดีใจ
หากไม่ได้สมหวังก็เสียใจ
|
|
-
3.
ทำให้เกิดพยาบาทจองเวร
ดุร้ายต่างๆ
นานา ตายแล้วเกิดมาใช้กรรมท่านไป
เพราะพยาบาทมีอยู่
ภพชาติจึงต้องมี
|
|
-
4.
ทำให้จิตใจหดหู่งัวเงีย
ง่วงนอนเซื่องซึมต่างๆ
นอนเท่าไรไม่รู้จักอิ่ม
ยืนก็หลับนั่งก็หลับ
นอนก็หลับเรื่อยไป
มิให้รู้รสพระธรรมพระวินัย
เผลอไผลตลอดกาล
|
|
-
5.
ท่านทำให้จิตใจของมนุษย์และสัตว์
มีวิจิกิจฉาสงสัยลังเลไปต่างๆ
นานา
สงสัยในรูป-เสียง-กลิ่น-รส
หญิง-ชายในโลก สงสัยลังเลในพระธรรม
คำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
|
|
-
ท่านตัณหาเอ๋ย
ท่านเป็นเชื้อสายสืบสกุลปู่ย่า
ตา ยาย ทวด เป็นพ่อ แม่ พี่น้อง
ญาติมิตรสืบเนื่องกันมา
ตั้งหลายกัปหลายชาติ
เพราะท่านค้ำจุนฝูงสัตว์ทั้งหลายอยู่
ใครดีท่านก็ดีด้วย
ใครชั่วท่านก็ชั่วด้วย
เพราะท่านรักมนุษย์และฝูงสัตว์
ไม่อยากให้เขาหลุดลอยไปจากโลกนี้
เพราะเป็นลูกเป็นหลานของท่านโดยตรง
ท่านจึงได้ขนทรัพย์ไว้ให้เขาอย่างมากมาย
ทรัพย์ของท่านเหล่านั้นคือ
โลภ-โกรธ-หลง-รัก
เกลียด-ยินดี-ยินร้าย
สรรเสริญ-นินทา
มียศ-เสื่อมยศ
มีลาภ-เสื่อมลาภเหล่านี้เป็นทรัพย์ของตัณหาใช่ไหม
ที่ท่านได้แจกจ่ายให้เป็นที่อยู่อาศัยแก่สัตว์โลก
ถ้าชาวโลกเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว
เขาจะอยู่ได้อย่างไร
|
|
-
อาตมาเกิดมาในโลกนี้
ก็เพราะตัณหา ชักชวนนำพาอุดอู้อยู่ในท้องมารดา
ประมาณสิบเดือน
จึงคลอดออกมาสู่โลกภายนอก
เหตุเพราะท่านตัณหาสืบเนื่องกันมาจากบิดามารดาสืบเชื้อสายวงศ์ตระกูล
เกิดดับมาก็หลายภพหลายชาติ
หลายครั้งหลายหน บางครั้งเกิดกุศลทราบว่าบวชแล้วได้บุญ แต่หารู้ไม่ว่า
บุญและบาปนั้นเป็นอย่างไร เพราะตัณหาบังไว้ไม่พบความจริง
ถือกันตามตำราบอกกล่าวกันไป
ไม่รู้ซึ้งถึงพระธรรมพระวินัย
รู้แต่พูดจา
ยกตำรามากล่าวโจมตีฝูงชน
แต่ก็ไม่พ้นจากตัณหาเลย
สึกออกมา
หาบ่วงผูกคอ
เป็นใบ้เป็นบ้าเป็นขี้ข้าหมู่มารต่อไป
ไม่รู้ซึ้งถึงตัณหาในกองสังขารของตนเลย
อาตมาบวชเรียนมา ตั้งหลายครั้งหลายหน
แต่ตัณหาก็พาอาตมาไป
ให้ทำตามหมู่ตามคณะ
ตามเพื่อนฝูงเสียผู้เสียคน
หนีจากความโลภ-โกรธ-หลงไม่ได้
เพราะอะไร
เพราะตัณหาปิดตา
ปิดใจไว้
จริงหรือไม่
ตัณหาบอกว่าจริงได้เข้าสิงทำใจอาตมาไว้
ให้เห็นกับปากกับท้องตัวตน
เพราะกลัวสังขารของอาตมาจะผอมจะหิวโหย
|
|
-
ดีแล้วท่านตัณหา
อาตมาได้ทราบความจริงของท่านแล้ว
แต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน
อาตมาก็เคยเป็นลูกเต้าเหล่ากอของท่านมา
อาตมาก็มิลืมบุญคุณของท่านหรอก
แต่อาตมาจำเป็น
จะต้องขอละขาดจากมรดกของท่าน
ทำตามข้อห้ามขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา
ห้ามไม่ให้พระภิกษุสามเณร
ปฏิบัติล่วงเกินพระธรรมพระวินัย
ล่วงเกินศีลสิกขาบททั้งสิบข้อ
อาตมาจะไม่ประพฤติปฏิบัติ
ทำตามคำสั่งสอนบอกกล่าวของท่านตัณหาอีกต่อไป ท่านตัณหา
ท่านยังมีข้อข้องปลีกย่อยอะไรหรือไม่
ให้ว่ามา ตัณหาได้ตอบว่า
ถ้าอาตมาได้มุ่งหน้า
ปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัยจริงแล้ว
ตัณหาผู้เป็นใหญ่ เป็นผู้นำสัตว์โลกทั้งหลาย
ปกครองอาตมาอยู่เก่าก่อน
มีความยินดีด้วยเป็นอันมาก
ข้าพเจ้าคือตัณหา จะขอสั่งความไว้สัก 5
ข้อ
คือ
|
|
-
1.
ถ้าท่านปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัย
จนมีดวงตาเห็นธรรมดับทุกข์ได้แล้ว
มีจิตอันสงบระงับเข้าถึงพระพุทธภูมิ
หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลายแล้ว
ท่านได้โปรดแผ่เมตตา
ช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ทั้งหลายด้วยเถิด
โดยท่านช่วย
|
|
-
2.
เทศนาอบรมสั่งสอนธรรม
กับสัตว์โลกเหล่านั้นตามสมควร
|
|
-
3.
ช่วยแนะนำศีลธรรมกับอุบาสกอุบาสิกา
สมณะชีพราหมณ์ เพื่อต่ออายุพระพุทธศาสนาไว้สืบไป
สมกับเป็นสาวกของพระตถาคตเจ้า
|
|
-
4.
ช่วยแนะนำอบรมสั่งสอน
ศีล-สมาธิ-ปัญญา
ซึ่งเป็นรัตนะอันวิเศษดวงนั้น
ให้ได้รู้แจ้งเห็นจริงในหมู่พุทธบริษัททั้งหลาย
|
|
-
พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เพื่อรื้อขนสัตว์ออกไปจากโลก
ข้ามพ้นจากโอฆะสงสาร
พ้นจากทุกข์โศก
โรคภัย
เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย
แต่ท่านตัณหา
ไม่อยากให้มนุษย์และสัตว์หนีไปจากโลก
จึงเข้าทำการปิดตา ปิดใจ ปิดปัญญา
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เสีย
ให้ยึดมั่นถือมั่น อยู่ในสัญญาเครื่องจำได้หมายรู้
หลงอยู่กับสังโยชน์
(คือ
กิเลสเป็นเครื่องผูก)
ติดอยู่ในโลกธรรมแปดประการ ให้รู้แต่เพียงข้อธรรมประจำโลก
ตัณหาได้เข้าสิงใจพวกนักปราชญ์ให้เป็นผู้ฉลาด แต่ไม่ให้เฉลียว
มิให้ล่วงรู้ถึงข้อธรรมที่ตัณหาและทิฐิอาศัยไม่ได้
จึงต้องหลงอยู่ในสังสารวัฏ
ดังนี้
|
|
-
5.
ท่านช่วยโปรดแนะนำกรรมฐานห้า-อสุภะสิบ
แก่พุทธบริษัทในศาสนานี้
ให้รู้ตามความเป็นจริง
ตามเหตุตามปัจจัย ของการปรุงแต่งในสังขารทั้งหลาย
จะได้หาทางหลุดพ้นหนีหน่ายจากภัย
และทุกข์โศกทั้งปวงพ้นจากความวิบัติ
พินาศ
เข้าถึงนิโรธ
กระทั่งเป็นอมตะ
|
|
-
อาตมาได้พิจารณาทวงถามอีกว่า
ดูก่อนท่านตัณหา
ท่านเป็นผู้นำสัตว์โลกทั้งหลาย
รวมทั้งอาตมาเองในกาลก่อนมาด้วย
ท่านตัณหาเองท่านก็รู้ธรรมได้ดี
แต่ทำไมจึงไม่หาทางหลุดพ้น
จากบ่วงมารทั้งหลายบ้าง
ท่านตัณหาท่านติดอะไรอยู่ชี้แจงมาซิ
ท่านตัณหาตอบว่า
ข้าพเจ้าเป็นผู้อยาก
เป็นผู้ชอบพอรักใคร่
มีความกำหนัดเพลิดเพลินในรูป-เสียง-กลิ่น-รส-โผฏฐัพพะ
ธรรมารมณ์ทั้งหลาย มีความรักใคร่พอใจ
ความเพลินความกำหนัดสรรเสริญ
ความหึงหวง-ความกลัวยังมีอยู่
มิจฉาทิฐิจึงมีอยู่จึงต้องข้องอยู่ติดอยู่ เพราะถือวัตถุทั้งหลายว่า
คือตัวคือตน
ความเป็นเจ้าของครองหรือเจ้าของยังมีอยู่
ข้าพเจ้าเป็นตัณหาจึงอาศัยผู้อื่นเขาเลี้ยงไว้
ด้วยข้าพเจ้าเป็นผู้กลัว
ข้าพเจ้าจึงปฏิบัติตามทางของพระศาสดาไม่ได้ ข้าพเจ้ารู้ธรรมก็แต่ปากพูด
รู้ตามศัพท์ตามภาษาเท่านั้น
|
|
-
จริงแล้วท่านตัณหา
ท่านพูดน่าฟังมาก
แต่คำที่ท่านพูดว่า
ท่านมีความกลัวนั้น
ท่านกลัวอะไรนี้เป็นข้อที่
1 ส่วนข้อที่
2 นั้น
ท่านอ้างว่า
ท่านอาศัยผู้อื่นเหล่านี้
ท่านอาศัยผู้ใด
|
|
-
ประการที่ 1 ตัณหาตอบว่าความกลัวของข้าพเจ้านั้นคือ
กลัวจน
กลัวจะมีความทุกข์-กลัวความอดอยาก-กลัวความหิวโหยอ่อนเพลีย
กลัวว่าสังขารร่างกายของข้าพเจ้า
จะไม่สวยไม่งาม ไม่อ้วนท้วนสมบูรณ์
กลัวจะซูบผอมอิดโรย
กลัวว่าคนทั้งหลายเขาจะรังเกียจ
กลัวว่าจะไม่มีใครรัก
กลัวจะไม่มีทรัพย์สินเงินทอง
กลัวคำนินทาว่ากล่าวไม่มีคนสรรเสริญ
กลัวจะไม่มียศศักดิ์ชื่อเสียง
กลัวไปต่างๆ
นานา พรรณนาไม่ไหว
ให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายพิจารณาเอาเอง
เพราะมันเป็นตัณหาพรรณนาไม่จบ
สิงใจอยู่ในกายาหญิง-ชายในโลก
|
|
-
ประการที่ 2 ข้าพเจ้าคือตัณหา
กล่าวว่าอาศัยผู้อื่นอยู่ขอชี้แจงว่า
การอาศัยผู้อื่นอยู่นั้น
ก็คือการติดอยู่ข้องอยู่นั่นเอง
เพราะข้าพเจ้าเป็นตัณหา
ข้าพเจ้าเป็นผู้ชอบพอรักใคร่
ความชอบพอ
ความกำหนัดมีอยู่
เพลิดเพลินสรรเสริญ
หมกมุ่นยังมีอยู่
ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้รักษากายาวัตถุในโลก
ข้าพเจ้ายังรักสังขาร
ยึดถือสังขาร
อาศัยสังขารและร่างกายนี้อยู่
ถือรูปถือนามถือตัวถือตน
ว่าเป็นที่รักที่พอใจของข้าพเจ้า
ตลอดจนวัตถุกามทั้งหลาย
ที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
ที่มีอยู่ประจำโลก
เช่น
สังขารของมนุษย์และสัตว์ประการหนึ่ง
สังขารที่ถูกปรุงแต่งประการหนึ่ง
สังขารสมมุติที่ปรุงแต่งขึ้นมาประการหนึ่ง สังขารที่อุบัติขึ้น
ไม่มีวิญญาณครองประการหนึ่ง
สี่ประการนี่แหละ
ที่ข้าพเจ้าคือตัณหาถือว่าเป็นผู้อื่น
เป็นผู้ที่ข้าพเจ้าได้อาศัยเขาอยู่
ถือว่าเป็นเราเขาตัวตนแท้จริง
ถืออามิสต่างๆ
ว่าเป็นของข้าพเจ้าทั้งสิ้น ข้าพเจ้ายึดถือในสิ่งเหล่านี้เอง
จึงทำให้สัตว์โลกทั้งหลาย
ต้องเวียนว่ายเวียนเกิดอยู่ในภพทั้งสาม
ข้าพเจ้าคือตัณหา
ได้อาศัยสิ่งเหล่านี้แหละ
เป็นแดนเกิด
|
|
-
จริงแล้วท่านตัณหา
ท่านได้สิงใจของอาตมาเสมอมาหลายชาติแล้ว
อาตมาหารู้ไม่ เพราะมองไม่เห็นตัวท่าน
ทำให้หลงวนติดอยู่ในอาสวะกิเลสทั้งหลาย
เกิด-ดับมาหลายชาติมิรู้ทาง
เพราะตัณหานี้เองปิดตา
ปิดใจไว้ไม่ให้รู้แจ้งแห่งทางหลุดพ้น
คือพระนิพพาน
พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มีถึง
84,000
พระธรรมขันธ์
แต่อดีตกาล
อาตมาเคยได้เรียนได้รู้
ได้พูดแนะนำสั่งสอนผู้อื่นมาก่อน
แต่อาตมามิได้มองเห็นรู้แจ้งเห็นจริง
มิได้มองเห็นตัวท่านตัณหาเลย
อาตมาได้แต่คิดว่าเรียนธรรมะไว้มากๆ
เพื่อจะได้สอนผู้อื่น
เพื่อให้เขาชมเชยสรรเสริญเรา
เพื่อความมียศถาบรรดาศักดิ์กับเขาบ้าง
อาตมาคิดอยู่เช่นนี้มานานมากไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่า
ตัณหาสิงอยู่ทำให้จิตคิดยินดียินร้ายจนแก่ตาย
โลภชื่อ-โลภเสียงเหล่านี้
ท่านตัณหาสิงใจอาตมาไว้ใช่ไหม
ตัณหาตอบว่า
จริงแล้ว
ข้าพเจ้านับถือโลกธรรมแปดประการ
เป็นที่พึ่งที่อาศัย
จึงดลใจให้สัตว์โลกมีโลภ-โกรธ-หลง
ประจำสันดานอยู่
|
|
-
ข้าพเจ้าคือตัณหา
ต้องกำบังกายของข้าพเจ้าให้สิงอยู่ในจิตใจ ไม่ให้ใครเห็น
คงให้พวกท่านรู้แต่เพียงชื่อข้าพเจ้าเท่านั้นคือเชื่อว่า
ตัณหาๆ สืบต่อๆ
กันมา
ผู้ที่จะมองเห็นตัวข้าพเจ้าได้ก็คงมีแต่พระธรรมพระวินัยเท่านั้น
นอกจากนี้ไม่มีใครมองเห็น
อินทร์พรหมผู้ซึ่งมีฤทธาศักดานุภาพ
ก็ยังท่องเที่ยววนเวียนอยู่ในภพทั้งสาม
เพราะมองไม่เห็นตัวข้าพเจ้า
คงรู้จักแต่ชื่อเท่านั้น
|
|
-
หากผู้ใดปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
เป็นบุตรของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ผู้นั้นแหละ
จึงมองเห็นตัวข้าพเจ้าอย่างลึกซึ้งแท้จริง ส่วนท่านผู้ใดที่พูดธรรมะแต่ปากแต่ใจนั้นยังโลภอยู่
ผู้นั้นก็ไม่มีหวังที่จะมองเห็นตัวข้าพเจ้าได้เลย
เพราะข้าพเจ้าได้แทรกซึม
อยู่ในจิตในใจ
ของเขาผู้นั้นอย่างไม่รู้ตัว
เพราะเหตุข้าพเจ้าเป็นตัณหา
แทรกซึมอยู่ในสัญญา
สิ่งจำได้หมายรู้จากตำรับตำรา
จึงเกิดอุปทานความยึดผิด
ติดตำรา
ครูบาอาจารย์
ถือเขาถือเราไม่เห็นของจริง
คือไม่เห็นตัณหาในตัวของตน
ว่ายังมีอยู่หรือไม่ประการใดบ้าง
|
|
-
จริงแล้ว
ท่านตัณหา
อาตมาได้รู้ความจริงของท่านแล้ว
เพราะท่านแสดงความจริง
เปิดเผยเล่ห์กลของท่าน
ออกมาสารพัดจะกล่าว
ดูก่อนท่านตัณหา
ต่อไปนี้อาตมาจะขอลาจากท่านไม่ย้อนกลับมาอีก เพราะเหตุอาตมามองเห็น
ความเกิด
ความแก่
ความเจ็บ
ความตาย
ในตนของตน
และสัตว์โลกทั้งหลายแล้ว
มันเวียนตายเวียนเกิด
กันมากมายก่ายกอง
น่าสยดสยองเหลือเกิน
มองเห็นเป็นการเบื่อหน่ายยิ่งนัก
ทั่วพื้นปฐพี
บนบก
ภูเขา
แม่น้ำลำธาร
หนองคลองบึง
และในมหาสมุทรต่างๆ
ก็ตาม
ในแหล่งกามภพนี้ ล้วนแต่มีซากศพนานาชนิด
มีทับถมกันสลับซับซ้อนทวีคูณ
ทั่วถึงกันเต็มไปหมดทั้งโลก
เราจะยืน-เดิน-นั่ง-นอน
ก็ตามทุกอิริยาบถ จะต้องทับถูกที่ฝังศพไปทั่วทั้งนั้น ด้วยสัตว์โลกทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งนั้น
ยังหาทางหลุดพ้นไม่ได้
เพราะด้วยเหตุที่ยอมเชื่อฟัง
และปฏิบัติตามตัณหา
ละความอยากไม่ได้นี้เอง ในโลกจึงเต็มไปด้วยหลุมฝังศพนานาชนิดจริงหรือไม่
ท่านตัณหา
ตัณหาตอบว่า
ใช่แล้ว
หากท่านอาศัยอยู่ในโลกนี้มีแต่ซากศพทั้งนั้นแหละ จะมีที่ว่างแม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี
พื้นปฐพีทั้งหมดที่นูนสูงขึ้นมาได้นี้
ก็เพราะอาศัยวัตถุสังขารซากศพนี้เอง
ตายทับถมกันมาจึงนูนสูงอยู่ได้จนทุกวันนี้
|
|
-
ดูก่อนท่านตัณหา
พรุ่งนี้วันเสาร์แรกแปดค่ำ
เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504
อาตมาจะขอรับผ้ากาสาวพัตรที่ญาติโยมนำมาถวาย
จะขอลาออกจากคำสั่งเชื่อถือบังคับบัญชาของท่านตัณหา
เลิกกันทีตั้งแต่วันนี้ต่อไป
อาตมาจะเชื่อถือแต่พระธรรมพระวินัย
ขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่อย่างเดียว
จะยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์
หากผู้ใดจะอมของวิเศษกายสิทธิ์สิ่งใดที่มีอยู่ในโลก
มาชี้แจงบอกกล่าว ให้อาตมาเชื่อถือแล้ว
ไม่มีหวัง
ของวิเศษศักดิ์สิทธิ์เหล่าใดในโลกนี้
เป็นแต่เพียงคุณวิเศษตามธรรมดาเท่านั้น
จะเป็นของพิเศษศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่กว่าพระธรรมพระวินัย
ย่อมไม่มี อาตมามองเห็นอย่างนี้ของวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับมนุษย์ในโลกนี้
สิ่งที่ท่านได้ยกย่องกันนับถือกันอยู่นั้น มีมากอเนกประการหาที่เปรียบมิได้
แต่ของวิเศษเหล่านั้น
ก็เป็นแต่เพียงสิ่งเวียนว่ายเกิดดับสลับกันไปทั้งนั้น
จะเป็นทางหลุดพ้นก็หาไม่
ฉะนั้นจึงสู้พระธรรมพระวินัยไม่ได้
เพราะว่าพระธรรมพระวินัยนั้น
ผู้ใดเคารพเชื่อถือและปฏิบัติตามแล้ว
ไม่ว่าชนเหล่าใด ต่ำ-กลาง-สูงสุดไม่เลือกทั้งนั้น
หากทำตามพุทธบัญญัติแล้ว
ย่อมสามารถมุ่งหน้าเข้าสู่พระนิพพาน
ไปได้เหมือนกันทุกคนไม่ต้องลังเล
คำกล่าวเหล่านี้จริงหรือไม่
ประการใดท่านตัณหา
|
|
-
ตัณหาตอบว่า
จริงแล้ว-ถูกแล้ว
ท่านผู้เลื่อมใสในพระธรรมพระวินัย
แต่ข้าพเจ้าเป็นตัณหาจะตามท่านไปไม่ได้
ปล่อยข้าพเจ้าไว้ตามทางของข้าพเจ้าเถิด
อย่าได้มีห่วงอีกเลย
เพราะสัตว์ทั้งหลายที่มาอยู่
ไปอยู่
จุติอยู่
ปฏิสนธิอยู่ในโลกนี้
ที่เขายังไปพระนิพพานไม่ได้ยังมีอีกมาก
ข้าพเจ้าคือตัณหาทั้งหลายต้องแนะนำสั่งสอนชักจูง และเข้าสิงหัวใจของเขาไปตามสภาพของสังสารวัฏ
ด้วยกามฉันท์ในโลกธรรมแปดประการสืบต่อไป
|
|
-
เมื่ออาตมาใคร่ครวญรู้วาระจิต
ทั้งในทางโลกีย์
และทางด้านโลกุตรธรรม
ตัดสินใจได้โดยถูกต้องมั่นคง
เห็นทางพระนิพพานดังกล่าวแล้ว
จึงเมื่อวันเสาร์ตรงกับวันที่
8 กรกฎาคม
พ.ศ. 2504
เป็นพรรษาที่ 6
นับจากอาตมาเริ่มเป็นเพศดาบสมาแต่เดิม
อาตมาจึงยอมรับผ้ากาสาวพัตรพร้อมด้วยบริขารแปด จากผู้ศรัทธาถวาย
คือ
นายทหารช่าง
และนายทหารราบรักษาพระองค์
หน่วยของโรงพยาบาลและผู้จัดการโรงงานยาสูบ พร้อมทั้งพระภิกษุคือหลวงปู่พนธ์
วัดหนองคณฑี
ได้ไปพร้อมกัน
เพื่ออุปสมบทอาตมา
ณ.
วัดชิโนรสสาราม
บางกอกน้อย
ธนบุรี
โดยมีพระสุวรรณเวที
เป็นพระอุปัชฌาย์
ขณะนั้นอาตมาอายุได้
51
ปี
เมื่อทำการญัตติจตุตถกรรมเสร็จแล้ว
อาตมาได้พำนักอยู่ที่วัดมหาธาตุ
คณะ 19
พักอยู่ได้ประมาณ
7 วัน
โดยยังมิได้ออกทำการบิณฑบาตเลย
ด้วยเหตุต้องการพิจารณาติดตามจิตใจตนอยู่
เป็นเนืองนิจว่า ขณะที่เราอุปสมบทเป็นพระภิกษุในปัจจุบันนี้
กับจิตของเราแต่อดีตเมื่อครองเพศนุ่งขาวมา
6 ปีเศษนั้น
มีจิตใจที่ทรงตัวอยู่
หรือแตกต่างกันอย่างไร จึงสรุปได้ว่า
จิตของอาตมาขณะนี้ยังทรงตัวอยู่เช่นเดิม
มิได้กลับกลายเปลี่ยนแปลงไปตามเพศแต่อย่างใดไม่
|
|
-
อาตมาจึงได้พิจารณาต่อไปว่าการอุปสมบทเป็นภิกษุนี้
เป็นแต่เพียงสมมุติสงฆ์เท่านั้น
จิตใจจึงไม่เปลี่ยนแปลงไปตามพระธรรมพระวินัย ฉะนั้น ในตอนรุ่งอรุณของวันที่แปด
อาตมาจึงได้นำผ้ากาสาวพัตรทั้ง
3 ไปทำการอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธปฏิมากรนาคปรก แล้วกล่าวคำอธิษฐานดังต่อไปนี้
|
|