ชวนญาติชายหญิงร่วมกันสร้างบุญกุศลบารมีกันเถิด

 

               อาตมาภาพ ขอบอกบุญบารมีมาแด่หมู่ท่านชาย – หญิง ทายกทายิกาให้ทราบทั่วถึงกันทุก ๆ ท่านเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นให้สืบเนื่องต่อ ๆ กันไป เพื่อบุญกุศลบารมีของท่านเองทุก ๆ ท่าน

 

               หลวงพ่อชม อนํคโณ เป็นผู้ให้โอวาทอบรมแด่ท่านชาย – หญิงไม่ว่าเด็กหรือหนุ่มสาวหรือกลางแก่ชรา ยังไม่ทันสายดอกท่าน เพราะยังมีไฟลมหายใจเข้าออกพูดกันรู้เรื่องได้อยู่พอจะสร้างบุญกุศลบารมีกันได้อยู่ทุก ๆ ในทางพุทธบัญญัติโดยบำเพ็ญบารมีให้มากจะได้เชิดชูตนเราท่านขึ้นให้ถึงที่สุคติคือ พระนิพพานเป็นที่สถานรับรองผู้ปฏิบัติจิตใจตน ให้เข้าทางบารมีตามพระพุทธเจ้าบัญญัติ ไม่ผิดหวังดอกท่านชาย – หญิง ผู้มีบุญบารมีอยู่แล้วจะได้เพิ่มพูนขึ้นให้มากต่อไป ผู้ยังไม่มีบุญบารมีก็จะเกิดก็จะมีขึ้นเพราะว่าพุทธศาสนาพระศรีอริยะเมตตรัยโย จะได้มาตรัสอยู่อีก 1 พระองค์เมื่อศาสนาสมณะโคดม เราสิ้นไปหมดแล้วอีกแปดหมื่นสี่พันปี พระศรีอริยะถึงจะได้มาตรัส โปรดมนุษย์และสัตว์ให้เข้าสู่พระปรินิพพาน  อีกต่อไป    หมู่เราท่านชาย – หญิง ไม่ควรพลาดควรพิจารณาหาโอกาสกันมาบำเพ็ญสมณะธรรม สร้างบุญบารมีกันไว้เถิดโอกาสของ หมู่เราท่านมาถึงแล้วให้พากันมาถือบวชกันเถิด ไม่ต้องพยายามหาโอกาสผัดวันประกันพรุ่งให้ตั้งใจตรงมาที่ สำนักสงฆ์เขานันทาพาสุภาพ บ้านทุ่งยาว หมู่ที่ 16 ตำบลโพธิ์งาม อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี กิโลเมตร 169 สายกรุงเทพ – อรัญประเทศ จากสายทางอยู่ทิศเหนือทางแยกทางเข้าซอยไป 1 กิโลเมตร ครึ่งถึงสำนักพอดี การขบฉันอาหารตามอัธยาศัยของนักบวช จัดงานขึ้นเป็นงานประจำปีกำหนดเอาเดือน 4 ขึ้น 9 ค่ำ ทุก ๆ ปีไปปีหนึ่งต่อ 7 วันเท่านั้น เราสมควรมาก่อสร้างบุญบารมีของราได้อยู่ ไม่เหลือวิสัยของปากและท้องดอกท่านชาย – หญิง สังขารเขาจะไม่คอยเรานะท่านจงรีบพากันมาเสียเถิดบุญบารมีกุศลผลบุญที่ท่านจะได้รับนั้นคือ

 

ศรัทธาบารมี 1

ศีลบารมี 1  

เนกขัมมะบารมี 1

ขันตีบารมี 1

สัจจะบารมี 1  

วิริยะบารมี 1  

ปัญญาบารมี 1  

 

 

               7 บารมีเป็นสายทางของผู้ปฏิบัติจิตใจ ภายในถือบวช 7 วัน 7 คืนบารมีบุญกุศลเหล่านี้หมู่ท่านชาย – หญิงจะ ได้รับเป็นพื้นรองรับตัวท่านเองจะได้รับความสุขความเจริญในปัจจุบันชาตินี้และในอนาคตการสืบ ๆ ต่อไป เพราะบุญกุศลบารมีในการกระทำของท่านนั้นเอง จะได้นำสนองส่งมาให้ไม่ผิดหวังนะท่าน บารมี 7 นี้แยกนับเป็น 21 ทัศที่จะนำส่งสนองตนท่านผู้บำเพ็ญออกบวชไม่ว่าชาย – หญิง โดยสร้างบารมีบุญกุศลระยะสั้นในเนกขัมมะบารมีนี้ พอจะกระทำได้อยู่ไม่เกินวิสัยดอกท่าน 1 ปีเพียง 7 วันเท่านั้นก็เป็นบารมีกุศลผลบุญของเราท่าน เพราะว่าท่านหญิงนั้นไม่ใคร่จะได้ออกบวชกันเสียเลยเป็นส่วนมาก อาตมาคิดเสียดายที่ท่านได้เกิดมา เป็นมนุษย์คนเราแล้วเหมือนกันสมควรออกบวชสร้างบารมี “เนกขัมมะบารมี” ได้อยู่เหมือนกันไม่ผิดศีลสิกขาบทใด ๆ เลยโดยมากถูกผู้ไม่รู้ซึ้งพระธรรมพระวินัยของพระพุทธเจ้าบัญญัติในบารมี เลยเกิดขัดขวางท่านหญิงไว้เสียเป็นส่วนมาก อาตมาถึงได้ชักชวนท่านชาย – หญิงทุกเพศทุกวัยไม่เลือกชั้นวรรณะไม่ว่าชาติใด ๆ เชื้อชาติใด ๆ มาสร้างบุญกุศลบารมีบำเพ็ญบารมีได้ทุก ๆ ท่านไม่ติดขัด เพราะบุญกุศลบารมีนี้มีจำเพาะตัวบุคคล ในการปฏิบัติสมณะธรรมภายใน 7 วัน 7 คืน หรือวัน 1 คืน 1 ก็ได้ตามแต่โอกาสของท่านจะอำนวยให้ไม่ติดขัด หมายกำหนดงานเดือน 4 ขึ้น 9 ค่ำ ของทุก ๆ ปี ไปตลอดจนพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้วางศาสนาไว้ ขอให้นักบวชทั้งหลายเมื่อถึงกำหนดปีแล้วขอเชิญมาเป็นเจ้าภาพด้วยตนเองทุก ๆ ท่านที่สำนักสงฆ์เขานันทาพาสุภาพนี้โดยพร้อมเพรียงกันทุก ๆ ท่านไม่ว่าท่านชาย – หญิงเชิญมาร่วมกันโดยสามัคคีธรรม ก่อสร้างบุญกุศลบารมีร่วมกันไว้เถิด บุญล้ำเลิศอยู่ที่สามัคคีธรรมนะท่าน

 

               อาตมาภาพขอฝากไว้ให้แก่ทุก ๆ ท่าน ให้สืบ ๆ ต่อ ๆ กันไว้ชั่วกุลบุตรลูกหลานเหลนให้สืบต่อกันไปนาน ๆ จนกว่าจะหมดมนุษย์คนเราไม่มีมาเกิดอีกแล้วนั้นแหละจงจำเอาไว้ทุก ๆ ท่านชาย – หญิง วันงานเดือน 4 ขึ้น 9 ค่ำ เป็นวันรวมนักบวชโดยพร้อมเพรียงกันเวลาประมาณ 3  โมง ให้พร้อมเพรียงกันเข้าบวชรับศีล 8 ทะวิรัต พระอาจารย์ให้โอวาทในการปฏิบัติบารมี เสร็จแล้วนักบวชนำดอกไม้เข้าเขตบูชาพระเจดีย์ 5 องค์  และนมัสการบูชาพระปฏิมากร 13 พระองค์ มีปางต่าง ๆ และปางพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ เรียงรายอยู่ตามองค์พระเจดีย์ 50 รูป เพื่อน้อมนำจิตใจเราท่านให้เข้าสู่ตรัยสรณะคม ให้เบิกบานสว่างด้วยสัญลักษณ์ เพื่อสวดพุทธาภิเศกด้วยบารมีตามพุทธบัญญัติ นักบวชทั้งหลายน้อมนำจิตของตนให้เข้าสู่สมาธิกรรมฐาน เดินตามสัจจะธรรมเป็นบารมีอันล้ำเลิศจบแล้วพระสงฆ์ท่านขึ้นธรรมาสน์แสดงธรรมอบรมจบแล้ว นักบวชให้ทำจิตด้วยตนเองตามแต่อัธยาศัยจนตลอด 7 วัน 7 คืน ส่วนอาหารการขบฉันนั้นจัดหาช่วยกันแจกจ่าย ให้ทั่วถึงกันมีมากตามมากมีน้อยตามน้อย เพื่อกันเวทนาไปวันหนึ่งวันหนึ่งเท่านั้น ในงานการบำเพ็ญสมณะธรรมนี้ไม่มีการ เล่นเต้นรำกีฬาต่าง ๆ ไม่ให้มีการรบกวนแก่พระภิกษุสามเณรชีพราหมณ์นักบวชทั้งหลาย เพราะว่ามันเป็นข้าศึกอันตรายแก่นักบวช มันเป็นอันตรายแก่ศรัทธาบุญกุศลบารมีแก่ผู้กระทำจิตใจในทางบารมีเพื่อจะน้อมนำจิตให้เข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เข้าสู่ศีลสมาธิปัญญาในทางบำเพ็ญสมณะธรรมให้เกิดบุญกุศลบารมีขึ้นโดยสงบ เพื่อตามจิตวิญญาณที่ 7 ของหมู่เราท่านให้เข้าสู่สวรรค์และพระนิพพานต่อไปด้วยมูลในการกระทำเราท่านนั้นเอง เราอย่าไปถือตามคำพูด คำนึกคิดของผู้มิใช่นักบวช แม้แต่ผู้ทรงเพศมานาน ๆ แล้วก็ตามเป็นผู้เห็นผิดอยู่เราไม่สมควรเอาเข้ามาเป็นเพื่อนศึกษา ในความเห็นของท่านเหล่านั้นเป็นอันขาด เพราะท่านเหล่านั้นแสวงหาโลภโกรธหลงอยู่มีแต่เหตุไม่เป็นผลอัปมงคล จะหาเป็นผลบารมีมิได้นะท่าน ฯ

 

               นักบวชผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในทางศรัทธาบุญบารมี เนกขัมมะบารมี ในรัตนตรัยที่อยู่ใกล้หรือไกลต่อ ๆ ไปนี้จะพร้อมใจมาเป็นเจ้าภาพด้วยตนเองทุก ๆ ท่านไม่ว่าท่านชาย – หญิง ให้ตลอดทุก ๆ ปี ไปให้ชักชวนญาติพี่น้อง ให้มาตามหมายกำหนดงานทุก ๆ ปีไปทุก ๆ ท่าน บางสำนักบางสถานที่ก็กีดกันท่านหญิงไว้เสีย ไม่ให้เข้าว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่พวกของตนจำเพาะท่านชาย เลยเป็นผู้รังเกียจท่านหญิงไปทั้งหมดเลยกลายเป็น อคติเกิดรังเกียจท่านหญิง เลยเกิดกระทำจิตใจของตนให้ตกต่ำไปเสียเลยก็ได้ เพราะเดินผิดทางที่ตนได้หวงห้ามโดย ไม่เป็นมูลในทางบุญกุศลบารมีที่จะกระทำได้ทุก ๆ ท่านไม่ว่าท่านชาย – หญิง เราไปกีดกันขัดขวางเสียจิตใจ ของท่านอันนั้นแหละกระทำให้เกิดเป็นอกุศลคือบาปโดยไม่รู้สึกตัว พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยละเอียดว่าจำพวกนี้ก็คือ เปรต สัมพเวสี จะหาที่จุติหรือปฏิสนธิเกิดอีกเพื่อสร้างบุญกุศลบารมีอีกไม่ได้แล้วดังนี้

 

               อาตมาภาพเห็นตามแนวทางพุทธบัญญัติ ที่ท่านได้ชี้ทาง ก่อสร้างบุญบารมีกุศลผลบุญไว้ให้ท่านชาย – ท่านหญิง ให้กระทำตามท่านโดยศรัทธาบารมีตามสติกำลังของตนแต่ละท่าน เพราะว่ามนุษย์คนเราที่มีปฏิสนธิเกิดใน โลกกามภพนี้ก็ต้องมีบิดา – มารดา เป็นชายเป็นหญิงที่อยู่ร่วมกันมาออกช้านาน เหตุไฉนทำไมหนอไม่ให้ท่านหญิง ได้เข้าร่วมในสถานที่เคารพบูชาด้วยในสถานที่นั้น ๆ เล่า เหตุเกิดขึ้นเพราะบุรุษคนหนึ่งถือได้ห้ามท่านหญิงไม่ให้เข้าร่วม ในสถานที่นั้น ๆ ผู้ไม่รู้ถึงซึ่งความเป็นไปถึงได้ถือสืบ ๆ กันอย่างนั้นเอง พระพุทธเจ้าตรัสไว้เขโกไปถือโดยงม ๆ งาย ๆ ไม่รู้เหตุและผลว่ามันเป็นมาอย่างไร เพื่อประโยชน์อย่างไร   เพราะขาดจากความพิจารณาในเหตุและผลนั้นเอง บุรุษผู้นั้นก่อเกิด ให้หวงหึงสถานที่ขึ้นมา ห้ามไม่ให้สตรีฝ่ายหญิงเข้าไปหรือขึ้นไปสถานที่นั้น ๆ เพราะว่าบุรุษคนนั้นเล่าเรียนในทาง ไสยศาสตร์วิชาอาคมที่นอกจากสายทางพุทธบัญญัติคือ ไสยศาสตร์ต่าง ๆ โดยกระทำของตนว่าดีโดยความโลภโกรธ หลงที่นึกคิดโดยผิด ๆ  โดยส่วนน้อยมิใช่ส่วนรวม ศีลและธรรมตามพุทธบัญญัติหาได้ไม่ เพราะบุรุษผู้นั้นเล่าเรียนวิชา ไสยศาสตร์คือ วิชาชายนอนเดียวเป็นวิชาเล่ห์กลทางไสยศาสตร์ต่าง ๆ มิให้ท่านหญิงเข้าร่วมแม้แต่มารดาก็ไม่ให้เข้า ร่วมในสถานที่นั้น ๆ เหตุนี้แหละผู้เข้าใจผิดถึงได้ถือสืบ ๆ กันมา ถือไม่ลืมหูลืมตาให้สว่างกันขึ้นสักที ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ที่ท่านเรียกว่าลัทธิอุบาทว์มักกระทำให้ประชาชน เอารัดเอาเปรียบกันอยู่เท่าทุกวันนี้ เพราะไสยศาสตร์วิชาชานอนเดียวนั้นเอง ส่วนมากเกิดขึ้นจากลัทธิพวกเหนือชาวเดียรถีนิครนถ์ เขาถือวิชาลัทธิชายนอนเดียว เขาว่าเป็นศักดิสิทธิ์คงกระพันชาตรีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่เหล่านั้น มันเดินกันคนละสายทางกับพุทธบัญญัติของ หมู่เราชาวพระพุทธเจ้าเพราะหมู่เดียรถีนิครนถ์ เขาก็ถือทางทรงผ้ากาสาวพัตร์เหมือนกันอย่างหมู่เราท่านนี้เอง เมื่อเราจะดูด้วยตาอย่างมนุษย์คนทุกวันนี้ก็ดูรู้ได้ยาก เพราะจำพวกนี้พูดเก่งประจบสอพลอดีมากบางท่านก็หลง ไปตามลัทธิของเขาเป็นส่วนมาก ขอให้หมู่เราชาวพุทธให้พิจารณาเสียก่อนเพราะว่าการสร้างบุญกุศลบารมีนี้ให้ถูกต้อง ตามพระพุทธเจ้าบัญญัติเสียก่อนถึงกระทำลงไป ทำน้อยก็จะได้มากสมหวังนะท่าน พระพุทธเจ้าห้ามเป็นสิ่งที่ควรห้าม ต่างหากห้ามทั้งชายหญิงทั้งหมดในสิ่งนั้น ๆ มิได้ห้ามแต่ท่านหญิงอย่างนั้นก็หาได้ไม่นะท่าน ดูเถิดท่านชายหญิงโลกกายภาพมนุษย์คนเรา อยู่ด้วยกันทุกวันนี้เป็นสถานที่ก่อสร้างบุญกุศลบารมีด้วยกันทั้งสองท่านชายหญิงมิใช่หรือ โลกนี้ถึงได้มีทั้งชายหญิงอยู่ในโลกนี้เมื่อถึงเวลาสังขารตายดับไปจากโลกนี้แล้ว ส่วนจิตวิญญาณก็จะ ได้รับบุญกุศลบารมีที่ได้กระทำไว้ในโลกเรานี้ไม่ใช่หรือ  เมื่อจิตวิญญาณไปด้วยบุญกุศลกุศลบารมีในการกระทำ ของท่านเหล่านั้นท่านชายก็จะได้ไปจุติบนสวรรค์เป็นเทพบุตรหรือพระอินทร์พระพรหมไม่ใช่หรือ ส่วนท่านหญิงก็เป็นเทพธิดา อยู่สวรรค์เช่นกันไม่ใช่หรือ สวรรค์โน้นก็มีทั้งท่านชายท่านหญิงเหมือนกันนะท่าน ๆ ชายหญิงทำจิตเจตสิกรูปออกจากอาสวะ พ้นไปแล้วก็เข้าสู่พระนิพพานทั่วกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ เมืองพระนิพพานเป็นสถานที่รองรับท่านชาย – หญิงผู้สิ้นอาสวะ แล้วไม่ใช่หรือ พระนิพพานโน้นก็มีทั้งท่านชาย – ท่านหญิงนะท่าน จงให้พิจารณากันดูเถิดจะจริงหรือไม่ตามแต่ผู้จะเร่งหาทางออกแก่ตัวเท่านั้น พระพุทธเจ้าห้ามแต่สิ่งที่ควรห้ามเท่านั้น สิ่งที่ไม่ควรท่านทำไมไปหาว่าควรกันเล่าเพื่อต้องการน้อมลาภจากทายกทายิกามา สู่ตนและผู้อื่นแห่งกาม โลภ โกรธ หลง ไม่ใช่หรือสิ่งนี้ไม่ควรท่านทำไมหาว่าควรกันเล่า ลัทธิอุบาทว์อีกอย่างหนึ่งมัน เกิดขึ้นทางจิตใจของปุถุชนเป็นส่วนมาก มิใช่เกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติแม้แต่จะเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติท่านเท่านั้น ๆ ก็เพราะผู้ปฏิบัติท่านนั้นยังมีอคติความลังเลสงสัยในธรรมคำสั่งสอนของ สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีอยู่ในตน เป็นส่วนมากจนจะถากถางออกไม่ไหว เพราะจิตใจไม่เข้าสู่ศีลและธรรมเพราะขาดความสนใจของตนนั้นเอง เพราะตนของตนเป็นที่พึ่งของตนยังไม่เกิดยังไม่มีนั้นเอง สภาวะอุบาทว์นั้นถึงได้เกิดขึ้นแก่จิตใจของท่าน เหล่านั้นเร็วที่สุดทำให้จิตใจตกไปตามสภาวธรรมเหล่านั้นไปทั้งหมดเสียเลยก็ได้ ลัทธิอุบาทว์ชนิดนี้มันกระทำจิตใจให้เกิดยินดีไปในทาง เอาแพ้เอาชนะเสียดสีต้องติเบียดเบียนส่อเสียดเบียดบัง อำพรางท่านผู้อื่นให้หลงไปตามตนด้วย ท่านเรียกว่าเป็นผู้ประจบสอพลอยกตนข่มท่านไม่รู้บุญไม่รู้บาปไม่รู้บารมีกุศลผลบุญเสียเลย เราได้ติเตียนนินทาว่ากล่าวท่านผู้อื่นให้สมใจตน ก็แล้วกันไม่รู้นรกสวรรค์ทั้งนั้นรู้ว่าแต่ศีลกินแต่ข้าวกูก็พอจิตใจ คิดหาตั้งแต่คำผิดแก่ท่านผู้อื่นเสมอ ๆ ไป คอยแต่ไปเที่ยวหา สั่งสอน เอาเปรียบท่านผู้อื่นตนของตนทำไมหนอ ไม่สอนสักที ปีเดือนล่วงไป ๆ ชีวิตชาติสังขารของท่านเขาจะรอคอยท่านหรือเปล่าทำไมไม่แสวงหาบุญบารมีของตนไว้บ้าง ทำไมไปหลงโจมตีแต่ลัทธิของท่านผู้อื่นว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยอกุศลจิตพยาบาทจองเวรกระทำจิตใจตน ให้เศร้าหมองแห่งอบายมุขอบายภูมิ ให้เกิดขึ้นแก่จิตใจเราเสียเปล่า ๆ มันจะมีผลอะไรเกิดขึ้น มันมีแต่เหตุให้เกิดความเร่าร้อนเท่านั้น ขอให้ท่านรู้ว่าเรามาเกิดอยู่ในโลกคนเราในจักรวาลนี้มันยุ่งเสียจริง ๆ มันก็เป็นต่ำ ๆ สูง ๆ ขาดตกบกพร่องอยู่เสมอ ๆ เพราะความนินทาบ้างสรรเสริญบ้างท่านเรียกว่า โลกนี้เป็นโลกโลกวัชชะคอยหาแต่เอาเรื่องเข้ามาถมทับซึ่งกันและกันอยู่เสมอ ๆ แม้แต่เราท่านจะก่อสร้างบุญกุศลบารมีอันใด ๆ กันก็ตามแต่ ก็ต้องถูกหมู่อัปมงคลนี้เบียดเบียนอยู่เสมอ ๆ ไม่มากก็น้อยนะท่านจะหาผู้ชมเชยนั้นได้ยาก มีแต่ผู้บังเบียดยื้อแย่งรบกวนเพื่อเอาทรัพย์นานาประการบ้าง ไม่พอใจของตนก็ต้องติหาเอาสิ่งไม่ดีมาเสียดสีติเตียนอยู่เสมอ ๆ จริงบ้างไม่จริงบ้างแสวงหาเอาบาปกรรมเวร ไม่รู้อะไรกันเสียเลย จะหาปัญญาแก้ไขเรื่องสิ่งเป็นอัปมงคลก็ไม่มีไม่เป็นเขาว่าไม่ดีก็ว่าไม่ดีตาม ๆ เขาไป จะหาปัญญาแก้ไขในเรื่องที่ตนได้ยินได้ฟังมาจากผู้อื่น มันเป็นเรื่องไม่ดีไม่งามเรื่องนินทาส่อเสียดเบียดบังจะจริง ก็ตามไม่จริงก็ตาม มันเป็นเรื่องไม่ดี เราเป็นผู้มีปัญญาเป็นผู้เลิกจากบาปกรรมเวรไม่ก่อกรรมทำเข็ญอีกแล้ว ต่อไปเราต้องเป็นคนฉลาดเป็นผู้มีปัญญา อย่าเป็นผู้เรียนรู้เฉย ๆ เป็นผู้หาผลประโยชน์มิได้ เรารู้เราเห็นเรา ได้ยินเราได้ฟังมาในเรื่องไม่ดีนั้น ๆ  มาจากผู้อื่นก็ดีหรือเราเห็นเองก็ดี เราสมควรสงบเสียไม่ให้เรื่องนั้นอื้อฉาวต่อ ๆ ไป มันเป็นเรื่องแตกแยกสามัคคีซึ่งกันและกันเรื่องไม่ดีนั้นมันเป็นบาป อกุศลอบายมุขทำทุกข์แก่ท่านด้วยกายหรือวาจาใจก็ตาม ทุกข์นั้นจะถึงตนผู้พูดนั้น ๆ เองไม่มีผลสงบสุขไปได้เลยในปัจจุบันและอนาคต เพราะเราไปทำให้ท่านผู้อื่นได้รับ ความเศร้าหมองนั้นเอง ในเรื่องใด ๆ ก็ดีมันจะเป็นเรื่องทุกข์ลำบากยากเข็ญเพียงไรก็ตาม  เราสมควรอดทนวางเฉยไม่พูดไม่ทำในสิ่งนั้น ๆ มันเป็นสายทางโลกะวัชชะนินทาสรรเสริญ มันเป็นสายทางแตกแยกจากเมตตาสามัคคีธรรมในหมู่ในคณะนั้น ๆ โดยเหตุที่เราทำเราพูดเรานึกเราคิดนั้นเองมันทำให้เกิดเป็นทุกข์แก่ตนและผู้อื่นนานาประการ ตลอดถึงประเทศชาติบ้านเมือง ก็ต้องถูกทำลายให้พินาศไปตาม ๆ กันทั้งหมดเพราะเรานำเอาเรื่องไม่ดีไปต้องติอื้อฉาวต่อ ๆ ไปเกิดความรบกวนซึ่งกันและกันไม่หยุดหย่อน เราเป็นผู้เรียนรู้เป็นผู้มีปัญญาเรื่องไม่ดีที่มันเกิดขึ้นมาแล้วที่ผ่านมาแล้วเราสมควรระงับเสีย อย่านำเอามาทำเอามาพูดเอามานึกคิดขึ้นอีกไม่มีผลประโยชน์หรอกท่านชาย – ท่านหญิง สิ่งไม่ดีที่มันยังไม่เกิดมันยังไม่มีเราก็ไม่สมควร นึกคิดขึ้นมาให้มันเกิดความเดือดร้อนแก่ตนและผู้อื่นไม่ควรนึกคิดในเรื่องเหล่านั้น เราชอบดีเราอย่าทำ เราอย่าพูด เราอย่านึกคิดในสิ่งในเรื่องไม่ดี เราชอบเป็นใหญ่อย่าเบียดเบียนโดยการกระทำ โดยการพูด โดยการนึกคิดที่บังเบียดตนและผู้อื่นเป็นอันขาดนะท่าน ท่านเหล่าใดถือว่าตนเป็นใหญ่อันนี้เป็นการนึกคิด อันทำให้ตนเศร้าหมอง ท่านเรียกว่าผู้นั้นนึกคิดผิดทางธรรม ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ตนและผู้อื่น ผู้นั้นขาดจากเมตตา สามัคคีธรรมสิ่งน้อมนำจิตใจของตนเอง ท่านเหล่าใดนึกคิดเอาชนะแก่ผู้อื่นตายแล้วเกิดอีกสักหมื่นปีก็ยังไม่พบประสบพระ เพราะกรรมเวรนะท่าน ท่านเหล่าใดได้ชัยชนะแก่ตนเองผู้นั้นถึงพระเพราะชัยชนะของตนเอง.

               ต่อนี้ไปก็ยังมีธรรมอีกเหล่าหนึ่ง ภิกษุสามเณรชีพราหมณ์อุบาสกอุบาสิกา ชาวพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้า ของหมู่เราท่านชาย – หญิง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านมีมูลมีความหมายเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์มนุษย์ชาย – หญิงให้เข้าสู่สวรรค์ – นิพพาน เป็นที่เกษมสุขดังนี้ แต่หมู่เราชาวพุทธมีความคิดผิดเห็นผิดไปตามอาการต่าง ๆ ทีเข้าใจผิดเสียดสีว่ากล่าวทำให้เกิดความ ไม่พอใจกันขึ้นโดยขัดขวางซึ่งกันและกัน เห็นผิดในทางพระธรรมพระวินัยศีลสิกขาบทของพระพุทธเจ้าแทบจะหมดหรือเกือบ จะหมดอยู่แล้วในทุก ๆ วันนี้ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ท่านทรงตักเตือนสาวกชาย – หญิงไว้ว่า “ดูก่อนท่านทั้งหลายชายหญิงศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ให้หมู่ท่านแล้ว โดยสามัคคีธรรมพร้อมเพรียงสมบูรณ์แก่หมู่ท่านชายหญิงแล้ว ศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเจริญถาวรสืบ ๆ ต่อไปได้ก็เพราะบุรุษ 4 เหล่านี้แหละบุรุษ 4 เหล่าก็คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก – อุบาสิกา เหล่าท่านนี้แหละจะเป็นผู้ทำนุบำรุงไว้โดยสามัคคีธรรมพร้อมเพรียงกัน เป็นผู้ขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้านไม่ขัดแย้งทะเลาะวิวาท ซึ่งกันและกันโดยปราศจากพระธรรมพระวินัยโดยไร้เหตุและผล (ภิกษุณีได้สืบเนื่องมาถึงเท่าทุกวันนี้ก็คือหมู่ชีท่านหญิงที่ได้ออกบวช กันอยู่อย่างทุก ๆ วันนี้เรานี้แหละไม่ต้องสงสัยดอกท่านทั้งหลาย) และหมู่พวกที่จะทำลายพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นั้นก็คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก – อุบาสิกา 4 เหล่านี้แหละ คิดเห็นผิดซึ่งกันและกันในทางพระธรรมพระวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ตกลงซึ่งกันและกันได้ เพราะเหตุนี้แหละบุรุษ 4 เหล่าไปเปลี่ยนคำนึกคิดคำของตนเองโดยมิได้พิจารณาปฏิบัติจิตของตน ให้แจ้งเข้าสู่วิมุตติญาณเสียก่อนในทางพระวินัยศีลสิกขาบท ว่าเห็นอะไรอย่างไรให้มันรู้ให้มันซึ้งเสียก่อน อย่าไปถือโดยผู้อ้างตำรา อย่าไปถือมงคลตื่นข่าว อย่าไปตรึกตรองเอาอย่าไป คาดคะเนเอาว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าไปถือว่าผู้นั้นผู้นี้พูดควรเชื่อได้ อย่าไปถือว่าภิกษุรูปนั้นรูปนี้เป็นครูบาอาจารย์ ของตนให้ถือว่าบุญมีจริงบาปมีจริงเช่นนี้ มันถึงจะไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทให้เกิดความแตกแยกสามัคคีซึ่งกันและกันไปได้ เพราะความเกรงกลัวต่อบาปกรรมนั้นเอง” ผู้ไม่รู้ซึ้งถึงบุญและบาปก็ว่าบุญไม่มี บาปไม่มี ท่านเหล่านั้นแหละเป็นผู้นึกคิดผิดพูดผิด เป็นผู้ปิดบาปไว้ในตนเอง ไปเอาโลภโกรธหลงโทษแห่งการก่อสร้างบาปกรรมเวร มาดัดแปลงว่านี่เป็นบุญนี่เป็นกุศลนี่เป็นบารมี โดยทรัพย์สินเงินทองได้มาที่ผิด ๆ ล่วงศีลสิกขาบท พระธรรมพระวินัยหาเป็นบุญเป็นกุศลบารมี ด้วยการล่อหลอกลวงผู้โง่เขลาโดยโลภโกรธหลงให้หลงเชื่อตามตนไปด้วย เพราะความเห็นผิดที่ตนได้นึกคิดไปตามอาการนั้น ๆ โดยขาดจากความพิจารณานั้นเอง ความนึกคิดของตนเห็นไปตามอาการนั้น ๆ จะเกิดอุปาทานในความเห็นตนว่าถูกต้อง เลยผลักดันจิตใจของตนให้เดินไปตามธรรมเหล่านั้น จนเกิดเป็นทิฐิในความเห็นผิดว่าถูกต้องนั้นเอง โดยขาดจากความพิจารณาในตน และผู้อื่นที่เป็นเหตุหรือผลท่านชายท่านหญิง ย่อมจะมีเหตุมีผลด้วยกันทั้งนั้นนะท่าน บางท่านตามที่อาตมาได้ยินมาพูดโดยหยาบคาย ด้วยอุปาทานออกมาว่า ผู้หญิงที่เข้ามาบวชถือศีลสร้างบารมีในทาง เนกขัมมะบารมีในการออกบวชนี้หาว่าท่านหญิงเป็นผู้เข้ามา ทำลายศาสนาอย่างนี้ก็มีเป็นส่วนมาก บางท่านท่านก็พูดออกมาว่าผู้หญิงเป็นผู้ทำลายศาสนาอย่างนี้ก็มี ผู้มีจิตใจเป็นปุถุชนโง่เขลา อยู่ก็เลยเกิดจิตอคติเกิดความยินดียินร้ายไปตามคำพูดเหล่านั้น ความนึกคิดกลายเป็นอกุศลจิตคือบาปทางจิตอันนี้ร้ายแรงมาก เพราะจิตเป็นธรรมอันไม่ตาย จิตคิดกระทำอย่างไรก็จะได้รับกรรมอย่างนั้นเป็นแน่นอนนะท่าน จิตคิดเกิดอคติไปตามเขาว่า ไปหาว่าท่านหญิงเป็นคนไม่ดีอัปรีย์จัญไร เป็นผู้ทำลายอย่างนั้นอย่างนี้คำอย่างนี้เห็นผิดแก่ผู้อื่นเห็นถูกแก่ตนเองในคำคิดนั้น ๆ

 

               ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านอย่าไปเห็นผิดแก่ท่านผู้อื่นให้มันมากไปนักเลย ขอให้พิจารณาในความนึกผิดคิดผิดที่มี อยู่ในตนของตนกันบ้าง ท่านอย่าไปคิดโง่เขลาเบาปัญญานักเลย เปรียบเหมือนเรือติดหาดเพราะตนเห็นผิดมองไปข้างหน้า ด้วยสายตนของตนมองเห็นหาดทรายมูลกองใหญ่มหาศาลจิต อกุศลจิตเป็นกรรมหนักมองเห็นกองทรายขาวสะอาดจิตมองเห็นผิดว่าเป็นน้ำ หันเหหัวเรือเข้าไปเกย ตนคนเดียวจะถอยเรือออกจากกองทรายนั้นก็ไม่ไหว ทั้งจิตก็หมายว่าจะข้ามฟากหนีจากหมู่มารเลยเดินทางผิด เพราะตนไปคบคิดเห็นผิดหลงไปกับหมู่พวกอันธพาลนั้นเอง ดูก่อนท่านทั้งหลายทั้งท่านชาย และท่านหญิงขอให้คิดดูตรงนี้ ตามพุทธบัญญัติมีเหตุและมีผลดีกว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าผู้จะทะนุบำรุงพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองถาวรสืบ ๆ ต่อไปให้ถาวร ไปได้ก็เพราะภิกษุ 1 ภิกษุณี 1 อุบาสก 1 อุบาสิกา 1 ดังนี้ไม่ใช่หรือ ภิกษุคือท่านชายไม่ใช่หรือ ภิกษุณีก็คือท่านหญิงไม่ใช่หรือ อุบาสิกาก็คือท่านหญิงไม่ใช่หรือ หมู่ท่านอย่ากลายเป็นคนหูหนวกตาบอดสอดรู้ไปดูผิด ๆ ใส่ร้ายป้ายสีโจมตีด้วยตนเอง หวังว่าจะเข้าสู่พระนิพพานเลยเห็นผิดคิดผิดทางเลยกลายเป็นเปรตสัมพเวสีล่องลอยวนไปวนมา อยู่ตามอากาศเวหาที่จะจุติปฏิสนธิที่ใดก็ไม่ได้ เพราะตนคิดใช้เดินผิดทางไปติเตียนรังเกียจท่านหญิงว่าไม่ดี ว่าเป็นราคีแก่ตนและพระพุทธศาสนาคำนี้แหละกลายเป็นคำทำลายตนและผู้อื่น และทำลายพุทธศาสนาต่อ ๆ ไปอีกด้วย มันเป็นเรื่องจิตใจของท่านชาย – ท่านหญิงต่างหาก ถ้าจิตใจคิดพวักพะวนอยู่ไม่ว่าท่านชาย – ท่านหญิงก็จะเกิดซ้ำอีกหลาย ๆ  ชาติอยู่ถึงซึ่งพระนิพพานเหมือนกันไม่ต้องสงสัย เพราะว่าพระนิพพานนั้นไปกันได้ทั้งนั้นท่านชาย – ท่านหญิงมิได้เป็นอริซึ่งกัน และกันเลยนะท่าน คำว่าไม่ดีอัปรีย์จัญไรนั้นไม่ว่าทั้งท่านชาย – หญิงมันก็เกิดความอัปปรีย์จัญไรได้ด้วยกันทั้งนั้น มันย่อมเกิดขึ้นได้ทุก ๆ ท่านไม่ว่าทั้งท่านชาย – ท่านหญิงเป็นดังนี้นะท่าน เมื่อว่าเราท่านชาย – ท่านหญิงจะละออกจากกามตัณหาความกำหนัด โลภ โกรธ หลง อาสวะให้สิ้นไปในปัจจุบันชาตินี้จะเข้าสู่พระนิพพาน ไม่ต้องกลับมาเกิดปฏิสนธิอีกก็เมื่อสิ้นอาสวะแล้วไปได้ทั้งท่านชาย – ท่านหญิงนั้นแหละ อย่าไปสงสัยลังเลใน ธรรมสายทางของพระพุทธเจ้าที่ท่านทรงทำไว้ให้หมู่ท่านชายหญิงแล้ว มิใช่เป็นแต่ของท่านชายเมื่อไร ศีลธรรมขอให้หมู่ท่านพิจารณาคิดดูธรรมนอกนี้ดู

 

               เมื่อเราท่านเข้ามาเกิดอยู่ในโลกกามภพอย่างเราท่านชาย – ท่านหญิงอย่างทุก ๆ วันนี้ที่เห็น ๆ กันอยู่อย่างเราท่านนี้ก็ต้องมีบิดา – มารดาน้ำนมและข้าวไม่ใช่หรือ ถึงได้เจริญเติบโตมีปัญญาหากินใช้ด้วยปัญญาของตนเอง ที่ได้ยินได้ฟังได้เห็นที่เป็นตัวอย่างสืบ ๆ กันมาไม่ใช่หรือบิดาคือชายมารดาคือหญิงข้าวน้ำสามอย่างนี้แหละที่ทำให้หมู่ท่านเข้ามาเกิด อยู่ในโลกกามภพเป็นคนเราอย่างทุก ๆ วันนี้ไม่ใช่หรือ ขอให้หมู่ท่านชาย – ท่านหญิงทุกท่านลืมตาดูและพิจารณาในธรรมเหล่านี้ด้วย ให้มันชัดเจนกันเสียก่อนอย่าไปต้องติกันโดยไร้เหตุและผลโลกกามภพคือโลกคนเรา รูปภพคือโลกสวรรค์ อรูปภพคือโลกพรหม ภพทั้ง 3 นี้ถ้าขาดชายขาดหญิงไปเสียแล้วโลกภามภพทั้ง 3 นี้จะตั้งกันอยู่ได้อย่างไรให้พิจารณากันดูบ้าง อย่าหลับตาพูดมัน ไม่เห็นทางนะท่านศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก็ต้องมีทั้งชายหญิงไม่ใช่หรือถ้าขาดชายศาสนาก็ไม่มี ถ้าขาดหญิงศาสนาก็ไม่งาม ถ้าโลกมนุษย์คนเรานี้ ขาดชายขาดหญิงขาดอาหารข้าวนำไปเสียอย่างใดอย่างหนึ่งโลกนี้ก็ตั้งอยู่มิได้เลยนะท่าน พระนิพพานถ้าขาดท่านชาย –  ท่านหญิงขาดศีลสมาธิปัญญาถ้าขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว อย่าคอยเลยว่าจะพบประสบพระนิพพานไม่มีหวัง ท่านไม่ให้รังเกียจท่านชาย – ท่านหญิงให้ละให้เว้นเสียให้ออกจากกามตัณหาอาสวะให้สิ้นไปเพราะพระนิพพานก็มีทั้งชาย – ท่านหญิงเช่นกัน ถ้าท่านเหล่าใดมีจิตใจคดโกงต้องติท่านหญิงอยู่ก็ดีหรือ มีความสงสัยในคำพูดที่ต้องติท่านหญิงท่านหญิงนั้น ท่านเหล่านั้นจะไม่ได้พบสวรรค์และพระนิพพานเลยต่อ ๆ ไป ขอให้ท่านเป็นผู้มีปัญญาพิจารณาต้องติตนเองนั้นเถิด มันถึงจะเกิดมรรคผลซึ่งสวรรค์และพระนิพพานต่อ ๆ ไปนะท่าน

 

               ดูก่อนผู้ปฏิบัติชาย – หญิงอย่าไปสงสัยซึ่งกันและกันเลย ขอให้มีปัญญาพิจารณาในธรรมเหล่านี้ด้วยให้รู้จัก ในข้อปฏิบัติก่อสร้างบุญกุศลบารมีกันบ้าง มันถึงจะถูกทางสวรรค์และพระนิพพานไปได้นะท่าน เมื่อท่านเหล่าใดจะสร้างบุญกุศล บารมีเพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ที่เป็นมนุษย์ชาย – หญิงให้เข้าสู่ความสุขสวรรค์และพระนิพพานด้วยกันทุก ๆ ท่านเราจะเอาอะไรเป็นมูล เราจะอาศัยอะไรเป็นมูลให้พิจารณากันบ้าง ดูก่อนท่านทั้งหลายจงพิจารณาอย่าไปยกตนว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ไปกล่าวไปพูดไปสอน ไปตักเตือนหรือกล่าวในเรื่องไม่เป็นธรรม ทั้งต่อหน้าและลับหลังแก่ผู้ให้หรืออาวุโสหรือผู้มีตำแหน่งเหนือตน อันนี้เป็นธรรมอันไม่งามขอให้ท่านจงตั้งจิตใจของตน นั้นให้พิจารณามีดังต่อไปนี้มีผลดีกว่าไม่มีโทษโจษกันมันไม่ดีอย่าชิงสุกก่อนห่าม อย่าไปบังคับท่านผู้ใหญ่ที่เหนือตนมันไม่ดี อย่าข่มขี่เสียดสี ต้องติผู้ที่ท่านมีอาวุโสอย่าไปทำโก้ ๆ ด้วยสนเท่ ลายลักษณ์อักษร อยากรู้ทางให้ถาม อยากงามให้ปฏิบัติตกแต่ง ให้แบ่งจิตของตนให้สะอาดอย่าเกิดเสียชาติมันไม่ดี ความดีไม่ต้องหาเพราะมันมีมากดารดาษเต็มทั่วทุกหัวระแหง ความพินาศบรรลัยเหมือนไฟเผามองไม่เห็นความผิดคิดไม่เห็นทุกตัวคน ความชั่วนั้นคิดนึกหาไม่รู้ไม่มี ความผิดปิดจนวันตายความฉิบหายไม่มีใครรู้ตัวความชั่วไม่มีสติปัญญา มีน้อยความดีมีถมไปเถิดได้แก่ผู้โง่เขลานะท่าน ดูก่อนท่านทั้งหลายจงพิจารณาในตนของตนถึงจะมีมรรคผล ท่านจะไปเข้าสู่พระนิพพานในปัจจุบันชาตินี้หรือเปล่าหรือชาติต่อ ๆ ไปให้กำหนดความหมายไว้ในตนกันเสียบ้าง ถ้าท่านจะไปเข้าสู่พระนิพพานในปัจจุบันชาตินี้ท่านอาศัยอะไรเป็นที่ตั้งให้ตนของตนรู้ด้วย ท่านจะเอาอะไรเป็นให้ตนของตนรู้ด้วยถึงจะมีความหมายแห่งพระนิพพานนะท่าน จะให้พิจารณาเองด้วยตนของตนบ้าง ถ้านึกคิดไม่ออกหาทางไม่เจอได้พิจารณาเอาธรรมสายทางโลกอุดรมาเป็นที่ตั้งนะท่าน ถ้าไม่รู้จักให้พิจารณาภูตะรูปคือ รูปใหญ่รูปหยาบนี้ไปก่อนจนให้จิตเราแยกออกจากภูตะรูปได้แล้วก็พิจารณาภูตะญาณ ให้พิจารณารูปนอกและในให้แยกออกจากกันว่า เป็นคนละส่วนมิใช่อันเดียวกันแล้วให้พิจารณาต่อคือ ภูรตะภูญาณในความสว่างรูปในรูปให้ชัดเจน มิใช่อย่างเดียวกันมันเป็นคนละส่วนแต่รวมกันปฏิสนธิอยู่ในรูปใหญ่ รูปใหญ่ตายแล้วสูญไปแล้วไปจำเพาะรูปใหญ่คือรูปนอกนั้นเองสูญไป แต่รูปใน 1 รูปในรูป 1 สองอย่างนี้ไม่สูญคือเบญจขันธ์นั้นเอง ท่านจงพิจารณาให้รู้ให้เห็นโดยสภาวธรรมแห่งเหตุผล ท่านถึงจะยกจิตเจตสิกรูปของจิตเจตสิกรูปของจิตของท่านเอง เข้าสู่สายทางโลกอุดรได้อย่างแท้จริงนะท่านชาย – ท่านหญิง และให้พิจารณาในหมู่ตัณหา สภาวะของตัณหา ด้วยวิชชา 3 ให้ยกรูปของจิตเจตสิกของท่านเข้าสู่อาสวะคะยาฌานหรือ อาสวะคะยาญาณก็ได้ ฌาน ญาณ เหล่านี้เป็นหน้าที่กระทำให้อาสวะขาดสิ้นหลุดออกจากตนไปได้อย่างอัศจรรย์ด้วยตนเองนะท่าน

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:23:04

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom