-
ชวนญาติชายหญิงร่วมกันสร้างบุญกุศลบารมีกันเถิด
|
|
-
อาตมาภาพ
ขอบอกบุญบารมีมาแด่หมู่ท่านชาย
หญิง
ทายกทายิกาให้ทราบทั่วถึงกันทุก
ๆ
ท่านเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นให้สืบเนื่องต่อ
ๆ กันไป
เพื่อบุญกุศลบารมีของท่านเองทุก
ๆ ท่าน
|
|
-
หลวงพ่อชม อนํคโณ
เป็นผู้ให้โอวาทอบรมแด่ท่านชาย
หญิงไม่ว่าเด็กหรือหนุ่มสาวหรือกลางแก่ชรา
ยังไม่ทันสายดอกท่าน
เพราะยังมีไฟลมหายใจเข้าออกพูดกันรู้เรื่องได้อยู่พอจะสร้างบุญกุศลบารมีกันได้อยู่ทุก
ๆ
ในทางพุทธบัญญัติโดยบำเพ็ญบารมีให้มากจะได้เชิดชูตนเราท่านขึ้นให้ถึงที่สุคติคือ
พระนิพพานเป็นที่สถานรับรองผู้ปฏิบัติจิตใจตน
ให้เข้าทางบารมีตามพระพุทธเจ้าบัญญัติ
ไม่ผิดหวังดอกท่านชาย
หญิง
ผู้มีบุญบารมีอยู่แล้วจะได้เพิ่มพูนขึ้นให้มากต่อไป
ผู้ยังไม่มีบุญบารมีก็จะเกิดก็จะมีขึ้นเพราะว่าพุทธศาสนาพระศรีอริยะเมตตรัยโย
จะได้มาตรัสอยู่อีก
1
พระองค์เมื่อศาสนาสมณะโคดม
เราสิ้นไปหมดแล้วอีกแปดหมื่นสี่พันปี
พระศรีอริยะถึงจะได้มาตรัส
โปรดมนุษย์และสัตว์ให้เข้าสู่พระปรินิพพาน
อีกต่อไป
หมู่เราท่านชาย
หญิง
ไม่ควรพลาดควรพิจารณาหาโอกาสกันมาบำเพ็ญสมณะธรรม
สร้างบุญบารมีกันไว้เถิดโอกาสของ
หมู่เราท่านมาถึงแล้วให้พากันมาถือบวชกันเถิด
ไม่ต้องพยายามหาโอกาสผัดวันประกันพรุ่งให้ตั้งใจตรงมาที่
สำนักสงฆ์เขานันทาพาสุภาพ
บ้านทุ่งยาว
หมู่ที่ 16
ตำบลโพธิ์งาม
อำเภอประจันตคาม
จังหวัดปราจีนบุรี
กิโลเมตร 169
สายกรุงเทพ
อรัญประเทศ
จากสายทางอยู่ทิศเหนือทางแยกทางเข้าซอยไป
1 กิโลเมตร
ครึ่งถึงสำนักพอดี
การขบฉันอาหารตามอัธยาศัยของนักบวช
จัดงานขึ้นเป็นงานประจำปีกำหนดเอาเดือน
4 ขึ้น 9 ค่ำ ทุก ๆ
ปีไปปีหนึ่งต่อ
7 วันเท่านั้น
เราสมควรมาก่อสร้างบุญบารมีของราได้อยู่
ไม่เหลือวิสัยของปากและท้องดอกท่านชาย
หญิง
สังขารเขาจะไม่คอยเรานะท่านจงรีบพากันมาเสียเถิดบุญบารมีกุศลผลบุญที่ท่านจะได้รับนั้นคือ
|
|
-
-
ศรัทธาบารมี
1
|
-
ศีลบารมี
1
|
-
เนกขัมมะบารมี
1
|
-
ขันตีบารมี
1
|
-
สัจจะบารมี
1
|
-
วิริยะบารมี
1
|
-
ปัญญาบารมี
1
|
|
|
|
-
7
บารมีเป็นสายทางของผู้ปฏิบัติจิตใจ
ภายในถือบวช 7
วัน 7
คืนบารมีบุญกุศลเหล่านี้หมู่ท่านชาย
หญิงจะ
ได้รับเป็นพื้นรองรับตัวท่านเองจะได้รับความสุขความเจริญในปัจจุบันชาตินี้และในอนาคตการสืบ
ๆ ต่อไป
เพราะบุญกุศลบารมีในการกระทำของท่านนั้นเอง
จะได้นำสนองส่งมาให้ไม่ผิดหวังนะท่าน
บารมี 7
นี้แยกนับเป็น
21
ทัศที่จะนำส่งสนองตนท่านผู้บำเพ็ญออกบวชไม่ว่าชาย
หญิง
โดยสร้างบารมีบุญกุศลระยะสั้นในเนกขัมมะบารมีนี้
พอจะกระทำได้อยู่ไม่เกินวิสัยดอกท่าน
1 ปีเพียง 7
วันเท่านั้นก็เป็นบารมีกุศลผลบุญของเราท่าน
เพราะว่าท่านหญิงนั้นไม่ใคร่จะได้ออกบวชกันเสียเลยเป็นส่วนมาก
อาตมาคิดเสียดายที่ท่านได้เกิดมา
เป็นมนุษย์คนเราแล้วเหมือนกันสมควรออกบวชสร้างบารมี
เนกขัมมะบารมี
ได้อยู่เหมือนกันไม่ผิดศีลสิกขาบทใด
ๆ
เลยโดยมากถูกผู้ไม่รู้ซึ้งพระธรรมพระวินัยของพระพุทธเจ้าบัญญัติในบารมี
เลยเกิดขัดขวางท่านหญิงไว้เสียเป็นส่วนมาก
อาตมาถึงได้ชักชวนท่านชาย
หญิงทุกเพศทุกวัยไม่เลือกชั้นวรรณะไม่ว่าชาติใด
ๆ เชื้อชาติใด
ๆ
มาสร้างบุญกุศลบารมีบำเพ็ญบารมีได้ทุก
ๆ
ท่านไม่ติดขัด
เพราะบุญกุศลบารมีนี้มีจำเพาะตัวบุคคล
ในการปฏิบัติสมณะธรรมภายใน
7 วัน 7 คืน
หรือวัน 1 คืน 1
ก็ได้ตามแต่โอกาสของท่านจะอำนวยให้ไม่ติดขัด
หมายกำหนดงานเดือน
4
ขึ้น 9 ค่ำ
ของทุก ๆ ปี
ไปตลอดจนพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้วางศาสนาไว้
ขอให้นักบวชทั้งหลายเมื่อถึงกำหนดปีแล้วขอเชิญมาเป็นเจ้าภาพด้วยตนเองทุก
ๆ
ท่านที่สำนักสงฆ์เขานันทาพาสุภาพนี้โดยพร้อมเพรียงกันทุก
ๆ
ท่านไม่ว่าท่านชาย
หญิงเชิญมาร่วมกันโดยสามัคคีธรรม
ก่อสร้างบุญกุศลบารมีร่วมกันไว้เถิด
บุญล้ำเลิศอยู่ที่สามัคคีธรรมนะท่าน
|
|
-
อาตมาภาพขอฝากไว้ให้แก่ทุก
ๆ ท่าน ให้สืบ ๆ
ต่อ ๆ
กันไว้ชั่วกุลบุตรลูกหลานเหลนให้สืบต่อกันไปนาน
ๆ
จนกว่าจะหมดมนุษย์คนเราไม่มีมาเกิดอีกแล้วนั้นแหละจงจำเอาไว้ทุก
ๆ ท่านชาย
หญิง
วันงานเดือน 4
ขึ้น 9 ค่ำ
เป็นวันรวมนักบวชโดยพร้อมเพรียงกันเวลาประมาณ
3 โมง
ให้พร้อมเพรียงกันเข้าบวชรับศีล
8 ทะวิรัต
พระอาจารย์ให้โอวาทในการปฏิบัติบารมี
เสร็จแล้วนักบวชนำดอกไม้เข้าเขตบูชาพระเจดีย์
5 องค์
และนมัสการบูชาพระปฏิมากร
13 พระองค์
มีปางต่าง ๆ
และปางพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์
เรียงรายอยู่ตามองค์พระเจดีย์
50 รูป
เพื่อน้อมนำจิตใจเราท่านให้เข้าสู่ตรัยสรณะคม
ให้เบิกบานสว่างด้วยสัญลักษณ์
เพื่อสวดพุทธาภิเศกด้วยบารมีตามพุทธบัญญัติ
นักบวชทั้งหลายน้อมนำจิตของตนให้เข้าสู่สมาธิกรรมฐาน
เดินตามสัจจะธรรมเป็นบารมีอันล้ำเลิศจบแล้วพระสงฆ์ท่านขึ้นธรรมาสน์แสดงธรรมอบรมจบแล้ว
นักบวชให้ทำจิตด้วยตนเองตามแต่อัธยาศัยจนตลอด
7 วัน 7 คืน
ส่วนอาหารการขบฉันนั้นจัดหาช่วยกันแจกจ่าย
ให้ทั่วถึงกันมีมากตามมากมีน้อยตามน้อย
เพื่อกันเวทนาไปวันหนึ่งวันหนึ่งเท่านั้น
ในงานการบำเพ็ญสมณะธรรมนี้ไม่มีการ
เล่นเต้นรำกีฬาต่าง
ๆ
ไม่ให้มีการรบกวนแก่พระภิกษุสามเณรชีพราหมณ์นักบวชทั้งหลาย
เพราะว่ามันเป็นข้าศึกอันตรายแก่นักบวช
มันเป็นอันตรายแก่ศรัทธาบุญกุศลบารมีแก่ผู้กระทำจิตใจในทางบารมีเพื่อจะน้อมนำจิตให้เข้าถึง
พระพุทธ
พระธรรม พระอริยสงฆ์
เข้าสู่ศีลสมาธิปัญญาในทางบำเพ็ญสมณะธรรมให้เกิดบุญกุศลบารมีขึ้นโดยสงบ
เพื่อตามจิตวิญญาณที่
7
ของหมู่เราท่านให้เข้าสู่สวรรค์และพระนิพพานต่อไปด้วยมูลในการกระทำเราท่านนั้นเอง
เราอย่าไปถือตามคำพูด
คำนึกคิดของผู้มิใช่นักบวช
แม้แต่ผู้ทรงเพศมานาน
ๆ
แล้วก็ตามเป็นผู้เห็นผิดอยู่เราไม่สมควรเอาเข้ามาเป็นเพื่อนศึกษา
ในความเห็นของท่านเหล่านั้นเป็นอันขาด
เพราะท่านเหล่านั้นแสวงหาโลภโกรธหลงอยู่มีแต่เหตุไม่เป็นผลอัปมงคล
จะหาเป็นผลบารมีมิได้นะท่าน
ฯ
|
|
-
นักบวชผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในทางศรัทธาบุญบารมี
เนกขัมมะบารมี
ในรัตนตรัยที่อยู่ใกล้หรือไกลต่อ
ๆ
ไปนี้จะพร้อมใจมาเป็นเจ้าภาพด้วยตนเองทุก
ๆ
ท่านไม่ว่าท่านชาย
หญิง
ให้ตลอดทุก ๆ
ปี
ไปให้ชักชวนญาติพี่น้อง
ให้มาตามหมายกำหนดงานทุก
ๆ ปีไปทุก ๆ
ท่าน
บางสำนักบางสถานที่ก็กีดกันท่านหญิงไว้เสีย
ไม่ให้เข้าว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่พวกของตนจำเพาะท่านชาย
เลยเป็นผู้รังเกียจท่านหญิงไปทั้งหมดเลยกลายเป็น
อคติเกิดรังเกียจท่านหญิง
เลยเกิดกระทำจิตใจของตนให้ตกต่ำไปเสียเลยก็ได้
เพราะเดินผิดทางที่ตนได้หวงห้ามโดย
ไม่เป็นมูลในทางบุญกุศลบารมีที่จะกระทำได้ทุก
ๆ
ท่านไม่ว่าท่านชาย
หญิง
เราไปกีดกันขัดขวางเสียจิตใจ
ของท่านอันนั้นแหละกระทำให้เกิดเป็นอกุศลคือบาปโดยไม่รู้สึกตัว
พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยละเอียดว่าจำพวกนี้ก็คือ
เปรต สัมพเวสี
จะหาที่จุติหรือปฏิสนธิเกิดอีกเพื่อสร้างบุญกุศลบารมีอีกไม่ได้แล้วดังนี้
|
|
-
อาตมาภาพเห็นตามแนวทางพุทธบัญญัติ
ที่ท่านได้ชี้ทาง
ก่อสร้างบุญบารมีกุศลผลบุญไว้ให้ท่านชาย
ท่านหญิง
ให้กระทำตามท่านโดยศรัทธาบารมีตามสติกำลังของตนแต่ละท่าน
เพราะว่ามนุษย์คนเราที่มีปฏิสนธิเกิดใน
โลกกามภพนี้ก็ต้องมีบิดา
มารดา
เป็นชายเป็นหญิงที่อยู่ร่วมกันมาออกช้านาน
เหตุไฉนทำไมหนอไม่ให้ท่านหญิง
ได้เข้าร่วมในสถานที่เคารพบูชาด้วยในสถานที่นั้น
ๆ เล่า
เหตุเกิดขึ้นเพราะบุรุษคนหนึ่งถือได้ห้ามท่านหญิงไม่ให้เข้าร่วม
ในสถานที่นั้น
ๆ
ผู้ไม่รู้ถึงซึ่งความเป็นไปถึงได้ถือสืบ
ๆ
กันอย่างนั้นเอง
พระพุทธเจ้าตรัสไว้เขโกไปถือโดยงม
ๆ งาย ๆ
ไม่รู้เหตุและผลว่ามันเป็นมาอย่างไร
เพื่อประโยชน์อย่างไร
เพราะขาดจากความพิจารณาในเหตุและผลนั้นเอง
บุรุษผู้นั้นก่อเกิด
ให้หวงหึงสถานที่ขึ้นมา
ห้ามไม่ให้สตรีฝ่ายหญิงเข้าไปหรือขึ้นไปสถานที่นั้น
ๆ
เพราะว่าบุรุษคนนั้นเล่าเรียนในทาง
ไสยศาสตร์วิชาอาคมที่นอกจากสายทางพุทธบัญญัติคือ
ไสยศาสตร์ต่าง
ๆ
โดยกระทำของตนว่าดีโดยความโลภโกรธ
หลงที่นึกคิดโดยผิด
ๆ
โดยส่วนน้อยมิใช่ส่วนรวม
ศีลและธรรมตามพุทธบัญญัติหาได้ไม่
เพราะบุรุษผู้นั้นเล่าเรียนวิชา
ไสยศาสตร์คือ
วิชาชายนอนเดียวเป็นวิชาเล่ห์กลทางไสยศาสตร์ต่าง
ๆ
มิให้ท่านหญิงเข้าร่วมแม้แต่มารดาก็ไม่ให้เข้า
ร่วมในสถานที่นั้น
ๆ
เหตุนี้แหละผู้เข้าใจผิดถึงได้ถือสืบ
ๆ กันมา
ถือไม่ลืมหูลืมตาให้สว่างกันขึ้นสักที
ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ที่ท่านเรียกว่าลัทธิอุบาทว์มักกระทำให้ประชาชน
เอารัดเอาเปรียบกันอยู่เท่าทุกวันนี้
เพราะไสยศาสตร์วิชาชานอนเดียวนั้นเอง
ส่วนมากเกิดขึ้นจากลัทธิพวกเหนือชาวเดียรถีนิครนถ์
เขาถือวิชาลัทธิชายนอนเดียว
เขาว่าเป็นศักดิสิทธิ์คงกระพันชาตรีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่เหล่านั้น
มันเดินกันคนละสายทางกับพุทธบัญญัติของ
หมู่เราชาวพระพุทธเจ้าเพราะหมู่เดียรถีนิครนถ์
เขาก็ถือทางทรงผ้ากาสาวพัตร์เหมือนกันอย่างหมู่เราท่านนี้เอง
เมื่อเราจะดูด้วยตาอย่างมนุษย์คนทุกวันนี้ก็ดูรู้ได้ยาก
เพราะจำพวกนี้พูดเก่งประจบสอพลอดีมากบางท่านก็หลง
ไปตามลัทธิของเขาเป็นส่วนมาก
ขอให้หมู่เราชาวพุทธให้พิจารณาเสียก่อนเพราะว่าการสร้างบุญกุศลบารมีนี้ให้ถูกต้อง
ตามพระพุทธเจ้าบัญญัติเสียก่อนถึงกระทำลงไป
ทำน้อยก็จะได้มากสมหวังนะท่าน
พระพุทธเจ้าห้ามเป็นสิ่งที่ควรห้าม
ต่างหากห้ามทั้งชายหญิงทั้งหมดในสิ่งนั้น
ๆ
มิได้ห้ามแต่ท่านหญิงอย่างนั้นก็หาได้ไม่นะท่าน
ดูเถิดท่านชายหญิงโลกกายภาพมนุษย์คนเรา
อยู่ด้วยกันทุกวันนี้เป็นสถานที่ก่อสร้างบุญกุศลบารมีด้วยกันทั้งสองท่านชายหญิงมิใช่หรือ
โลกนี้ถึงได้มีทั้งชายหญิงอยู่ในโลกนี้เมื่อถึงเวลาสังขารตายดับไปจากโลกนี้แล้ว
ส่วนจิตวิญญาณก็จะ
ได้รับบุญกุศลบารมีที่ได้กระทำไว้ในโลกเรานี้ไม่ใช่หรือ
เมื่อจิตวิญญาณไปด้วยบุญกุศลกุศลบารมีในการกระทำ
ของท่านเหล่านั้นท่านชายก็จะได้ไปจุติบนสวรรค์เป็นเทพบุตรหรือพระอินทร์พระพรหมไม่ใช่หรือ
ส่วนท่านหญิงก็เป็นเทพธิดา
อยู่สวรรค์เช่นกันไม่ใช่หรือ
สวรรค์โน้นก็มีทั้งท่านชายท่านหญิงเหมือนกันนะท่าน
ๆ
ชายหญิงทำจิตเจตสิกรูปออกจากอาสวะ
พ้นไปแล้วก็เข้าสู่พระนิพพานทั่วกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ
เมืองพระนิพพานเป็นสถานที่รองรับท่านชาย
หญิงผู้สิ้นอาสวะ
แล้วไม่ใช่หรือ
พระนิพพานโน้นก็มีทั้งท่านชาย
ท่านหญิงนะท่าน
จงให้พิจารณากันดูเถิดจะจริงหรือไม่ตามแต่ผู้จะเร่งหาทางออกแก่ตัวเท่านั้น
พระพุทธเจ้าห้ามแต่สิ่งที่ควรห้ามเท่านั้น
สิ่งที่ไม่ควรท่านทำไมไปหาว่าควรกันเล่าเพื่อต้องการน้อมลาภจากทายกทายิกามา
สู่ตนและผู้อื่นแห่งกาม
โลภ โกรธ หลง
ไม่ใช่หรือสิ่งนี้ไม่ควรท่านทำไมหาว่าควรกันเล่า
ลัทธิอุบาทว์อีกอย่างหนึ่งมัน
เกิดขึ้นทางจิตใจของปุถุชนเป็นส่วนมาก
มิใช่เกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติแม้แต่จะเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติท่านเท่านั้น
ๆ
ก็เพราะผู้ปฏิบัติท่านนั้นยังมีอคติความลังเลสงสัยในธรรมคำสั่งสอนของ
สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีอยู่ในตน
เป็นส่วนมากจนจะถากถางออกไม่ไหว
เพราะจิตใจไม่เข้าสู่ศีลและธรรมเพราะขาดความสนใจของตนนั้นเอง
เพราะตนของตนเป็นที่พึ่งของตนยังไม่เกิดยังไม่มีนั้นเอง
สภาวะอุบาทว์นั้นถึงได้เกิดขึ้นแก่จิตใจของท่าน
เหล่านั้นเร็วที่สุดทำให้จิตใจตกไปตามสภาวธรรมเหล่านั้นไปทั้งหมดเสียเลยก็ได้
ลัทธิอุบาทว์ชนิดนี้มันกระทำจิตใจให้เกิดยินดีไปในทาง
เอาแพ้เอาชนะเสียดสีต้องติเบียดเบียนส่อเสียดเบียดบัง
อำพรางท่านผู้อื่นให้หลงไปตามตนด้วย
ท่านเรียกว่าเป็นผู้ประจบสอพลอยกตนข่มท่านไม่รู้บุญไม่รู้บาปไม่รู้บารมีกุศลผลบุญเสียเลย
เราได้ติเตียนนินทาว่ากล่าวท่านผู้อื่นให้สมใจตน
ก็แล้วกันไม่รู้นรกสวรรค์ทั้งนั้นรู้ว่าแต่ศีลกินแต่ข้าวกูก็พอจิตใจ
คิดหาตั้งแต่คำผิดแก่ท่านผู้อื่นเสมอ
ๆ ไป
คอยแต่ไปเที่ยวหา
สั่งสอน
เอาเปรียบท่านผู้อื่นตนของตนทำไมหนอ
ไม่สอนสักที
ปีเดือนล่วงไป
ๆ
ชีวิตชาติสังขารของท่านเขาจะรอคอยท่านหรือเปล่าทำไมไม่แสวงหาบุญบารมีของตนไว้บ้าง
ทำไมไปหลงโจมตีแต่ลัทธิของท่านผู้อื่นว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ด้วยอกุศลจิตพยาบาทจองเวรกระทำจิตใจตน
ให้เศร้าหมองแห่งอบายมุขอบายภูมิ
ให้เกิดขึ้นแก่จิตใจเราเสียเปล่า
ๆ
มันจะมีผลอะไรเกิดขึ้น
มันมีแต่เหตุให้เกิดความเร่าร้อนเท่านั้น
ขอให้ท่านรู้ว่าเรามาเกิดอยู่ในโลกคนเราในจักรวาลนี้มันยุ่งเสียจริง
ๆ มันก็เป็นต่ำ
ๆ สูง ๆ
ขาดตกบกพร่องอยู่เสมอ
ๆ
เพราะความนินทาบ้างสรรเสริญบ้างท่านเรียกว่า
โลกนี้เป็นโลกโลกวัชชะคอยหาแต่เอาเรื่องเข้ามาถมทับซึ่งกันและกันอยู่เสมอ
ๆ
แม้แต่เราท่านจะก่อสร้างบุญกุศลบารมีอันใด
ๆ กันก็ตามแต่
ก็ต้องถูกหมู่อัปมงคลนี้เบียดเบียนอยู่เสมอ
ๆ
ไม่มากก็น้อยนะท่านจะหาผู้ชมเชยนั้นได้ยาก
มีแต่ผู้บังเบียดยื้อแย่งรบกวนเพื่อเอาทรัพย์นานาประการบ้าง
ไม่พอใจของตนก็ต้องติหาเอาสิ่งไม่ดีมาเสียดสีติเตียนอยู่เสมอ
ๆ
จริงบ้างไม่จริงบ้างแสวงหาเอาบาปกรรมเวร
ไม่รู้อะไรกันเสียเลย
จะหาปัญญาแก้ไขเรื่องสิ่งเป็นอัปมงคลก็ไม่มีไม่เป็นเขาว่าไม่ดีก็ว่าไม่ดีตาม
ๆ เขาไป
จะหาปัญญาแก้ไขในเรื่องที่ตนได้ยินได้ฟังมาจากผู้อื่น
มันเป็นเรื่องไม่ดีไม่งามเรื่องนินทาส่อเสียดเบียดบังจะจริง
ก็ตามไม่จริงก็ตาม
มันเป็นเรื่องไม่ดี
เราเป็นผู้มีปัญญาเป็นผู้เลิกจากบาปกรรมเวรไม่ก่อกรรมทำเข็ญอีกแล้ว
ต่อไปเราต้องเป็นคนฉลาดเป็นผู้มีปัญญา
อย่าเป็นผู้เรียนรู้เฉย
ๆ
เป็นผู้หาผลประโยชน์มิได้
เรารู้เราเห็นเรา
ได้ยินเราได้ฟังมาในเรื่องไม่ดีนั้น
ๆ
มาจากผู้อื่นก็ดีหรือเราเห็นเองก็ดี
เราสมควรสงบเสียไม่ให้เรื่องนั้นอื้อฉาวต่อ
ๆ ไป
มันเป็นเรื่องแตกแยกสามัคคีซึ่งกันและกันเรื่องไม่ดีนั้นมันเป็นบาป
อกุศลอบายมุขทำทุกข์แก่ท่านด้วยกายหรือวาจาใจก็ตาม
ทุกข์นั้นจะถึงตนผู้พูดนั้น
ๆ
เองไม่มีผลสงบสุขไปได้เลยในปัจจุบันและอนาคต
เพราะเราไปทำให้ท่านผู้อื่นได้รับ
ความเศร้าหมองนั้นเอง
ในเรื่องใด ๆ
ก็ดีมันจะเป็นเรื่องทุกข์ลำบากยากเข็ญเพียงไรก็ตาม
เราสมควรอดทนวางเฉยไม่พูดไม่ทำในสิ่งนั้น
ๆ
มันเป็นสายทางโลกะวัชชะนินทาสรรเสริญ
มันเป็นสายทางแตกแยกจากเมตตาสามัคคีธรรมในหมู่ในคณะนั้น
ๆ
โดยเหตุที่เราทำเราพูดเรานึกเราคิดนั้นเองมันทำให้เกิดเป็นทุกข์แก่ตนและผู้อื่นนานาประการ
ตลอดถึงประเทศชาติบ้านเมือง
ก็ต้องถูกทำลายให้พินาศไปตาม
ๆ
กันทั้งหมดเพราะเรานำเอาเรื่องไม่ดีไปต้องติอื้อฉาวต่อ
ๆ
ไปเกิดความรบกวนซึ่งกันและกันไม่หยุดหย่อน
เราเป็นผู้เรียนรู้เป็นผู้มีปัญญาเรื่องไม่ดีที่มันเกิดขึ้นมาแล้วที่ผ่านมาแล้วเราสมควรระงับเสีย
อย่านำเอามาทำเอามาพูดเอามานึกคิดขึ้นอีกไม่มีผลประโยชน์หรอกท่านชาย
ท่านหญิง
สิ่งไม่ดีที่มันยังไม่เกิดมันยังไม่มีเราก็ไม่สมควร
นึกคิดขึ้นมาให้มันเกิดความเดือดร้อนแก่ตนและผู้อื่นไม่ควรนึกคิดในเรื่องเหล่านั้น
เราชอบดีเราอย่าทำ
เราอย่าพูด
เราอย่านึกคิดในสิ่งในเรื่องไม่ดี
เราชอบเป็นใหญ่อย่าเบียดเบียนโดยการกระทำ
โดยการพูด
โดยการนึกคิดที่บังเบียดตนและผู้อื่นเป็นอันขาดนะท่าน
ท่านเหล่าใดถือว่าตนเป็นใหญ่อันนี้เป็นการนึกคิด
อันทำให้ตนเศร้าหมอง
ท่านเรียกว่าผู้นั้นนึกคิดผิดทางธรรม
ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ตนและผู้อื่น
ผู้นั้นขาดจากเมตตา
สามัคคีธรรมสิ่งน้อมนำจิตใจของตนเอง
ท่านเหล่าใดนึกคิดเอาชนะแก่ผู้อื่นตายแล้วเกิดอีกสักหมื่นปีก็ยังไม่พบประสบพระ
เพราะกรรมเวรนะท่าน
ท่านเหล่าใดได้ชัยชนะแก่ตนเองผู้นั้นถึงพระเพราะชัยชนะของตนเอง.
|
|
-
ต่อนี้ไปก็ยังมีธรรมอีกเหล่าหนึ่ง
ภิกษุสามเณรชีพราหมณ์อุบาสกอุบาสิกา
ชาวพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ของหมู่เราท่านชาย
หญิง
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านมีมูลมีความหมายเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์มนุษย์ชาย
หญิงให้เข้าสู่สวรรค์
นิพพาน
เป็นที่เกษมสุขดังนี้
แต่หมู่เราชาวพุทธมีความคิดผิดเห็นผิดไปตามอาการต่าง
ๆ
ทีเข้าใจผิดเสียดสีว่ากล่าวทำให้เกิดความ
ไม่พอใจกันขึ้นโดยขัดขวางซึ่งกันและกัน
เห็นผิดในทางพระธรรมพระวินัยศีลสิกขาบทของพระพุทธเจ้าแทบจะหมดหรือเกือบ
จะหมดอยู่แล้วในทุก
ๆ วันนี้
พระพุทธเจ้าทุก
ๆ
พระองค์ท่านทรงตักเตือนสาวกชาย
หญิงไว้ว่า ดูก่อนท่านทั้งหลายชายหญิงศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ให้หมู่ท่านแล้ว
โดยสามัคคีธรรมพร้อมเพรียงสมบูรณ์แก่หมู่ท่านชายหญิงแล้ว
ศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเจริญถาวรสืบ
ๆ
ต่อไปได้ก็เพราะบุรุษ
4
เหล่านี้แหละบุรุษ
4 เหล่าก็คือ
ภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก
อุบาสิกา
เหล่าท่านนี้แหละจะเป็นผู้ทำนุบำรุงไว้โดยสามัคคีธรรมพร้อมเพรียงกัน
เป็นผู้ขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้านไม่ขัดแย้งทะเลาะวิวาท
ซึ่งกันและกันโดยปราศจากพระธรรมพระวินัยโดยไร้เหตุและผล
(ภิกษุณีได้สืบเนื่องมาถึงเท่าทุกวันนี้ก็คือหมู่ชีท่านหญิงที่ได้ออกบวช
กันอยู่อย่างทุก
ๆ
วันนี้เรานี้แหละไม่ต้องสงสัยดอกท่านทั้งหลาย)
และหมู่พวกที่จะทำลายพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นั้นก็คือ
ภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก
อุบาสิกา 4
เหล่านี้แหละ
คิดเห็นผิดซึ่งกันและกันในทางพระธรรมพระวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ตกลงซึ่งกันและกันได้
เพราะเหตุนี้แหละบุรุษ
4
เหล่าไปเปลี่ยนคำนึกคิดคำของตนเองโดยมิได้พิจารณาปฏิบัติจิตของตน
ให้แจ้งเข้าสู่วิมุตติญาณเสียก่อนในทางพระวินัยศีลสิกขาบท
ว่าเห็นอะไรอย่างไรให้มันรู้ให้มันซึ้งเสียก่อน
อย่าไปถือโดยผู้อ้างตำรา
อย่าไปถือมงคลตื่นข่าว
อย่าไปตรึกตรองเอาอย่าไป
คาดคะเนเอาว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
อย่าไปถือว่าผู้นั้นผู้นี้พูดควรเชื่อได้
อย่าไปถือว่าภิกษุรูปนั้นรูปนี้เป็นครูบาอาจารย์
ของตนให้ถือว่าบุญมีจริงบาปมีจริงเช่นนี้
มันถึงจะไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทให้เกิดความแตกแยกสามัคคีซึ่งกันและกันไปได้
เพราะความเกรงกลัวต่อบาปกรรมนั้นเอง
ผู้ไม่รู้ซึ้งถึงบุญและบาปก็ว่าบุญไม่มี
บาปไม่มี
ท่านเหล่านั้นแหละเป็นผู้นึกคิดผิดพูดผิด
เป็นผู้ปิดบาปไว้ในตนเอง
ไปเอาโลภโกรธหลงโทษแห่งการก่อสร้างบาปกรรมเวร
มาดัดแปลงว่านี่เป็นบุญนี่เป็นกุศลนี่เป็นบารมี
โดยทรัพย์สินเงินทองได้มาที่ผิด
ๆ
ล่วงศีลสิกขาบท
พระธรรมพระวินัยหาเป็นบุญเป็นกุศลบารมี
ด้วยการล่อหลอกลวงผู้โง่เขลาโดยโลภโกรธหลงให้หลงเชื่อตามตนไปด้วย
เพราะความเห็นผิดที่ตนได้นึกคิดไปตามอาการนั้น
ๆ
โดยขาดจากความพิจารณานั้นเอง
ความนึกคิดของตนเห็นไปตามอาการนั้น
ๆ
จะเกิดอุปาทานในความเห็นตนว่าถูกต้อง
เลยผลักดันจิตใจของตนให้เดินไปตามธรรมเหล่านั้น
จนเกิดเป็นทิฐิในความเห็นผิดว่าถูกต้องนั้นเอง
โดยขาดจากความพิจารณาในตน
และผู้อื่นที่เป็นเหตุหรือผลท่านชายท่านหญิง
ย่อมจะมีเหตุมีผลด้วยกันทั้งนั้นนะท่าน
บางท่านตามที่อาตมาได้ยินมาพูดโดยหยาบคาย
ด้วยอุปาทานออกมาว่า
ผู้หญิงที่เข้ามาบวชถือศีลสร้างบารมีในทาง
เนกขัมมะบารมีในการออกบวชนี้หาว่าท่านหญิงเป็นผู้เข้ามา
ทำลายศาสนาอย่างนี้ก็มีเป็นส่วนมาก
บางท่านท่านก็พูดออกมาว่าผู้หญิงเป็นผู้ทำลายศาสนาอย่างนี้ก็มี
ผู้มีจิตใจเป็นปุถุชนโง่เขลา
อยู่ก็เลยเกิดจิตอคติเกิดความยินดียินร้ายไปตามคำพูดเหล่านั้น
ความนึกคิดกลายเป็นอกุศลจิตคือบาปทางจิตอันนี้ร้ายแรงมาก
เพราะจิตเป็นธรรมอันไม่ตาย
จิตคิดกระทำอย่างไรก็จะได้รับกรรมอย่างนั้นเป็นแน่นอนนะท่าน
จิตคิดเกิดอคติไปตามเขาว่า
ไปหาว่าท่านหญิงเป็นคนไม่ดีอัปรีย์จัญไร
เป็นผู้ทำลายอย่างนั้นอย่างนี้คำอย่างนี้เห็นผิดแก่ผู้อื่นเห็นถูกแก่ตนเองในคำคิดนั้น
ๆ
|
|
-
ดูก่อนท่านทั้งหลาย
ท่านอย่าไปเห็นผิดแก่ท่านผู้อื่นให้มันมากไปนักเลย
ขอให้พิจารณาในความนึกผิดคิดผิดที่มี
อยู่ในตนของตนกันบ้าง
ท่านอย่าไปคิดโง่เขลาเบาปัญญานักเลย
เปรียบเหมือนเรือติดหาดเพราะตนเห็นผิดมองไปข้างหน้า
ด้วยสายตนของตนมองเห็นหาดทรายมูลกองใหญ่มหาศาลจิต
อกุศลจิตเป็นกรรมหนักมองเห็นกองทรายขาวสะอาดจิตมองเห็นผิดว่าเป็นน้ำ
หันเหหัวเรือเข้าไปเกย
ตนคนเดียวจะถอยเรือออกจากกองทรายนั้นก็ไม่ไหว
ทั้งจิตก็หมายว่าจะข้ามฟากหนีจากหมู่มารเลยเดินทางผิด
เพราะตนไปคบคิดเห็นผิดหลงไปกับหมู่พวกอันธพาลนั้นเอง
ดูก่อนท่านทั้งหลายทั้งท่านชาย
และท่านหญิงขอให้คิดดูตรงนี้
ตามพุทธบัญญัติมีเหตุและมีผลดีกว่า
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าผู้จะทะนุบำรุงพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองถาวรสืบ
ๆ ต่อไปให้ถาวร
ไปได้ก็เพราะภิกษุ
1 ภิกษุณี 1
อุบาสก 1
อุบาสิกา 1
ดังนี้ไม่ใช่หรือ
ภิกษุคือท่านชายไม่ใช่หรือ
ภิกษุณีก็คือท่านหญิงไม่ใช่หรือ
อุบาสิกาก็คือท่านหญิงไม่ใช่หรือ
หมู่ท่านอย่ากลายเป็นคนหูหนวกตาบอดสอดรู้ไปดูผิด
ๆ
ใส่ร้ายป้ายสีโจมตีด้วยตนเอง
หวังว่าจะเข้าสู่พระนิพพานเลยเห็นผิดคิดผิดทางเลยกลายเป็นเปรตสัมพเวสีล่องลอยวนไปวนมา
อยู่ตามอากาศเวหาที่จะจุติปฏิสนธิที่ใดก็ไม่ได้
เพราะตนคิดใช้เดินผิดทางไปติเตียนรังเกียจท่านหญิงว่าไม่ดี
ว่าเป็นราคีแก่ตนและพระพุทธศาสนาคำนี้แหละกลายเป็นคำทำลายตนและผู้อื่น
และทำลายพุทธศาสนาต่อ
ๆ ไปอีกด้วย
มันเป็นเรื่องจิตใจของท่านชาย
ท่านหญิงต่างหาก
ถ้าจิตใจคิดพวักพะวนอยู่ไม่ว่าท่านชาย
ท่านหญิงก็จะเกิดซ้ำอีกหลาย
ๆ
ชาติอยู่ถึงซึ่งพระนิพพานเหมือนกันไม่ต้องสงสัย
เพราะว่าพระนิพพานนั้นไปกันได้ทั้งนั้นท่านชาย
ท่านหญิงมิได้เป็นอริซึ่งกัน
และกันเลยนะท่าน
คำว่าไม่ดีอัปรีย์จัญไรนั้นไม่ว่าทั้งท่านชาย
หญิงมันก็เกิดความอัปปรีย์จัญไรได้ด้วยกันทั้งนั้น
มันย่อมเกิดขึ้นได้ทุก
ๆ
ท่านไม่ว่าทั้งท่านชาย
ท่านหญิงเป็นดังนี้นะท่าน
เมื่อว่าเราท่านชาย
ท่านหญิงจะละออกจากกามตัณหาความกำหนัด
โลภ โกรธ หลง
อาสวะให้สิ้นไปในปัจจุบันชาตินี้จะเข้าสู่พระนิพพาน
ไม่ต้องกลับมาเกิดปฏิสนธิอีกก็เมื่อสิ้นอาสวะแล้วไปได้ทั้งท่านชาย
ท่านหญิงนั้นแหละ
อย่าไปสงสัยลังเลใน
ธรรมสายทางของพระพุทธเจ้าที่ท่านทรงทำไว้ให้หมู่ท่านชายหญิงแล้ว
มิใช่เป็นแต่ของท่านชายเมื่อไร
ศีลธรรมขอให้หมู่ท่านพิจารณาคิดดูธรรมนอกนี้ดู
|
|
-
เมื่อเราท่านเข้ามาเกิดอยู่ในโลกกามภพอย่างเราท่านชาย
ท่านหญิงอย่างทุก
ๆ
วันนี้ที่เห็น
ๆ
กันอยู่อย่างเราท่านนี้ก็ต้องมีบิดา
มารดาน้ำนมและข้าวไม่ใช่หรือ
ถึงได้เจริญเติบโตมีปัญญาหากินใช้ด้วยปัญญาของตนเอง
ที่ได้ยินได้ฟังได้เห็นที่เป็นตัวอย่างสืบ
ๆ
กันมาไม่ใช่หรือบิดาคือชายมารดาคือหญิงข้าวน้ำสามอย่างนี้แหละที่ทำให้หมู่ท่านเข้ามาเกิด
อยู่ในโลกกามภพเป็นคนเราอย่างทุก
ๆ
วันนี้ไม่ใช่หรือ
ขอให้หมู่ท่านชาย
ท่านหญิงทุกท่านลืมตาดูและพิจารณาในธรรมเหล่านี้ด้วย
ให้มันชัดเจนกันเสียก่อนอย่าไปต้องติกันโดยไร้เหตุและผลโลกกามภพคือโลกคนเรา
รูปภพคือโลกสวรรค์
อรูปภพคือโลกพรหม
ภพทั้ง 3
นี้ถ้าขาดชายขาดหญิงไปเสียแล้วโลกภามภพทั้ง
3
นี้จะตั้งกันอยู่ได้อย่างไรให้พิจารณากันดูบ้าง
อย่าหลับตาพูดมัน
ไม่เห็นทางนะท่านศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก
ๆ
พระองค์ก็ต้องมีทั้งชายหญิงไม่ใช่หรือถ้าขาดชายศาสนาก็ไม่มี
ถ้าขาดหญิงศาสนาก็ไม่งาม
ถ้าโลกมนุษย์คนเรานี้
ขาดชายขาดหญิงขาดอาหารข้าวนำไปเสียอย่างใดอย่างหนึ่งโลกนี้ก็ตั้งอยู่มิได้เลยนะท่าน
พระนิพพานถ้าขาดท่านชาย
ท่านหญิงขาดศีลสมาธิปัญญาถ้าขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว
อย่าคอยเลยว่าจะพบประสบพระนิพพานไม่มีหวัง
ท่านไม่ให้รังเกียจท่านชาย
ท่านหญิงให้ละให้เว้นเสียให้ออกจากกามตัณหาอาสวะให้สิ้นไปเพราะพระนิพพานก็มีทั้งชาย
ท่านหญิงเช่นกัน
ถ้าท่านเหล่าใดมีจิตใจคดโกงต้องติท่านหญิงอยู่ก็ดีหรือ
มีความสงสัยในคำพูดที่ต้องติท่านหญิงท่านหญิงนั้น
ท่านเหล่านั้นจะไม่ได้พบสวรรค์และพระนิพพานเลยต่อ
ๆ ไป
ขอให้ท่านเป็นผู้มีปัญญาพิจารณาต้องติตนเองนั้นเถิด
มันถึงจะเกิดมรรคผลซึ่งสวรรค์และพระนิพพานต่อ
ๆ ไปนะท่าน
|
|
-
ดูก่อนผู้ปฏิบัติชาย
หญิงอย่าไปสงสัยซึ่งกันและกันเลย
ขอให้มีปัญญาพิจารณาในธรรมเหล่านี้ด้วยให้รู้จัก
ในข้อปฏิบัติก่อสร้างบุญกุศลบารมีกันบ้าง
มันถึงจะถูกทางสวรรค์และพระนิพพานไปได้นะท่าน
เมื่อท่านเหล่าใดจะสร้างบุญกุศล
บารมีเพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ที่เป็นมนุษย์ชาย
หญิงให้เข้าสู่ความสุขสวรรค์และพระนิพพานด้วยกันทุก
ๆ
ท่านเราจะเอาอะไรเป็นมูล
เราจะอาศัยอะไรเป็นมูลให้พิจารณากันบ้าง
ดูก่อนท่านทั้งหลายจงพิจารณาอย่าไปยกตนว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ไปกล่าวไปพูดไปสอน
ไปตักเตือนหรือกล่าวในเรื่องไม่เป็นธรรม
ทั้งต่อหน้าและลับหลังแก่ผู้ให้หรืออาวุโสหรือผู้มีตำแหน่งเหนือตน
อันนี้เป็นธรรมอันไม่งามขอให้ท่านจงตั้งจิตใจของตน
นั้นให้พิจารณามีดังต่อไปนี้มีผลดีกว่าไม่มีโทษโจษกันมันไม่ดีอย่าชิงสุกก่อนห่าม
อย่าไปบังคับท่านผู้ใหญ่ที่เหนือตนมันไม่ดี
อย่าข่มขี่เสียดสี
ต้องติผู้ที่ท่านมีอาวุโสอย่าไปทำโก้
ๆ ด้วยสนเท่
ลายลักษณ์อักษร
อยากรู้ทางให้ถาม
อยากงามให้ปฏิบัติตกแต่ง
ให้แบ่งจิตของตนให้สะอาดอย่าเกิดเสียชาติมันไม่ดี
ความดีไม่ต้องหาเพราะมันมีมากดารดาษเต็มทั่วทุกหัวระแหง
ความพินาศบรรลัยเหมือนไฟเผามองไม่เห็นความผิดคิดไม่เห็นทุกตัวคน
ความชั่วนั้นคิดนึกหาไม่รู้ไม่มี
ความผิดปิดจนวันตายความฉิบหายไม่มีใครรู้ตัวความชั่วไม่มีสติปัญญา
มีน้อยความดีมีถมไปเถิดได้แก่ผู้โง่เขลานะท่าน
ดูก่อนท่านทั้งหลายจงพิจารณาในตนของตนถึงจะมีมรรคผล
ท่านจะไปเข้าสู่พระนิพพานในปัจจุบันชาตินี้หรือเปล่าหรือชาติต่อ
ๆ
ไปให้กำหนดความหมายไว้ในตนกันเสียบ้าง
ถ้าท่านจะไปเข้าสู่พระนิพพานในปัจจุบันชาตินี้ท่านอาศัยอะไรเป็นที่ตั้งให้ตนของตนรู้ด้วย
ท่านจะเอาอะไรเป็นให้ตนของตนรู้ด้วยถึงจะมีความหมายแห่งพระนิพพานนะท่าน
จะให้พิจารณาเองด้วยตนของตนบ้าง
ถ้านึกคิดไม่ออกหาทางไม่เจอได้พิจารณาเอาธรรมสายทางโลกอุดรมาเป็นที่ตั้งนะท่าน
ถ้าไม่รู้จักให้พิจารณาภูตะรูปคือ
รูปใหญ่รูปหยาบนี้ไปก่อนจนให้จิตเราแยกออกจากภูตะรูปได้แล้วก็พิจารณาภูตะญาณ
ให้พิจารณารูปนอกและในให้แยกออกจากกันว่า
เป็นคนละส่วนมิใช่อันเดียวกันแล้วให้พิจารณาต่อคือ
ภูรตะภูญาณในความสว่างรูปในรูปให้ชัดเจน
มิใช่อย่างเดียวกันมันเป็นคนละส่วนแต่รวมกันปฏิสนธิอยู่ในรูปใหญ่
รูปใหญ่ตายแล้วสูญไปแล้วไปจำเพาะรูปใหญ่คือรูปนอกนั้นเองสูญไป
แต่รูปใน 1
รูปในรูป 1
สองอย่างนี้ไม่สูญคือเบญจขันธ์นั้นเอง
ท่านจงพิจารณาให้รู้ให้เห็นโดยสภาวธรรมแห่งเหตุผล
ท่านถึงจะยกจิตเจตสิกรูปของจิตเจตสิกรูปของจิตของท่านเอง
เข้าสู่สายทางโลกอุดรได้อย่างแท้จริงนะท่านชาย
ท่านหญิง
และให้พิจารณาในหมู่ตัณหา
สภาวะของตัณหา
ด้วยวิชชา 3
ให้ยกรูปของจิตเจตสิกของท่านเข้าสู่อาสวะคะยาฌานหรือ
อาสวะคะยาญาณก็ได้
ฌาน ญาณ
เหล่านี้เป็นหน้าที่กระทำให้อาสวะขาดสิ้นหลุดออกจากตนไปได้อย่างอัศจรรย์ด้วยตนเองนะท่าน
|
|