ฌานสี่

 

               เมื่ออาตมาได้อธิษฐานตนเป็นพระสาวกของพระพุทธองค์โดยแท้จริงแล้ว  ต่อจากนั้นอาตมาได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองคณฑี  อ. พระพุทธบาท  จ. สระบุรี  อาตมาได้ฝึกฌานสี่อยู่กับ  หลวงปู่พนธ์ ณ. ที่นั้นประมาณสี่ชั่วโมง  จึงบังเกิดเป็นดวงขึ้นตรงลิ้นปี่  อาตมาถึงกล่าวเรื่องนี้ให้ท่านทั้งหลายฟังพอเป็นสังเขปดังนี้

 

               อาจารย์ผู้ฝึกสอนจะเขียนรูป                ให้ผู้ฝึกดูเป็นเครื่องหมายให้จำได้หมายรู้เสียก่อนแล้วจะใช้คำบริกรรมว่า “สัมพุทโธ”  เมื่อจำได้หมายรู้เข้าสู่อุปทาน  จึงเกิดแสงสว่าง  พุ่งขึ้นที่หน้าอกของผู้ปฏิบัติ  โดยสัญญาในสัญญา  นำความสว่างเข้าไปสู่สังขารขันธ์ของผู้ปฏิบัติ  จะมองเห็นรูปสภาพแห่งขันธ์ทั้งปวง  คือรูปในรูปนั้นเอง ปรากฏขึ้น  เพราะสัญญาความสว่างนำเข้าไปสู่แห่งขันธ์นั้นเอง  จึงนำความสว่างแห่งขันธ์เข้าไปสู่วิญญาณ  ความสว่างในสังขารเกิดจำได้หมายรู้ แห่งวิญญาณในวิญญาณ  เป็นสภาพปรากฏขึ้น ในศูนย์กลางของวงกลม  ที่หน้าอกของผู้ปฏิบัตินั้นเอง  

 

               ผู้ปฏิบัติ  จึงรู้สภาพวิญญาณของตน  ซึ่งอาศัยอยู่ในธาตุทั้งสี่ของตนเอง  แล้วยังสามารถมองเห็นวิญญาณของมนุษย์และสัตว์อื่นๆ ได้อย่างแจ่มแจ้ง  หากผู้ปฏิบัติจะตรวจดูภพ  ให้เคลื่อนวงกลมนี้ไปตั้งไว้ตรงศูนย์กลางกายตรงสะดือ  เมื่อมีความสว่างเกิดขึ้นแล้ว  ผู้ปฏิบัติจะตรวจดูสภาพของอกุศลมูลได้ดี  พิจารณาจนอกุศลมูลเหล่านั้นหมดสิ้นไป  จนเห็นสภาพวิญญาณของตน  อยู่ในวงกลมนั้นอย่างชัดเจน  แล้วจึงเคลื่อนวงกลมไปไว้กลางกระหม่อม  พิจารณาขยายให้สว่างขึ้นในวงกลมนี้  จะเห็นสภาพของกุศลมูล  ในความสว่างอันนั้น  จะได้เห็นสภาพต่างๆ กัน  ขั้นต้นจะมองเห็นสภาพขององค์พระประทับยืน หรือนั่งอยู่ในดวงนั้น  เมื่อสว่างสดใสดีแล้วจะส่งความสว่างออกไปตรงหน้า   ใกล้หรือไกลก็ได้ใช้สัญญาเครื่องจำได้หมายรู้ในดวงที่สว่างอันนั้น  จนเกิดความสว่างอย่างชัดเจน  ใช้สัญญาในสัญญา เข้าไปสู่วิญญาณของตน  จนเห็นวิญญาณตนอยู่ในดวงสว่างตรงหน้า  จึงน้อมความสว่างของวิญญาณในวิญญาณของตน  ให้บังเกิดแสงสว่าง  เข้าไปสู่สภาพขององค์พระมองเห็นอย่างชัดเจน

 

               ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย  ผู้ใดได้ทำการปฏิบัติมาถึงขั้นนี้  ก็จะสามารถตรวจดูภพของวิญญาณ  ซึ่งมีอยู่ในกามภพนี้ เช่น  วิญญาณของมนุษย์และสัตว์ได้  วิญญาณทั้งหลายที่ยังครองสังขารอยู่นั้น  เราจะรู้ได้ด้วยวิญญาณในวิญญาณสนธิ  กับมโนวิญญาณที่อยู่ในสังขารของผู้ปฏิบัติ

 

               ผู้ปฏิบัติจะรู้ซึ้งด้วยสัญญาในสัญญา สนธิกับวิญญาณในวิญญาณ  และวิญญาณในวิญญาณ  สนธิกับมโนวิญญาณ  และมโนวิญญาณสนธิกับ กายวิญญาณ  สัญญาความสว่างจะสนธิกับกายวิญญาณ ประสานกับมโนวิญญาณ  จึงบังเกิดจิตญาณ  ผู้ปฏิบัติจะได้รู้เห็นสภาพของจิตวิญญาณ  ทั้งมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายได้อย่างชัดเจน ในลักษณะต่างๆ กัน  ด้วยผู้ปฏิบัตินั้นสามารถนำวิญญาณในวิญญาณของตน  สนธิสอบถามกับวิญญาณผู้อื่นได้   จะทราบความประสงค์หรือเหตุขัดข้องใดๆ ของวิญญาณเหล่านั้นได้  เพราะสภาพของเขาเหล่านั้น  ล้วนแต่มีความสัตย์ซื่อ  ไม่ได้โกหกหลอกลวง  อย่างกายสังขารของคนเรา  เพราะคนเรา  ยังมีอวิชชาและตัณหาครอบงำอยู่  

 

               ผู้ปฏิบัติพึงทราบว่าวิญญาณใดที่มีสังขารครองอยู่ขณะที่ตรวจพบนั้น  สายตาของวิญญาณเหล่านั้น  จะไม่หลบสายตาของผู้ปฏิบัติ  จะมองหน้ากันหรือสายตาจะประสพกัน  เช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์ธรรมดาซึ่งครองชีวิตอยู่นี้  รูปร่างของกายาสังขารเป็นเช่นไร  รูปของวิญญาณก็เป็นเช่นนั้นไม่ต่างกัน

 

               ส่วนวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในกามภพนี้  ที่ไม่มีสังขารครอง  คงเที่ยวอาศัยอยู่ในน้ำ  บนดิน  ตามต้นไม้  ภูเขา  เคหะสถานต่างๆ ทั่วไป  เมื่อผู้ปฏิบัติตรวจพบเข้า  สายตาของวิญญาณเหล่านั้นจะไม่ยอมมองหน้า  หรือประสานสายตากับวิญญาณของผู้ปฏิบัติ  จะก้มหน้า  เบือนหน้าหนี  หรือตะแคงข้างใช้หางตาคอยชำเลืองดู  หรือหันหลังใส่  ไม่ยอมสู้หน้าดังนี้  เว้นแต่เจ้าของวิญญาณเหล่านั้น  เมื่อก่อนที่กายสังขารจะแตกดับลงไป  ได้เคยเป็นผู้ปฏิบัติในศีลและธรรมมาก่อนแล้ว ตั้งแต่ยังมีสังขารครองอยู่  วิญญาณเหล่านั้นจะมองหน้าตรง  ไม่หลบหน้ากับวิญญาณของผู้ปฏิบัติ  แต่จะมองทอดสายตาลงเบื้องต่ำเสมอไป   วิญญาณจำพวกที่กายสังขารได้แตกดับลงไปแล้ว  ไม่มีสังขารครอง  เหล่านี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก  หลายอย่างต่างๆ กัน  เช่นวิญญาณที่ดุร้าย  วิญญาณผู้มีอิทธิฤทธิ์ หลายชนิดพรรณนาไม่ไหว  ขอผู้ปฏิบัติตรวจดูเอาบ้างด้วยวิญญาณเหล่านี้มีสภาพต่างๆ กัน  คล้ายกับสังขารของมนุษย์ในโลกเราดังกล่าวแล้ว  จะต่างกันด้วยเหตุที่มีบุญ ก็เป็นบุญ  ที่มีบาป ก็เป็นบาป  เมื่อล่วงลับไปแล้วจึงต้องต่างกัน

               ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย วิญญาณมิได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีอยู่ในเมืองนรกทั้งหลายอีก  บนชั้นสวรรค์ชั้นพรหมก็มีอยู่  วิญญาณชั้นอมตะก็ยังมีอยู่  ซึ่งรวมเรียกว่าภพทั้งสาม  ผู้ปฏิบัติทั้งหลายควรสนใจปฏิบัติฌานสี่นี้ให้บังเกิดขึ้น  ให้มีความเชี่ยวชาญมีความสว่างไสว  สำหรับจะได้ตรวจดูทุกชั้นทุกภูมิ   ในภพในภูมิของรูปและอรูปเหล่านั้น  เพื่อเป็นหนทางของผู้ปฏิบัติเอง  เมื่อจะเข้าภพอีกต่อไป  เราควรฝึกให้สว่างไสวเสียตั้งแต่ตอนที่สังขารของเรายังไม่แตกดับ วิญญาณจะได้รู้ชั้นนั้น-ชั้นนี้  ภพนั้น-ภพนี้  หากสังขารอันตรายแตกดับลงเมื่อใด  วิญญาณจะได้เข้าภพได้อย่างสบายถูกต้อง   เพราะวิญญาณเขารู้หนทางได้ดีอยู่ก่อนแล้ว  ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ฝึกหัดไว้เสียแต่แรก  เมื่อสังขารยังมีอยู่แล้วไซร้  เมื่อสังขารร่างกายต้องแตกดับลงไป  วิญญาณผู้ไม่ได้ฝึกก็ไม่รู้หนทาง  เมื่อสังขารมีอยู่ก็มืดมิดรู้หนทางอยู่แล้ว  หากสังขารต้องแตกดับไป จะรู้หนทางสว่างไสวได้อย่างไร  อุปมาเหมือนคนตาบอดมืด ก็มืดอยู่นั้นเอง  เมื่อครองสังขารอยู่ก็มืดสังขารแตกดับไปแล้วก็มืดอีก  ความมืดเหล่านี้แหละ  ที่ทำให้หลงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกามภพ  เมื่อสังขารแตกดับแล้ว วิญญาณท่านจะไปทางไหน  

 

               ฉะนั้นท่านทั้งหลาย  ควรฝึกหัดฌานสี่นี้ ให้เห็นแจ่มแจ้ง  รู้แหล่งดี  แหล่งชั่ว  ที่ไป  ที่มาในภพทั้งสาม  ภพดีหรือภพชั่วอยู่ที่ไหน  เผื่อเวลาตายจะได้ไม่ต้องหลง  

 

               ฌานสี่นี้อาตมาจึงไปฝึกเรียนรู้  จะเกิดความสว่างไสวในฌาน  อาตมาจึงได้เทียบความสว่างเหล่านั้นเข้ามาในจิตญาณ  ให้บังเกิดเป็นธรรมของพระพุทธองค์  ด้วยธรรมรณะนุสสติ  เพราะฌานสี่นี้สามารถรู้วิญญาณของตนและผู้อื่นได้อย่างแจ่มแจ้งดังกล่าวมาแล้ว

 

               เมื่อได้ปฐมฌาน  ทุติยฌาน  ตะติยฌาน  จตุตถฌาน  ฌานเหล่านี้  เป็นฌานที่พระพุทธองค์ทรงฝึกฝนมาก่อน  เป็นธรรมที่สามารถนำความสว่างเข้าสู่ภพของวิญญาณ  สามารถดับความเศร้าโศก-เสียใจได้  เมื่อหมู่คณะของตนต้องตายจากไป  เพราะเราสามารถทราบได้ว่าเมื่อสังขารแตกดับลงไปแล้ว  วิญญาณยังมีอยู่  และเข้าภูมิภพอื่นต่อไป มิได้ตายหมดทีเดียวอย่างที่เข้าใจกัน  ฌานเหล่านี้ประกอบด้วย  ฝ่ายวิญญาณ  คือ กายวิญญาณ  มโนวิญญาณ  และจิตวิญญาณ  วิญญาณในวิญญาณของชั้นพระโสดาบันบุคคล  ฌานสี่นี้แยกได้หลายทาง  คือทางหนึ่งแยกเป็นโลกิยะ  เมื่อได้อภิญญาแล้ว  ฝึกหัดให้มีอิทธิฤทธิ์  อิทธิ คือวิธีการอันหนึ่งที่เกิดจากฌาน  เช่น  กำบังตน  ทำให้ตัวเบาเดินได้บนน้ำ  ลอยไปในอากาศ  การสะกดจิต  ทำเสน่ห์ยาแฝด  เล่นกลของขลังต่างๆ สามารถใช้สอยวิญญาณปีศาจได้  เป็นหมอรักษาไข้  ลุยไฟเหล่านี้ล้วนแต่เป็นไปด้วยอำนาจของ  ความโลภอยากได้สักการะ  เพื่อยศและสรรเสริญเท่านั้น  การแสดงฤทธิ์ต่างๆ พยาบาทอาฆาตจองเวร

 

               ทางนี้เป็นคุณพิเศษของมนุษย์  ทำได้หลายประการพรรณนาไม่หมด  จะกล่าวแต่เพียงย่อๆ พอให้รู้เท่าทันเท่านั้น  เพราะฌานสี่โลกิยะธรรม  โลกิยะจิตนี้  มันเป็นบุญเป็นบาป  หากผู้ปฏิบัติ  ได้รู้แจ้งเห็นจริงในฌานแล้วไซร้  อาจสามารถทำให้มนุษย์และสัตว์ถึงสิ้นชีวิตได้  แต่หากผู้ใดขืนกระทำลงไป  มันเป็นหนทางอบายคือ จุดหมายจะตกนรกเป็นที่อาศัย  เมื่อปฏิบัติได้เห็นได้  รู้ตามความสว่างของโลกิยะธรรมเหล่านี้แล้ว  ก็รู้เห็นประสบการณ์ต่างๆ ทั้งหลาย  ในโลกิยะธรรม  จะได้ปฏิบัติตน   ดำเนินออกจากโลกิยะธรรมนี้  เข้าสู่โลกุตรธรรมคือพระนิพพาน ตามทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงบัญญัติไว้   ซึ่งจะได้กล่าวในตอนหลังแต่ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า  การฝึกฝนทางฌานนี้  เพื่อประโยชน์ให้ผู้ปฏิบัติพิจารณา  เพื่อเป็นหนทาง  ออกจากโลกียะธรรม  มุ่งหน้าปฏิบัติเพื่อข้ามไปยังโลกุตรธรรม  ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายฝึกหัดให้มีความเชี่ยวชาญแจ่มแจ้ง  อย่านึกเอาเดาเอา-อย่าคาดคะเนเอา  อย่าถือโดยอ้างตำรา-อย่าถือว่าไม่ใช่พระธรรมพระวินัย  ควรทำให้แจ้งเสียก่อน

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:24:12

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom