ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม

 

                ขอย้อนกลับไปกล่าวถึงเรื่องเกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง  เมื่อวันเข้าพรรษา (ที่วัดหนองคณฑี)  มีโยมพร้อม  ซึ่งทำงานอยู่ที่โรงงานยาสูบ 2  ได้นำปัจจัยมาถวาย  โดยนำเงินใส่กระป๋อง  ตั้งไว้ที่ข้างเสา  เพื่อว่าอาตมาขัดข้องสิ่งใดก็จะ ได้ให้ไวยาวัจกรซื้อถวาย ภายหลังภิกษุรูปหนึ่งทราบเรื่อง    จึงมาขอร้องต่ออาตมาว่า

 

               “ท่านอาจารย์  ผมขอยืมปัจจัยในกระป๋องของท่านใช้ก่อนจะได้ไหม  ภายหลังผมจะใช้ให้” อาตมาจึงพูดว่า “ท่านศรัทธาอันนี้มันเป็นเงินเป็นทอง  มิได้เป็นสมบัติของผม  เป็นของญาติโยม  ซึ่งเขานำมาตั้งไว้ให้ไวยาวัจกรซื้อของถวาย เมื่อขาดเหลือ ไม่ใช่ของๆ ผมหรอกท่าน  หากท่านขัดข้องไม่มีก็เอาไปใช้ได้  เมื่อท่านเป็นพระเป็นเณร  จะเที่ยวขอหยิบขอยืมเงินทองกันอย่างไร พระวินัยท่านมิให้สมณะจับต้องเงินทอง  แลกเปลี่ยนซื้อขาย  มีหนี้มีสินมิใช่หรือ  เมื่อท่านเดือดร้อนอยาก ได้ก็เอาไปเถิดไม่ต้องยืมหรอก เพราะเงินของผมไม่มี  มันเป็นของญาติโยมทั้งนั้น” อาตมาพูดขาดคำ  พระรูปนั้นได้ล้วงลงไปใน กระป๋องหยิบเงินขึ้นมานับดู  ประมาณหกสิบบาทเศษ  แล้วจึงพูดกับอาตมาว่า ผมขอยืมยี่สิบบาทนะครับท่านอาจารย์ อาตมาจึงพูดเตือนสติอีกว่า พระภิกษุหยิบยืมเงินทองผิดพระวินัยนะ ท่านอยากได้ก็เอาไปซีเอาให้ญาติโยมใช้บ้างก็ดีเหมือนกัน  โอกาสต่อมา ภายหลังพระพวกนั้นก็เที่ยวมาหยิบเอาไปใช้จนหมด  อาตมาก็มิได้ว่ากล่าวอีกเลย  

 

               วันพระต่อมามัคทายกได้นำปัจจัยจากการบูชาพระธรรมมาเที่ยวแจกจ่ายตามกุฏิ ขณะมาถึงห้องที่อาตมาพักอยู่ มัคทายกท่านได้นำปัจจัยและธูปเทียน  วางไว้ที่หน้าห้องแล้วจากไป  ภิกษุสามเณรหลายองค์ได้พากันมาแย่งเอาไป แย่งกันดูยุ่งไปหมดอาตมาก็นั่งหัวเราะดูอยู่ในกุฏิ  และปลงธรรมสังเวชว่า โอ้หนอพระเณรทั้งหลายนี้ ท่านคงไม่รู้ซึ้งถึงพระธรรมพระวินัย  กันเลยเป็นแน่  ด้วยถือเอาการเห็นการปฏิบัติจับต้องเงินทองต่างๆ กันมา เห็นเงินทองดียิ่งกว่าพระธรรมพระวินัย  เหตุการณ์ที่กล่าวมานี้จะมีการแย่งกันทุกวันพระ  อาตมาก็ได้แต่หัวเราะเพราะ ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร ภายหลังเมื่อมัคทายกท่านทราบเรื่อง  ท่านจึงเก็บไว้เสียเอง  ไม่นำมาวางให้อาตมาอย่างแต่ก่อน  เรื่องทั้งหลายได้ทราบถึงหลวงปู่ พ.เจ้าอาวาส อาตมาพร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรทั้งหมดจึงถูกเรียกประชุม ณ. ห้องกรรมฐานหลวงปู่ได้ถามอาตมาว่า  คุณชม คุณปฏิบัติอยู่ได้อย่างไร เพราะท่าน ฉันอาหารน้อยเหลือเกินผมสงสารท่านจริงๆ  กลัวว่าสังขารของท่านจะแตกดับเสียก่อนการจะสำเร็จ เพราะการฉันอาหารของท่านมื้อเดียว อาตมาจึงตอบว่าหลวงปู่ครับ ท่านทราบหรือไม่ว่าการสำเร็จนั้นมันเป็นอย่างไร การขบฉันของผมหนึ่งครั้งประมาณ 2-3 จานนั้นมากแล้ว ก่อนนี้ผมบำเพ็ญอยู่ในเขา  ฉันข้าวตากเพียงหนึ่งกำมือต่อ 1 วันเท่านั้น    ผมเข้ามาอาศัยในสำนักของท่านเพื่อเป็น ผลบุญกุศลให้กับท่านมิใช่หรือ  หากผมปฏิบัติตามศีลสิกขาบทไม่บริสุทธิ์แล้ว ผมจะตอบแทนท่านได้อย่างไร ผมจะเอาบุญเอาคุณเอากุศลมาจากไหนมาสนองพระคุณท่าน  ความบริสุทธิ์ของผมอย่างเดียวเท่านั้น  ที่จะตอบแทนบุญคุณท่านให้ได้รับความสุข  อาตมากล่าวจบหลวงปู่ท่านได้กล่าวว่าภิกษุสามเณรทั้งหลายต่อไป  ท่านชมจะไปไหน  ขอให้มีภิกษุสามเณรคอยติดตามปรนนิบัติท่านไปให้ความสะดวกกับท่านได้ตามประสงค์  หลวงปู่ พ. ท่านกล่าวจบแล้ว  อาตมาจึงนั่งนิ่งพิจารณาเฉยอยู่ความว่าอาตมานี้จะไม่ยอมเชื่อท่านผู้ใดในสิ่งที่ผิด  นอกเหนือจากพระธรรมพระวินัย ทั้งในที่ลับแลที่แจ้งก็จะไม่ยอมทำตามเป็นเด็ดขาด  แม้จะมีภัยบีบคั้นทารุณถึงชีวิตก็ตาม  จะขอละเว้นตามสิกขาบท 10 ประการ เพื่อปฏิบัติตามทางของพระพุทธเจ้า  และพระอรหันต์ทั้งหลายให้จงได้  ภัยนั้นก็ยังตามมาผจญจะเล่าให้ฟังต่อไป

 

               วันหนึ่งพระลูกวัดได้เข้าประชุมพร้อมกัน ณ. ห้องกรรมฐาน  ท่านอาจารย์เจ้าอาวาสท่านจึงตั้งดวงฌานด้วย มโนภาพขึ้นหลายพันดวง เมื่อท่านตั้งเสร็จแล้วท่านได้ให้ศิษย์ทั้งหลายชุบตัว  ด้วยฌานสี่ที่ตั้งขึ้น   ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ชุบตัวคนแก่ให้กลายเป็นหนุ่ม เหตุการณ์ทั้งนี้ท่านได้ปฏิบัติอยู่เสมอ  แต่ในวันนั้นท่านได้ทำ อิทธิฤทธิ์ใส่พวกสานุศิษย์ให้ประจักษ์  ท่านได้พูดว่าภิกษุสามเณรทั้งหลาย หลวงปู่จะส่งแสงชุบตัวให้ทั่วกันทุกคน  กล่าวจบท่านได้สงบนิ่งอยู่ประมาณสองนาที  จึงเกิดมีลำแสงพุ่งลงมาจากอากาศ แสงนั้นพุ่งเข้าถูกคณะศิษย์รูปใดก็ร้องโดยจุกหมุนให้เห็นประจักษ์กันไปทุกรูป  อาตมาเห็นเหตุการณ์คับขันขึ้นกับภิกษุสามเณร  ร้องครวญครางกันอยู่เช่นนั้น   จึงได้น้อมระลึกถึงคุณพระสัจธรรมคือพระไตรสรณาคมน์  พร้อมด้วยศีลบารมีที่เคยปฏิบัติมา  แล้วทำสมาธิ  ทำความสว่างในพระสัจธรรมให้เกิดอากาศกสิณ  เมื่อความสว่างเกิดขึ้นเต็มที่แล้วอาตมาจึงน้อมมาล้อมครอบตนไว้  ทำให้แสงอันเกิดจากฌานของหลวงปู่พุ่งเข้ามาไม่ได้  พอพุ่งเข้ามาถึงความสว่างที่ล้อมตัวอาตมา  จึงพลันแตกกระจายหายไปทันที  อาตมานั่งดูเห็นหลวงปู่ท่านจ้องหน้าอาตมาอีกพักหนึ่งท่านจึงพูดขึ้นว่า  ศีลเป็นเรื่องเล็กไม่สำคัญอะไร  เราทำฌานดับตัณหาเอาดีกว่า  อาตมาจึงปรารภว่าหลวงปู่ท่านจะทำฌานไปถึงไหน  ท่านตอบว่าจะชุบคนแก่ให้เป็นหนุ่ม  หากว่าเราทำได้ก็คงวิเศษทีเดียวจะได้ปกครองโลก  อาตมาจึงทราบความในใจของหลวงปู่ได้ทันทีว่า  เรื่องนี้มิได้เกี่ยวกับพระนิพพานแต่ประการใด  จึงได้ตอบหลวงปู่ไปว่า  หลวงปู่ก็คงปรารถนา “พรหมอมตะ” ละซีไฟบัลลัยกัลป์ไหม้แผ่นดินขึ้นใหม่  หลวงปู่ท่านก็เข้ามาเกิดอีก   เวียนว่ายตายเกิดอยู่เรื่อยไป  หลวงปู่รับว่าจริง แล้วท่านจะปกครองโลก  อาตมาได้พิจารณาโดยตลอดแล้ว  เห็นว่าความเห็นเช่นนี้  มิใช่พระธรรมพระวินัยคงปฏิบัติตามท่านไม่ไหวเสียแล้ว จึงได้พูดขอร้องกับหลวงปู่ว่า   หลวงปู่จะปกครองโลกอยู่เช่นนี้ผมตามท่านไม่ไหว  เพราะสังขารของผมมันแย่แล้ว  ประเดี๋ยวเขาจะไม่คอยผม  ขอหยุดพักการฝึกฌานสี่แต่เพียงนี้  จะทำเพียรต่อไปในกรรมฐาน 5 เพราะผมได้อธิษฐานไว้ว่าจะทำจิตให้หลุดพ้นจาก กิเลสตัณหาอาสวะทั้งหลาย  เพื่อเข้าสู่ปรินิพพาน ตามองค์พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น  จากนั้นอาตมาก็มิได้ลงฝึกกับท่านอีกต่อไป  คงพิจารณาในกองสังขารและเบญจขันธ์ของตนเรื่อยไปทุกอิริยาบถ  เว้นแต่จะหลับเสียหรือมีกิจอย่างอื่นชั่วคราวเท่านั้น    

 

               ต่อมาภายหลัง  อาตมากำลังทำเพียรปฏิบัติอยู่ในห้อง ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งเอาไม้มากระทุ้งพื้นกุฏิด้านล่างเสียงดังสนั่น หวั่นไหวกระเทือนไปหมดทั้งหลัง  กระทุ้งอยู่สักพักหนึ่งแล้วภิกษุรูปนั้นได้วิ่งหายไป  อาตมาได้พิจารณาอยู่เฉยไม่ว่ากระไรนึกแต่  ในใจเพียงว่าพระองค์นี้ ท่านคงจะขำในใจของท่านกระมังหนอ  ท่านจึงมาหยอกเราเล่น  จิตใจของอาตมาก็เฉยๆ  พระองค์นั้นได้มา  กระทุ้งกุฏิอยู่หลายวัน จนครั้งสุดท้ายเป็นเวลากลางวัน  ตะวันบ่าย  เมื่อท่านกระทุ้งแล้วท่านได้ยืนคอยสังเกตนิ่งอยู่ที่ใต้กุฏินั้น   อาตมาจึงได้มองดูทางช่องว่าจะเป็นใครแน่  จึงพบว่าเป็นภิกษุรูปหนึ่งนุ่งผ้าอาบโจงกระเบน  แต่เพียงผืนเดียวมือถือไม้โต  ประมาณท่อนขา ยาววาหนึ่งอาตมาจึงพูดว่าท่านๆ ทำอะไร  ภิกษุรูปนั้นตอบว่าผมจะมายั่วให้ท่านโกรธ  ผมยั่วท่านด้วยวิธีต่างๆ   มากแล้วท่านยังไม่โกรธ อาตมาจึงพูดว่าผมจะโกรธท่านทำไมกัน  เพราะว่าความโกรธนั้นมันไม่ดี  อย่าว่าแต่ท่านจะมายั่วผม  ด้วยวิธีนี้เลย แม้ท่านจะด่าจะตีทำร้ายผมประการใดผมก็หาโกรธไม่  เพราะผมมีสัมมาสติ ไม่เผลอพิจารณารู้อยู่ทุกขณะว่าผู้ใดเขา  จะนึกขำทำอะไรออกมาตามกิเลสตัณหา  โดยบัญชาของโลกีย์  ก็เพราะเขาผู้นั้นท่านไม่รู้ซึ้งถึงธรรมว่าอะไรเป็นอะไร  จึงหลงผิดคิดอยาก  จะทำอะไรลงไปโดยไม่ยั้งสติพิจารณา นึกจะฆ่าด่าตีชอบใจอะไรขึ้นมาก็ทำตามความพอใจ  ไม่ยั้งคิดผิดทั้งกาย-วาจา-ใจ   ส่วนผมเองรู้แล้วว่าโกรธก็ไม่ดี  เป็นอัปรีย์จัญไร ผมจะไปโกรธท่านทำไมผมยกโทษให้  อย่ามาทำกับผมเลยจะเหนื่อยเปล่า    ผมไม่โกรธท่านหรอกเพราะนึกว่าท่านยังไม่รู้บุญรู้บาป แม้ว่าตัวท่านจะโตเท่าฟ้าอายุถึงพันปี  หากว่าท่านผู้นั้นยังถือตี  ถือด่า   ถือฆ่า  ถือโกรธ   ถือพยาบาท  จองเวรอยู่เช่นนี้  ผมยังถือว่าเพราะท่านยังไม่รู้  ท่านจึงทำลงไป  ผู้รู้ท่านไม่ตี-ด่า-ฆ่า-โกรธ   ไม่พยาบาทจองเวรความโลภหลงมัวเมาท่านก็ไม่มีกับผู้ใด ผมจะไปถือเอาตามผู้ที่ยังไม่รู้มันก็เปล่าเสียประโยชน์   เพราะเป็นอัคคีที่เร่าร้อน  เผาผลาญมนุษย์และสัตว์ให้จมลงในอเวจีมหานรก อาตมากล่าวจบพระภิกษุรูปนั้นก็ยืนฟังนิ่งเฉย  อยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า  ผมคงจะอดไม่ได้เหมือนท่านเป็นแน่ กล่าวจบจึงเลี่ยงหนีไปไม่มายั่วอีกเลยตลอดพรรษานั้น

 

               เมื่อออกพรรษาแล้วอาตมาได้เข้ามาในกรุงเทพฯ พักอยู่ที่วัด (ขอปิดนาม) คณะ 19  ได้เป็นอาจารย์ช่วยฝึก ฌานสี่ให้แก่ภิกษุสามเณรญาติโยมหลายท่าน  ต่อมาวันหนึ่งประมาณ 17.00 น. มีภิกษุรูปหนึ่งมานิมนต์อาตมาให้ตามท่านไปยังที่หมาย  เมื่อเดินไปถึงกุฏิหลังหนึ่งในสำนักนั้น  อาตมาจึงสังเกตเห็นภิกษุหลายรูปบ้างก็ยืนนั่งกันอยู่ก็มี  ใกล้ๆ บริเวณนั้นมีนมกระป๋องซึ่งเปิดแล้ว และยังไม่ได้เปิดหลายกระป๋อง มีน้ำร้อนและนมชงวางอยู่มากมาย  อาตมาจึงถามขึ้นว่านิมนต์ผมมาธุระอะไร   พระพวกที่นั่งอยู่ได้ตอบว่านิมนต์ท่านมาฉันนม  อาตมาจึงตอบปฏิเสธไป  พระเหล่านั้นจึงพูดขู่อาตมาขึ้นว่า ถ้าอาตมาไม่ฉันจะ ช่วยกันจับอาตมาเฆี่ยนอาตมาจึงย้อนว่าอย่าเฆี่ยนเลยแม้จะฆ่าผมถึงตายผมก็ไม่ฉัน เพราะผมมิได้ป่วยไข้แต่อย่างใดอาตมากล่าว จบได้เดินหนีกลับที่พัก  จากนั้นต่อไปอาตมาได้กลับจากกรุงเทพฯ  มาอยู่ที่วัดหนองคนฑีอีกตามเดิม  ครั้งหนึ่งต่อมา สมณะที่วัดนั้น ได้นิมนต์อาตมาไปประชุมพร้อมกันแล้ว  ท่านได้ถามปัญหาอาตมาว่า ขณะที่ท่านถูกเขาบริภาษกล่าวคำสบประมาทต่อหน้าท่าน ระงับความโกรธ ได้ไม่โกรธตอนนั้นท่านทำอย่างไร  ผมเองบวชมามากหลายพรรษาแล้วยังแก้ไม่ได้  อาตมาจึงตอบว่าการที่เรา โกรธเขานั้น เพราะเราไม่รู้เท่าทันเหตุการณ์ คำบริภาษคำด่ามันเป็นสิ่งสมมุติกันขึ้นมันผิดทั้งนั้น  เราไม่ได้ทำความผิด  เขาว่าเราผิด  อันนี้เราต้องแก้ในจิตใจของเรา  ผู้กล่าวคำด่าเขาหลงผิด  ยังไม่รู้ยังไม่เข้าใจ  หากเราไม่ถือเสียอย่างเดียวเท่านั้นก็ไม่เห็นว่าจะเกิดโทสะ ได้อย่างไร ถ้าผู้บริภาษกล่าวคำที่ถูกที่ควรเราก็ควรสรรเสริญเขาว่า  เขาเป็นผู้รู้มากล่าวแนะนำพร่ำสอนเรา  ให้เราทำเสียให้ถูกเรา ไม่ต้องโกรธเขา ให้เขารู้เท่าทันในสิ่งที่ทำให้เราโกรธเหล่านั้น  ความโกรธเป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่างไรท่านทั้งหลายก็พอจะทราบบ้างแล้ว  ให้ละเว้นเสีย ให้เลือกเอาแต่สิ่งที่ดีที่งาม  คือความไม่โกรธนั่นเอง ความโกรธนั่นก็จะไม่บังเกิดในเรา ให้ถือเสียว่าคำแช่งคำด่าออก เสียงตลอดถึงชื่อบิดา-ปู่-ย่า-ตา-ยาย ของเราก็ตาม  ให้เราระลึกนึกอยู่เสมอว่า ชื่อเสียงรูปนามนั้นมันไม่ได้เป็นตัวตนอะไร  หากเราไม่โกรธได้แล้วสิ่งทั้งปวง  ซึ่งถูกเขาแช่งด่ามานั้น  มันก็จะตกลงเป็นทุกข์เป็นโทษกับผู้กล่าวคำด่านั้นเอง  ใครทำอะไร  สิ่งใดก็ต้องได้สิ่งนั้น  เขาจะต้องถูกไฟโทสะ  ไฟโมหะพยาบาทจองเวรลุกลามเผาผลาญ  เผากายเผาจิตมือมิด  กังวลวุ่นวายทวีคูณทั้งภพนี้และภพหน้า เปรียบเหมือนไส้เดือนที่เลื้อยออกจากรูมาสู่กองทรายที่กลางแจ้ง  พอถูกแสงอาทิตย์กล้าขึ้นร้อนรน เผาผลาญเข้าทุกทีๆ ก็ได้แต่กลิ้งเกลือกไปมาจนสิ้นใจตายหนีไปไหนไม่ได้ดังนี้  ด้วยเหตุที่เป็นผู้ขาดการพิจารณาหาเหตุผลนั่นเอง  คนเราจึงต้องถูกไฟร้อนเผาลนตนเองคือไฟโทสะ  พยาบาทดุร้ายเผากายเผาใจให้เศร้าโศกโศกาเหมือนบ้า  กระเทินให้โทษมหันต์ เพราะความคิดรู้เท่าทันปัญญานั้นก็ไม่มี  

 

               อีกประการหนึ่งท่านจะละความโลภ-โกรธ-หลง  ให้เบาบางลงจากสันดานของตน  ท่านก็ควรละกิเลสกาม  ความรักใคร่พอใจในส่วนของตัณหา  ให้ท่านเปลี่ยนมารักใคร่พอใจในศีลสิกขาบท  ให้มากยิ่งกว่าตัณหาในโลกีย์ วิสัยสักแสนเท่า  ตัณหามันก็จะหมดไปสิ้น  มันก็จะคลายจากความกำหนัดรักใคร่มัวเมาย้อมใจในฝ่ายตัณหา  จึงเรียกว่าเป็นปกติวิสัยของ ผู้ทรงเพศพรหมจรรย์โดยแท้  ในขึ้นต่อไปก็ให้ละโทสะพยาบาทจองเวรซึ่งฝังแน่นสิงจิตสิงใจ เป็นที่พึ่งพาที่อาศัยของ สัตว์โลกทุกรูปทุกนามอยู่ทุกวันนี้  ขอให้ท่านละเสียทิ้งเสียปล่อยวางเสียในสิ่งซึ่งเป็นทิฐิ ซึ่งยึดมั่นถือมั่นอยู่ว่าตัว เรานี้เป็นมนุษย์เป็นสัตว์เทวดามารทั้ง 4 ชนิดนี้แหละ  ผู้ใดยึดมั่นถือมั่นอยู่ว่าตัวกูของกูอยู่ตราบใด ความโลภ-ความโกรธ-ความหลง  นั้นก็ต้องมีอยู่ตราบนั้น  ฉะนั้นถ้าเราไม่ยินดียินร้ายข้องแวะอยู่ในภพทั้งสามแล้ว  โลภ-โกรธ-หลง จะอิงอาศัยท่านอยู่หาได้ไม่  จะขาดหายหมดไปไม่เหลือเลยความระแวงลังเลสงสัยต่างๆ นานา  ของท่านซึ่งเห็นทางว่าไม่ใช่ทางก็จะเห็นเป็นสัมมาทิฐิ  คือมีความเห็นถูกเห็นทางพระนิพพาน  ท่านก็จะเป็นผู้ข้ามโอฆะสงสารมีจิตดวงเดียวไม่กลับกลอก  ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์   ความโลภ-โกรธ-หลง  ก็ไม่มีในท่านไม่ว่าชายหญิงข้ามได้ทุกคน  อย่าห่วงกังวลให้รีบไปๆ ข้ามเสียให้พ้นจากนามรูปธรรมสี่ประการ ดังกล่าวแล้ว  คือ  1. กิเลสกาม 2. พยาบาท  3. กามภพ-รูปภพ-อรูปภพ  4. ความลังเลสงสัยเห็นทางว่าไม่ใช่ทาง  ทั้ง 4   อย่างนี้คือรูปและนาม ทำให้สัตว์โลกติดอยู่ในโลภ-โกรธ-หลง  ลังเลไปมาเวียนว่ายตายเกิด  ดีบ้างป่วยบ้าง  บุญบ้างบาปบ้างไม่มีสิ้นสุด  เหล่าสมณะซึ่งรวมอยู่ ณ. ที่นั้น  องค์หนึ่งได้ปรารภขึ้นว่า “การได้ยินได้ฟังเรื่องเหล่านี้ที่ได้เล่ามามันก็ดูง่ายดี  แต่ทำไมทำกันไม่ได้”  อาตมาจึงกล่าวต่อไปว่า สิ่งที่ทำไม่ได้นั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่สอนหรอก  พระพุทธเจ้าท่านสอนแต่สิ่งที่กระทำได้ทั้งนั้น   ซึ่งเหล่าท่านที่กล่าวมาทำได้ยากนั้น ก็เพราะพวกท่านเห็นแก่ปากแก่ท้องกันจนเกินไป  มีความท้อถอยอ่อนแอไม่มั่นคง  ถึงกับล่วงละเมิดศีลสิกขาบทของพระพุทธองค์  ที่ทรงบัญญัติไว้  เหล่าท่านจะกลัวเกรงกันบ้าง  ก็แต่ในทางโลกวัชชะที่ตาคนเห็น  เพราะกลัวว่าเขาจะนินทาให้ได้อายทำไมไม่อายพระธรรมพระวินัย  ไม่อายเทวดาผู้มีหูทิพย์ตาทิพย์กันเสียบ้าง  ไม่พิจารณาให้เห็นคุณค่าของความบริสุทธิ์  ท่านมองเห็นแต่ผิวภายนอก  เพราะเชื่อปากเชื่อท้อง  เชื่อตัณหาราคะ  หวังชื่อเสียงยศศักดิ์ อันเป็นความปรารถนายังความสุขให้กับท่าน เช่น นั่งดี  กินดี  นอนดีเป็นที่สบาย  มีชื่อเสียงเงินทอง   เสนาสนะสูงใหญ่ประดับประดาสวยงาม   หลงผิดคิดว่าเป็นของตัว  สิ่งดีเหล่านั้นมันเป็นโลกีย์วิสัยของท่านผู้ครองเรือน  หาใช่ความดีเด่นในทางโลกุตรธรรมไม่  

               ฉะนั้นเหล่าท่านทั้งหลาย  จึงมีทุกข์อยู่ร่ำไป  ทุกข์เพราะท่านมองไม่ลึกซึ้ง  มองดูกันแต่เพียงผิวเผินภายนอก  ปฏิบัติตามกัน โดยคนหนึ่งว่าบุญก็บุญด้วย  ว่าบาปก็บาปด้วย  ดีชั่วก็เอาด้วย  อันนี้ก็เพราะท่านมองกันแต่เพียงผิวนอก  เช่น   แมลงเม่ากับกองไฟ เป็นการมองไม่ซึ้งพิจารณาไม่ถึง  เห็นกองไฟสว่างจ้าเป็นเปลวเพลิง  หลงผิดคิดว่าเป็นองค์ฌานของตน  รักใคร่ชอบพอ ตัวหัวหน้ากางปีกผวาบินนำชี้ทาง  บริวารทั้งหลายก็บินตาม  ตรงเข้าสู่กองไฟวอดวายไหม้หมดนับร้อยนับพัน  เพราะขาดการพิจารณาใคร่ครวญหลงผิดนั้นเอง  

 

               อาตมากล่าวข้อความจบแล้ว  ก็ได้แต่รำพึงอยู่แต่ในใจว่า  ทำไมหนอจึงจะหาช่องทางอบรม  แนะนำตักเตือนภิกษุสามเณรทั้งหลายในศาสนานี้  ให้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของศีล  จะได้ปฏิบัติละเว้นตรงข้อห้ามตามพระพุทธเจ้า   โดยเฉพาะข้อที่สิบ  คือ  ชาตะรูปะระชะตะฯ  มีอยู่สามสิบสิกขาบท  พระเณรทั้งหลายท่านมิค่อยจะได้ปฏิบัติกัน  การละเลยเช่นนี้ จะถือว่าเป็นภิกษุสามเณรได้อย่างไรกัน  ศีลทั้งสิบข้อล้วนแต่ป้องกันกำจัดความโลภ-โกรธ-หลง   มิให้มีเหลืออยู่ในขันธ์สันดานของสมณะชีพราหมณ์  หากว่าศีลสิบข้อสิบประการไม่บริบูรณ์แล้วไซร้  ความโลภ-โกรธ-หลง  มันจะหมดได้อย่างไร  ข้อนี้อาตมาระลึกอยู่เสมอมิได้ขาด  เพื่อหาโอกาสแนะนำสั่งสอนให้แก่ผู้ปฏิบัติ  ซึ่งตามมา ณ.  ภายหลังเพื่อให้ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกันเสียบ้างตามอย่างพระอรหันต์  อาตมาจึงได้มา รจนาหนังสือนี้   มาไว้เป็นแนวทาง  วนเวียนกล่าวย้ำชี้บอกในทางตรง  

 

               พอถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2504  โยมสำอางค์ได้มานิมนต์อาตมาให้ไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดเขายอดเอียง  ขณะที่อาตมาเดินทางไปถึงวัดนั้น    มีภิกษุประจำอยู่ก่อนแล้วหนึ่งรูป  เดินทางมาสมทบจากที่อื่นอีกสามรูป  ล้วนแต่เป็นภิกษุผู้แสวงหาเอกลาภเงินทองทั้งนั้น  

 

               วันหนึ่งญาติโยมทั้งหลายในละแวกนั้น  ได้มาประชุมกันเพื่อแต่งตั้งอาตมาให้เป็นเจ้าอาวาส  อาตมามิได้มีความต้องการเช่นนั้น จึงแย้งไว้ขอให้ภิกษุผู้อยู่ก่อนได้เป็น  อาตมาขอเป็นแต่เพียงผู้แนะนำศิลปศาสตร์ให้สมณะ  อุบาสกอุบาสิกาแต่อย่างเดียว อาตมาพูดขาดคำได้พิจารณาดูหมู่ญาติโยม  เห็นว่ามีความเดือนร้อนกันอยู่เป็นส่วนมาก   เพราะโจรผู้ร้ายชุกชุมมีการปล้นจี้ฉกชิงวิ่งราว บ้างก็ทะเลาะเบียดเบียนแก่งแย่งกันหาความสงบมิได้  ทั้งนี้เพราะญาติโยมขาดผู้แนะนำศีลธรรม   จึงเกิดความเดือนร้อนนานาประการ อาตมาคิดเมตตาสงสาร  จึงได้ปรารภกับญาติโยมว่า  

 

               ท่านทั้งหลาย  ท่านเคยมารักษาศีลอุโบสถในวันพระ 8 ค่ำ 15 ค่ำ กันบ้างไหม  ญาติโยมท่านต่างก็ตอบว่า  มาเสมอโดยเฉพาะในพรรษามากันเป็นส่วนมาก  การมานั้นก็พากันมารับศีลแล้วก็ฟังพระท่านเทศนามหาชาติและนินทาต่างๆ  การรักษาศีลรักษากันไปอย่างนั้นแหละ  ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  เพราะไม่ใครชี้แจง อาตมาเห็นเป็นโอกาสดีที่ควรจะอบรมสั่งสอนศีลธรรมให้แก่ท่าน   จึงได้พูดตกลงกันว่าวันต่อไปในตอนเย็น ขอให้ญาติโยมทั้งหลายจงได้มาประชุมกันโดยพร้อมเพรียง  เพื่ออาตมาจะได้แสดงธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ให้เหล่าท่านได้รู้บุญรู้บาปกันเสียบ้าง  ด้วยหวังโชคลาภกันในปัจจุบันหรือในอนาคต  ซึ่งเป็นหนทางที่นำความสุข ความสงบมาสู่ตัวท่าน อาตมาเองไม่ขัดข้อง  ไม่ต้องมีค่าเทศน์หรือเครื่องเซ่น  ยินดีจะให้ธรรมเป็นทานเสมอทุกโอกาส ว่าแต่ขอให้ท่านทั้งหลาย อย่าคลายศรัทธาก็แล้วกัน  หลายวันก็ผ่านไปตามปรกติ  โดยที่ญาติโยมมาฟังธรรมกันเสมอ  อาตมาได้เทศนาธรรมคือ  

 

               1.  เรื่องสมาธิสำหรับคฤหัสถ์

 

               2.  เรื่องการปฏิบัติในศีล 5 ศีล 8 และศีล 10 สุดแต่ใครจะปฏิบัติได้อย่างใด

 

               3.  เรื่องสามัคคีธรรม

               4.  เรื่องกุศลและอกุศล

 

               จัดเป็นธรรม 4 หมวดด้วยกัน    ซึ่งก็ได้ผลดีเป็นอย่างมาก เพราะโจรผู้ร้ายได้ลดน้อยลงญาติโยมก็อยู่กินกันโดยปกติสุข ไม่ทุกข์ร้อนดังแต่ก่อน  แต่ว่าตัวอาตมาเองกลับถูกรังเกียจปองร้ายจากพระเณร ผู้เป็นสมมุติสงฆ์ที่ไม่ตรงต่อวินัยในละแวกนั้น   เพราะพระพวกนี้เป็นผู้หลอกลวง  คือเป็นนักแสวงโชคลาภค้าขาย  มีเครื่องลางของขลังห่มผ้าเหลืองบังหน้า  มีอิทธิพลพวกพ้องมากมาย  อาตมาเปรียบเหมือนไก่เถื่อนสันโดษเอกา ได้บินไปหาที่อาศัยตามภูผาป่าไม้อันเป็นที่พักผ่อนหย่อนอารมณ์  เพื่อหวังจะแนะนำศิลปศาสตร์  ให้แก่หมู่ผู้ป่าเถื่อนหลงทาง พออาตมาขันขึ้นยังไม่ทันสักเท่าใด  ไก่ที่อยู่ประจำถิ่นได้ยินเสียงก็กางปีกผวาบินเข้ามารอบทิศ  ตามผจญเข้าราวี  อาตมาก็ไม่คิดที่จะประจัญบานกับพวกศัตรูหมู่เดียรถีย์  ตั้งใจจะกลับร้ายให้กลายเป็นดี  โดยช่วยตักเตือนแนะนำศีลธรรมให้ตามที่ถูกที่ควร  แต่เดียรถีย์พวกนั้นก็หาเชื่อฟังไม่  คงแสดงอาการเบื่อหน่ายต่อพระธรรมพระวินัยขื่นขมไม่น่ารับประทาน เหมือนยาดำมหาหิงส์และบรเพ็ดก็ไม่ปาน   ศีลนี้แหละเป็นยาของภิกษุสามเณรในข้อปฏิบัติ  เป็นยาแก้ลมโลภ-โกรธ  ถ่ายพยาธิกิเลส  ตัณหา นำสุขมาให้  หากผู้ใดกินได้ทุกข์โศกโรคา โทมนัสเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ก็ไม่มี  แม้อาตมาจะพร่ำสอนเท่าใดก็หามีใครปฏิบัติตามไม่ เพราะมันขื่นขมไม่สบอารมณ์  ไม่ชื่นชมยินดีผู้ยิ่งใหญ่  มีใจเป็นอันธพาล  เพราะพวกนี้เขาชอบแต่ของหวานหอมจนปากมอมไปตามกัน ไม่รู้ว่าเป็นยาเป็นรสของอะไร  ไม่รู้ว่าเป็นกองไฟเผาไหม้ตนเอง   ชอบแต่ทุศีลหาเงินใส่ย่ามได้ลาภเป็นดี ได้ยินเสียงพระธรรมคำสั่งสอนปวดเจ็บสั่นคลอนอย่างกับถูกฆ้อนตี  เบื่อฟังเต็มทีเหมือนยาถ่ายยารุ   พระธรรมพระวินัยนี้แหละ ท่านเป็นของหวานบริสุทธิ์ยิ่งกว่าน้ำตาลตั้งพันเท่า  ผู้ใดไม่ชอบหาว่าขื่นขมเพราะไม่ถูกอารมณ์ในโลกของตน   รังเกียจศีล-สมาธิ-ปัญญา ที่รู้เท่าสังขาร  เห็นแก้วสามประการว่าเป็นมารหัวใจ  จึงเที่ยวหลอกลวงหากินจนผิดศีลผิดวินัยตามใจตนเอง  หลอกลวงเกี้ยวหญิงด้วยอุบายต่างๆ ใช้วาจาสัมผัสแทนกาย  เกิดเป็นการล้างผลาญพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้า  พระอริยเมตไตรย์ก็โปรดมิได้ต้องตกนรกหมดไหม้  กลายเป็นผีหลอกลวงชาวบ้าน  ตายไปจากโลกนี้แล้วก็กลายเป็นเปรต  เปลือยกายมีตามพื้นดินและต้นไม้เป็นที่อยู่อาศัย  เปรตเหล่านี้มีบาปอย่างใดอาตมาจะบอกให้  คือว่าคนเรานี้แหละเกิดมาเป็นมนุษย์รับศีล  10 สิกขาบท  เมื่อบวชเป็นพระแต่มิได้ปฏิบัติตาม  เป็นผู้ทุศีลล่วงสิกขาบท  อันนี้แหละท่านทั้งหลายตายแล้ว จึงกลายเป็นเปรตน่าสมเพช จริงหนอ  เพราะตามใจตน  บางท่านฉันอาหารเข้าไปในยามวิกาล  อาตมาจึงว่ากล่าวท่านกลับตอบว่า หิวเหลือเกินอดไม่ได้  แล้วมันก็เป็นแต่เพียงอาบัติปาจิตตีย์เท่านั้น  เราแสดงอาบัติเอาภายหลังก็ได้อาตมาจึงอธิบายให้ฟังว่า ท่านเข้าใจผิดท่านเข้าใจแต่ว่า เป็นอาบัติเท่านั้น  แต่ศีลข้อวิกาลโพฯ นั้นขาดแล้วท่านรู้หรือไม่  เมื่อขาดแล้วท่านจะไปต่อกะใครเขาได้ เพราะศีลนี้เป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่หรือ  หากท่านไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจะไปเชื่อใครพระเณรทั้งหลายท่านก็ต้องละต้องเว้นตามพระธรรมพระวินัย  ซึ่งพระพุทธองค์ท่านได้ทรงวางหลักไว้ 10 ข้อ  เราเป็นพระเราต้องเชื่อท่าน  เราไม่ควรละเมิด  ถ้าเราละเมิดเราก็เป็นภิกษุผู้สมมุติเท่านั้น   จะเป็นพระได้อย่างไร เรื่องของผู้ทุศีลตามใจกิเลสตัณหาของตนเองนี้มีมาก  แต่ละองค์ก็มีข้ออ้างต่างๆ กันเช่นบางท่านเที่ยวทำการหาเงิน  โดยการขาย ตะกรุดพิศมอน เอาเงินทองมาบำเรอกาย  อ้างว่าถ้าไม่มีเงินแล้วจะมีความสุขได้อย่างไร ในสมัยนี้จะไปทางไหนนั่งรถนั่งเรือก็ต้อง จ่ายเงินอาหารการขบฉันก็ต้องใช้เงิน  หากเข้าไปฉันข้าวที่ร้านอาหารๆ ก็ต้องคิดเงินทั้งนั้น ต่างก็พูดและอ้างเหตุผลกันเช่นนี้  ญาติโยมที่ไม่รู้เรื่องก็เห็นดีเห็นชอบไปด้วย  อาตมาจึงได้ชี้แจงขึ้นท่ามกลางญาติโยมทั้งหลายว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน ไม่ได้ให้ภิกษุเข้าไปฉันในร้านขาย พระองค์มีความประสงค์ให้ภิกษุสามเณรออกทำการบิณฑบาตโปรดญาติโยม เพื่อยังชีพไม่ใช่หรือ  หมู่พระเณรหลายท่านทำไมจึงเลือกไปฉันในร้านขายโดยไม่ได้รับนิมนต์  ท่านจะไปแสวงหาธรรมะท่านก็สอนว่าไว้ให้เดินไป  จะมีธุรกิจสำคัญเกี่ยวกับญาติโยมก็ควรจะมีไวยาวัจกรติดตามไป การที่ท่านใช้เงินทองด้วยมือของท่านเองก็หมายความว่าท่าน ล่วงละเมิดสิกขาบทผิดวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้ว  ใครเล่าที่จะสอนท่านได้ใครจะมาโปรดท่าน   แม้แต่ศาสนาของพระสมณะโคดมปัจจุบันนี้ ท่านก็ยังล่วงละเมิดแล้ว  พระพุทธเจ้าองค์ไหนเล่าจะมาตรัสรู้สอนท่านได้ พระพุทธเจ้าทุก องค์ก็มีพระธรรมคำสอนและวินัยอย่างอย่างเดียวกันทั้งนั้น  ท่านไม่เชื่อไม่ทำตามเสียแล้ว  ท่านจะทำตามใคร ผู้ใดที่ยังฝ่าฝืนล่วงละเมิด ก็ให้กลับตัวกลับใจเสีย  มิเช่นนั้นแล้วจะหาทางพ้นทุกข์ได้อย่างไร  มิต้องกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดกันต่อๆ ไปอีกนานแสนนานละหรือ  

 

               ความตั้งใจของอาตมาทุกวันนี้  อยู่ไปเพื่อทำนุบำรุงพระธรรมพระวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ถาวรสืบไป  ไม่อยากให้เดียรถีย์หรือสมมุติสงฆ์ผู้ใดแสดงอาการเหยียบย่ำ  ต้องการให้ศีลสิกขาบทคงมีความศักดิ์สิทธิ์ต่อไป  ให้ภิกษุสามเณรผู้ปฏิบัติภายหลังได้ทำตามเพื่อยังจิตให้หมดจดจากกิเลสทั้งหมด  โดยเฉพาะศีลข้อที่สิบ  ท่านห้ามหยิบเงินทอง  มันเป็นเครื่องเศร้าหมองทำให้เกิดโลภหลง  บางท่านไม่ปฏิบัติแล้ว  ซ้ำร้ายกลับลบหลู่ล่วงละเมิดจนหมด อาตมาเห็นว่าต่อไปภายหน้า คงจะหาผู้ปฏิบัติตามได้ยาก  เพราะเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้ท่านไม่ปฏิบัติตามกันแล้ว  ผู้ปฏิบัติภายหลังก็จะทำตามเอาเยี่ยงอย่างกันต่อๆ  ไปด้วยความโลภ  โกรธ  หลง  ปิดบังไว้  เลยถือตามอาจารย์กันไปเลย  ไม่รู้บุญรู้บาป ล่วงละเมิดกันไปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง  ครูอาจารย์ก็คือผู้นำนั่นเอง ถ้าผู้นำเป็นผู้ทุศีลไม่ปฏิบัติตามแล้วจะสอนลูกศิษย์ให้เดินถูกทางได้อย่างไร อุปมาอุปมัยเช่นลูกปูกับแม่ปู   เว้นแต่ผู้ที่เป็นบัณฑิต  จะหาทางหลุดพ้นตามพระธรรมพระวินัยด้วยตนเองเท่านั้น  ถึงจะรู้แจ้งเห็นจริงในความบริสุทธิ์ของตน   จึงจะทราบดีว่าอะไรเป็นกุศล  อะไรเป็นอกุศลไม่ยอมเชื่อและทำตามผู้หลงงมงาย ทำการทุศีลทั้งหลาย  ก็เพราะท่านเป็นบัณฑิตคนธรรมดา  ท่านจึงเดินตามพระธรรมพระวินัย มิได้ถือบุคคลผู้ทรงศีลเป็นครูบาอาจารย์แต่ประการใด  ถือแต่เพียงว่าผู้มีคุณเท่านั้น   แต่ไม่ปฏิบัติตามกับผู้ล่วงละเมิดเหล่านั้น  

 

               นี่แหละอาตมาจึงได้ให้อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย  ซึ่งมาชุมนุมกันที่วัดเขายอดเอียงครั้งนั้น ให้จุดธูปเทียนบูชาพระกันเรียบร้อยแล้ว   อาตมาจึงได้เทศนาเรื่องปฏิคาหก  เรื่องปฏิคาหกนี้เป็นหน้าที่ของสมณะชีพราหมณ์จะต้องปฏิบัติตาม หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามขาดจาก ปฏิคาหกไปแล้ว  จะจัดเป็นสมณะชีพราหมณ์หาได้ไม่เพราะท่านเหล่านั้นไม่มีสัจจะธรรม เป็นผู้สมมุติหาโอกาสกันเท่านั้น  ปฏิคาหกฝ่ายอุบาสกอุบาสิกาก็คือการบริจาคทานให้ปฏิบัติต่อกันทั้งสองฝ่าย คือผู้ให้และผู้รับให้มีความบริสุทธิ์หมดจด   จึงจะประสบโชคใหญ่มหาศาลใกล้พระนิพพานเพราะความบริสุทธิ์นั้นเอง  คือ  ทานบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์  และปัญญาไตร่ตรอง ใคร่ครวญให้บริสุทธิ์นี้เอง  เป็นรากฐานยังพระนิพพานให้แจ้ง  ต่อมาจึงมีคนมาถามว่า ศาสนาพุทธมิได้มีการบังคับมิใช่หรือ  อาตมาได้ตอบว่า จริงมิได้บังคับให้ใครมานับถือ คงบังคับแต่ภิกษุสามเณรผู้ซึ่งมาบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น  เพื่อต้องการให้ปฏิบัติตามศีล 8 ศีล 10 ให้เต็มทุกสิกขาบทในพระปาฏิโมกข์ พระพุทธองค์มิต้องการให้บุตรของพระองค์ตกนรก  ท่านจึงได้บัญญัติห้ามไว้  

 

               คราวต่อมาได้มีสมมุติสงฆ์ 2 รูป  ซึ่งได้อาศัยอยู่ในสำนักนั้นได้เที่ยวกล่าวอุตริมนุษย์ธรรม  คือ ธรรมวิเศษของมนุษย์อวดตนว่ามีหูทิพย์  ตาทิพย์  เห็นวิญญาณปีศาจต่างๆ เจรจาไต่ถามกับวิญญาณได้  รู้จิตของผู้อื่นเที่ยวคุย  พูดอวดคุณวิเศษทั้งหลายกับชาวพุทธ  ยกตนว่าเป็นผู้สำเร็จในฌานต่างๆ ยกย่องตนโอ้อวดตนต่อสมณะชีพราหมณ์ อุบาสกอุบาสิกา ที่มาฟังธรรมรักษาศีลและฝึกกรรมฐานจากอาตมาว่าเขาเป็นผู้เห็นนรกเห็นสวรรค์ทำให้เหล่าญาติโยม ปั่นป่วนท้อถอยลังเลในการฝึกกรรมฐาน   แต่ความจริงพระทั้งสองนั้นได้นึกเอาคาดคะเนเอา  พูดอ้างจากตำราบ้าง อุปโหลกขึ้นบ้าง ล้วนแต่เป็นวิปริตวิปลาสปราศจากความจริง   อาตมาก็นึกสงสัยอยู่ในที  เพราะพระทั้งสองรูปนี้ยังจับต้องเงินทอง ทำการซื้อขายล่วงสิกขาบทหลายสถาน  ผู้ทุศีลอยู่อย่างนี้จะเกิด ความสว่างในองค์ฌานได้อย่างไรกัน วันหนึ่งอาตมาจึงเรียกพระทั้งสองรูปนั้นมาหา ปรับความเข้าใจกันเพราะว่าคุณพิเศษที่ท่านได้กล่าว อวดอ้างนั้นเช่นกันกับผู้ปฏิบัติที่ได้เข้าถึงกะตะฌานแล้ว หากท่านมีคุณวิเศษอย่างนั้นจริงเราก็ควรเคารพยกย่องแก่ท่าน   เมื่อสงฆ์ประมาณ 5 รูปได้ประชุมพร้อมกัน อาตมาจึงพูดขึ้นว่าพระรูปใดได้ปฏิบัติจนรู้แจ้งเห็นจริงในกรรมฐานอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม คงใช้ได้ทั้งนั้น เพราะพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์  ทรงวางไว้ถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์  เราจะต่อว่าพระองค์นี้องค์นั้นปฏิบัติผิด  ปฏิบัติถูกนั้นไม่ได้  เราต้องรู้เราเห็นต้องฝึกหัดเรียนดูหรือทบทวนซักถามซึ่งกันและกันเสียก่อน  อย่าเหมาว่าเป็นพระธรรมพระวินัย  วันนี้อาตมาจะไต่ถามพระท่านทั้งสองรูปนี้  เพื่อทดสอบดูว่าท่านเป็นผู้ได้หูทิพย์ตาทิพย์หยั่งจิตใจของผู้อื่นจริงหรือไม่ประการใด  เอาละผมจะถามท่านละ “คือว่าปัจจุบันนี้ผมได้อธิษฐานอะไรไว้บ้าง  ให้ท่านทั้งสองรูปลองตอบมาดูซิ” พระภิกษุทั้งสองรูปนั้นก็พากันงงงวย ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี  นั่งสงบนิ่งกันอยู่ครู่หนึ่ง ผมจึงพูดว่าท่านทั้งสองรูปนี้ไม่รู้ก็ดีแล้วผมจะเป็นฝ่ายทายท่านทั้งสองรูป  คือผมจะทายองค์ที่ชื่อจิตองค์นี้ก่อนว่า “คุณได้อธิษฐานไว้ว่าขอให้ท่านได้เกิดเป็นมนุษย์ทุกๆ ชาติใช่ไหม” ท่านจิตจึงตอบว่า  “ใช่ครับ” คราวต่อไปผมจะทายท่านองค์ที่ชื่อประเสริฐนะว่า “ท่านประเสริฐองค์นี้ได้อธิษฐานตนไว้ว่า  ขอให้ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตร เถิดจริงไหม” ท่านก็รับว่า “ใช่ครับ” ทั้งสองรูปนั่งมองตากัน  ปรารภกันว่า  เอ๊ะ  ทำไมท่านจึงรู้ได้  นั่นแหละอาตมาจึงทราบ ความจริงว่า การอวดรู้ของพระทั้งสองรูปนั้นเป็นสัญญาอุปทานเกิดขึ้นด้วยมโนวิญญาณ  ซึ่งนึกตรึกตรองเอาคาดคะเนเอาเอง ทำให้เกิดภาพหลอนต่างๆ ขึ้นมาเป็นวิปริตจิตไขว้เขวเห็นมโนภาพต่างๆ นานา  แต่ทางที่ถูกที่ควรของพระพุทธองค์นั้นก็คงมีอยู่คือ  

 

               1. สัจจะญาณ  2. จิตญาณ  3. กะตะญาณ  ญาณทั้งสามนี้เป็นเช่นทางเดียวกันแยกออกจากกันได้ยาก  สัจจะญาณนี้เป็นแนวทางที่สว่างให้เข้าไปสู่วิญญาณ  จิตญาณก็เป็นแนวทางที่สว่างให้เข้าไปสู่กะตะญาณ กะตะญาณ ก็เป็นแนวทางที่สว่างนำเข้าไปสู่โฆตะภูญาณ โฆตะภูญาณก็เป็นแนวทางที่สว่างให้เข้าถึงโฆระตะภูญาณเป็นหนทางโลกุตรธรรมมี ความสว่างที่กว้างใหญ่ไพศาล ผู้ปฏิบัติที่ทำจิตเข้าสู่ความสว่างในทางกะตะญาณได้แล้ว  จะมีจิตพ้นจากโลกีย์ธรรมมีจิตมั่นคง ไม่ถอยกลับ เพราะพระนิพพานคอยดึงดูดจิตไว้ให้ความสว่างเรื่อยไป  จนถึงซึ่งนิพพาน  ส่วนสัจจะญาณจิตมั่นคงไม่ถอยกลับ  เพราะพระนิพพานคอยดึงดูดจิตไว้ให้ความสว่างเรื่อยไป  จนถึงซึ่งนิพพาน  ส่วนสัจจะญาณจิตญาณนั้น เป็นทางเบื้องต้น ของนักปฏิบัติเรียกว่าโลกีย์ธรรม  อุบาสกอุบาสิกาประชาชนก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ขอให้เป็นผู้มีสัจจะวาจาเอื้อเฟื้อต่อศีลธรรมพูดตรง ไปตรงมาไม่ท้อถอยละเมิดอย่างเด็ดขาด แต่กะตะญาณนั้นเป็นทางก้าวไปสู่โลกุตรธรรมเป็นทางจิตเข้าสู่พระนิพพาน  ฉะนั้นกะตะญาณ จึงปฏิบัติกันได้ก็แต่ผู้ทรงพรต ซึ่งปฏิบัติตนเข้าสู่โลกุตรธรรม  เป็นทางนำจิตเข้าสู่พรหมจรรย์เท่านั้น  ด้วยต้องละจากกิเลสกาม   และวัตถุกามให้ได้โดยเด็ดขาด ไม่ข้องแวะยินดียินร้ายทำตามข้อห้ามตามสิกขาบทตั้งแต่ข้อที่ 1 ถึง 10 โดยบริสุทธิ์ นั่นแหละจึงจะ เป็นผู้ปฏิบัติที่เดินตามกะตะญาณโลกุตรธรรมได้  

 

               การเข้มงวดกวดขันในทางพระธรรมวินัย  ซึ่งดำเนินตามรอยพระยุคลบาทของพระพุทธองค์ อาตมาได้พยายามเทศนาธรรม สั่งสอนให้สมณะ  อุบาสก  อุบาสิกาทั้งหลาย  ได้ปฏิบัติชอบกันเป็นส่วนมากดังข้างต้น  หากแต่เดียรถีย์ หรือผู้ทุศีลทำลายศาสนา ก็มีอยู่หลายท่าน  โดยเฉพาะที่เป็นพระห่มผ้าเหลือง  เกิดความเดือดร้อนเพราะการปฏิบัติผิดๆ ของตนจึงได้พยายามกลั่นแกล้งอาตมา ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ขู่ว่าจะฆ่าอาตมาให้ตายบ้าง  เพราะมิได้เป็นพ่อของเขา ภิกษุผู้นี้ได้กล่าวคำอาฆาตต่างๆ นานา  บ่นว่าหลายประการ   อาตมาได้ยินใจความโดยตลอด จึงได้เตือนให้ท่านกลับไปหาอุปัชฌาย์เดิมของท่าน  เพื่อจะได้อบรมสั่งสอนเสียใหม่  ท่านก็หาเชื่อฟังไม่

 

               วันรุ่งขึ้นอาตมาได้นัดญาติโยมให้มาพร้อมกัน  แล้วก็บอกกล่าวกับญาติโยมว่า  ญาติโยมทั้งหลาย บัดนี้ได้เกิดมีพระพูดอาฆาต พยาบาทปองร้ายกับอาตมาขึ้นแล้ว  ด้วยพระภิกษุองค์นั้นท่านไม่อยู่ในศีลธรรม  อาตมาขอลาจากสำนักนี้ไป ไม่ขออยู่อีกต่อไป  ญาติโยมทั้งหลายก็พากันเสียใจเป็นส่วนมาก  แล้วพูดว่า  พวกผมไม่อยากให้ท่านไป  เพราะพวกผมได้ไปนิมนต์ท่านมา เพื่อโปรดพวกผม    ภิกษุเหล่านั้น  ผมไม่ได้นิมนต์ท่านมา  ท่านมาอยู่ของท่านเอง  ผมจะนิมนต์ให้ไปเสีย

 

 

 

 

               แต่อาตมาก็ลาจากญาติโยมทั้งหลายเหล่านั้น  เดินทางมุ่งหน้าไปทางคุ้งเขาเขียว  ญาติโยมในละแวกคุ้งเขาเขียว  ก็ได้นิมนต์ให้อาตมาอยู่  โดยพร้อมใจกันสร้างศาลาให้เป็นที่อยู่อาศัย  อาตมาก็พำนักจำพรรษาโปรดญาติโยม  อยู่ที่คุ้งเขาเขียวต่อไป  อาตมาได้จำพรรษาอยู่สำนักบำเพ็ญสมณะธรรม  ที่คุ้งเขาเขียวห้าพรรษา  ได้แนะนำญาติโยมให้เข้าใจ  ในทางเลิกจากบาปให้บำเพ็ญบุญ  ให้เป็นผลดีในทางคุณธรรม  แต่ก็ไม่วายที่จะผจญมารอยู่เสมอ  

 

               เรื่องที่อาตมาผจญนี้  เป็นเรื่องของผู้ที่มีความเห็นผิด  ผู้ที่ยังไม่มีสัมมาทิฐิ  เมื่อท่านเหล่านั้นมาหาอาตมา บางคนก็มาถามหา ความรู้แต่โดยดี  บางคนก็มาอวดดีกับอาตมา  โดยมากล่าวข้อความไม่ตรงกับพระธรรมวินัย หาข้อความมาขัดแย้งต่อคำสั่งสอน ของพระพุทธองค์  อาตมาก็ได้ตอบปัญหาต่างๆ ไปตามพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ ซึ่งอาตมาเห็นว่าถ้าได้เขียนเป็นธรรมทาน ไว้ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลายได้นำเอามาอ่าน ก็คงจะเกิดความรู้อันแยบคายเกิดขึ้นในปัญญาของตนเองขึ้นบ้างฯ

 

               ขณะที่อาตมาพำนักอยู่ที่คุ้งเขาเขียว  ณ. สำนักปฏิบัติธรรม  ได้มีสมมุติสงฆ์ 2 รูปมาที่สำนักของอาตมา ขณะนั้นก็เป็นเวลา จวนพลบค่ำแล้ว  ญาติโยมที่มาสนทนาธรรมกับอาตมาก็มีอยู่ด้วยกันหลายโยมมีทั้งชายและหญิง  พอท่านทั้ง 2 รูปมาถึงก็ส่งจดหมาย จากในย่ามให้อาตมาพร้อมพูดขึ้นว่า  จดหมายนี้ท่านอาจารย์ให้ผมนำมาให้ท่าน อาตมาก็รับเอาจดหมายมาอ่านพิจารณาดูข้อความ ในจดหมายนั้น  ข้อความมีดังต่อไปนี้คือ

 

               ข้อ 1  ว่าผู้กล่าวอุตริมนุษย์ธรรมนั้น  เมื่อตายแล้วไปตกนรกขุมไหน   

 

               ข้อ 2  กล่าวว่านรกมีกี่ขุม  แต่ละขุมกว้างใหญ่เท่าไร  แต่ละขุมลึกประมาณเท่าไร  ผู้ไปตกนรกนั้นแต่ละขุมนานกี่ปี

 

               ข้อ 3  กล่าวว่าพระธรรมกายอยู่บนสวรรค์นั้น  หน้าตักกว้างกี่โยชน์  และสูงได้กี่โยชน์

 

               สามข้อนี้ขอให้ท่านเขียนตอบให้ผมดูซิ  พออาตมาอ่านจบแล้วอาตมาก็ถามท่านทั้งสองนั้นว่า  ท่านอาจารย์ใดที่เขียนจดหมาย มานี้ ท่านทั้งสองตอบว่าท่านอาจารย์…ท่านเขียนมาให้ผมสองรูปนี้นำมาให้ท่าน  อาตมาพูดขึ้นว่าปัญหาธรรมสามข้อนี้ จะให้อาตมาเขียนตอบไปให้ท่านอาจารย์ของท่านเข้าใจนั้นมันก็มากมายเหลือเกิน จะต้องบรรยายกันละเอียดถึงจะเข้าใจได้ นรกแต่ละขุมที่พระพุทธองค์กล่าวว่ามีจริงในคัมภีร์มหาวิบากหรือไตรภูมิพระร่วง  ผมก็หาหน้ากระดาษมาบรรยายไม่ไหวแล้ว  ท่านสองรูปนั้นก็พูดขึ้นว่าเขียนต่อสักเล็กน้อยไม่ได้หรือ  อาตมาจึงตอบว่า  หมู่ท่านเขียนปัญหาธรรมมาถามนี้ หมู่ท่านยังไม่เข้า ใจพอในปัญหาธรรมว่าด้วยเรื่องของฌาน  รูปฌาน  อรูปฌาน  ในวิชาสาม  วิชาแปด ท่านคงไม่ได้ฝึกเล่าเรียนตามคำสั่งสอนของ พระพุทธองค์ดอกกระมัง  ท่านถึงได้เขียนจดหมายมาถามเช่นนี้ ผมขอนิมนต์ตัวท่านอาจารย์…มาเองดีกว่า  ผมจะแสดงธรรมมัสสากัจฉา  พระธรรมให้ท่านรู้เรื่อง  ขอให้ท่านมาด้วยตนเองดีกว่า พออาตมาพูดจบแล้วทั้งสองก็นั่งนิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นกลับไป  อยู่มาถึง 2-3 วันก็ไม่เห็นท่านผู้นั้นมาอีก อาตมาจึงปรึกษาพร้อมกันด้วยหลวงปู่จันและญาติโยมทายกทายิกาทั้งหลาย ว่าอาตมานึกถึงคุณธรรม  ที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นอีกมาก อาตมาจึงพูดขึ้นว่าหลวงปู่วันพระหน้าที่จะถึงนี้ พวกเราทั้งหลายควรมีจดหมายไปนิมนต์  ท่านอาจารย์หร่ามถ้ำศรีวิลัยมาเทศนาธรรมโปรดญาติโยมในสำนักของเรา หมู่ท่านจะเห็นชอบด้วยไหม หมู่ท่านเหล่านั้นก็เห็นชอบกับอาตมาทุกคน  อาตมาจึงได้เขียนจดหมายไปนิมนต์ท่านอาจารย์หร่าม อยู่ต่อมาจวนจะถึงวันพระในวันรุ่งขึ้นในตอนเย็นนั้น พระสองรูปได้มาหาอาตมา  อีกพร้อมด้วยจดหมายนำมาให้อาตมาด้วย อาตมาถามว่าจดหมายนี้ของท่านผู้ใด  พระสองรูปตอบว่า  จดหมายของท่านอาจารย์ให้นำมาให้ท่าน อาตมาเปิดอ่านข้อความในจดหมายดูแล้วมีดังนี้ “ผมไม่ใช่นักปราชญ์  ผมเทศน์ไม่เป็นหรอก” อาตมาได้พูดกับพระสองรูปนั้นว่า ที่อาตมาเขียนจดหมายไปนิมนต์ท่านนั้นก็เพื่ออยากจะให้ญาติโยมทั้งหลายได้ฟังธรรมของท่านเท่านั้น   อาตมาไม่มีความประสงค์จะเพ่งเล็งท่านผู้ใด  เพราะอาตมาไม่เอาแพ้ไม่เอาชนะท่านผู้ใดทั้งสิ้น  มีแต่ท่านผู้อื่นนั่นแหละจะดิ้นรนไปเอง  มากระทบกระเทือนอาตมาอยู่ไม่ขาดระยะ  เพราะท่านทั้งหลายไม่พยายามรู้จักบุญและบาปกันเสียบ้าง เพราะการกระทำบาปนั้นมัน จะเกิดขึ้นจากเจตนา 3 ประการ  คือ  บาปที่เกิดขึ้นทางกาย  โดยกายเจตนากระทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน บาปที่เกิดทางวาจาที่เจตนาพูดออก ไปแล้วทำให้ผู้อื่นเศร้าหมอง  บาปที่เกิดขึ้นทางใจ ที่ใจเรามีเจตนาคิดอาฆาตพยาบาทท่านผู้อื่นและคิดจะทำลายท่านผู้อื่นด้วยอุบายต่างๆ  ยกตนข่มท่าน  ส่อเสียด พูดประจานต่อหน้าและลับหลัง เนื่องมาจากจิตใจของตนก่อขึ้นเอง  เปรียบเหมือนกับเอาไฟเผาตนเอง  ท่านทั้งหลายอ่านแล้วอย่ากระทำให้จำไว้ๆ

 

               อยู่ต่อมาถึงเดือนเมษายนในปีเดียวกัน ขณะที่ญาติโยมกำลังก่อสร้างกุฏิให้อาตมาเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยขณะนั้นญาติโยม  กำลังก่อสร้างกุฏิหลังใหม่อยู่ ส่วนอาตมาพักอยู่ที่บ้านร้างหลังหนึ่งซึ่งไม่ห่างจากบ้านญาติโยมเท่าไร  พอมองเห็นกันได้   ตอนเย็นวันหนึ่งประมาณบ่าย 3 โมงเย็น อาตมาได้นั่งพิจารณาธรรมผู้เดียว มีจิตอันหนึ่งผุดขึ้นทำให้อยากที่จะไปบ้านญาติโยมเหลือที่สุดจนอดทนไม่ไหว อาตมาจึงรีบลุกไปสรงน้ำเสร็จแล้วก็ครองผ้ามุ่ง  ไปบ้านญาติโยมโดยเร็ว   ญาติโยมเห็นอาตมาไปก็ปูเสื่อต้อนรับ อาตมานั่งสนทนากับญาติโยมประมาณ 5 นาทีก็ได้ยินเสียงโวยวายขึ้นทางถนนหน้าบ้านของญาติโยมที่อาตมานั่งอยู่นั้น อาตมาและโยมทั้งหลายพากันมองดูเห็นภิกษุรูปหนึ่งเดินบ้างวิ่งบ้าง  มือหนึ่งถือย่าม  มือหนึ่งถือมีดปลายแหลม ร้องด่าอาตมาเรียกชื่ออาตมาผ่านหน้าบ้านญาติโยมไป  อาตมาและญาติโยมก็มองตามไป  พอพระภิกษุรูปนั้นถึงที่พักที่อาตมาอยู่ ก็ทิ้งย่ามไว้กับพื้นดินแล้วก็ปีนขึ้นไปบนที่พักของอาตมา  พอไม่พบอาตมาอยู่ที่นั้นก็กระโจนลงจากที่พัก พอมาถึงหน้าบ้านโยมก็ถามโยมว่ามันไปทางไหนจะฆ่ามันสักหน่อย  เห็นมันมาทางนี้ไหม  ญาติโยมก็โกหกว่าท่านไปเขายอดเอียง พอโยมพูดดังนั้นแล้วพระภิกษุรูปนั้นก็พูดขึ้นว่า  จะตามไปฆ่ามันสักวันว่าแล้วก็รีบมุ่งหน้าเดินไปเขายอดเอียง  พอไปสักพักหนึ่งก็กลับมา พอมาถึงที่บ้านโยมสะอาดที่อาตมาพักอยู่นั้น  ก็พูดขึ้นว่าโกหกกันได้ว่ามันไปเขายอดเอียง  มันไม่ไปมันไปอยู่ที่ไหนให้บอกมาเดี๋ยวนี้ หมู่ญาติโยมก็พากันนิ่ง  ไม่พูดว่าอะไร  ภิกษุรูปนั้นก็ด่าอาตมาไปสารพัดจะฆ่าอาตมาให้ได้  พอยืนด่าอาตมาอยู่พักหนึ่งแล้วก็กลับไป ที่พักของพระภิกษุรูปนี้อยู่ห่างจากที่พักของอาตมา 4 กิโลเมตร พอถึงเดือนพฤษภาคมอาตมาก็ย้ายจากที่บ้านร้างนั้นไปอยู่ที่กุฏิที่ญาติโยมสร้างให้ที่เชิงเขาใหญ่คุ้งเขาเขียว พอถึงเดือนมิถุนายน ท่านผู้นั้นก็ไปอีก  อาตมาพอมองเห็นท่านเดินมา  อาตมาก็ไม่ประมาท  เพราะอาตมาเป็นผู้ระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ไม่ประมาทต่อสิ่งอันตรายทั้งปวง  อาตมารีบเข้าในกุฏิปิดประตูใส่กลอนไว้แน่น  พอท่านไปถึงก็ถามว่าอ้ายนั่นอ้ายนี่มันไปไหน แต่หมู่ญาติโยมก็พากันโกหกว่าท่านไม่อยู่ที่นี่  ภิกษุรูปนั้นเดินมาทางประตูเห็นประตูปิดแน่นแล้วก็ถามขึ้นว่า ใครอยู่ข้างในนี้แล้วก็ทุบประตูเป็นการใหญ่  ญาติโยมจึงพูดขึ้นว่า  ท่านอย่าไปทุบประตู  ถ้าประตูของญาติโยมพังแล้วญาติโยมจะฟ้องท่านนะ หาว่าท่านทำลายทรัพย์ของพวกญาติโยม  พูดดังนั้นก็หยุดไม่ทุบประตู  แต่ปีนฝาขึ้นไปงัดช่องลมข้างบน ญาติโยมเห็นไม่เหมาะถึงได้ลุกขึ้นไปแย่งมีดจากท่าน  ท่านก็ไม่ยอมวางให้  พูดแต่ว่าจะฆ่ามันให้ได้ ญาติโยมเห็นรุนแรงเช่นนั้นจึงได้ร้องบอกหมู่ญาติโยมให้เอารถไปตามตำรวจมาเร็วๆ หน่อย พอได้ยินเสียงญาติโยมไปตามตำรวจแล้วท่านก็เลยหยุด  ลงจากกุฏิกลับไปแต่ทางญาติโยมก็ได้ไปรายงานต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ถ้าท่านมาทำอย่างเก่าอีกต้องให้เจ้าพนักงานจัดการให้ด้วย  เจ้าพนักงานก็รับทราบไว้ฯ

               อยู่ต่อมาถึงเดือนกรกฎาคม  ท่านรูปนี้ก็ไปบุกรุกอย่างเดิมอีก  ญาติโยมก็รีบไปตามเจ้าพนักงานมา พอท่านรู้ว่าเจ้าพนักงานมาก็รีบลงจากกุฏิไป  พอเดินลงจากกุฏิไปประมาณสองเส้น  ก็ไปพบเจ้าพนักงานที่สวนทางมา ญาติโยมจึงแจ้งเจ้าพนักงานให้ทราบ  พอเจ้าพนักงานรู้ก็รีบกักตัวค้นอาวุธพบมีดปลายแหลมยาวประมาณ 10 นิ้ว  กับเงินอีก 10 บาทเศษ เจ้าพนักงานก็คุมตัวไปหาอาตมาที่กุฏิเพื่อสอบสวนปากคำ  และเหตุที่เกิดขึ้น  เจ้าหน้าที่ได้ถามอาตมาว่า  เรื่องมันเป็นมาอย่างไร อาตมาได้ตอบว่า  แต่ก่อนท่านรูปนี้ท่านได้มาขอเรียนขึ้นต่อพระธรรม  อาตมาบอกว่า  ถ้าท่านขึ้นต่อพระธรรมแล้ว มีข้อห้ามอย่าละเมิดต่อศีลสิกขาบทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านองค์นี้ท่านก็รับว่าท่านรักษาได้ อาตมาก็แนะนำให้ตั้งใจเข้าสู่พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  เป็นที่พึ่งตลอดไป  ซึ่งตอนนั้นท่านมีเงินอยู่ 800-900 บาท ท่านก็ให้ไวยาจักรโยมเก็บไว้ให้  อยู่ต่อมาญาติโยมทางบ้านที่ปากเกร็ดจะขายที่ดิน  ก็มาบอกให้ท่านมาโอนชื่อในโฉนด ท่านก็รับเอาเงินศรัทธาที่ญาติโยมศรัทธาฝากไว้เพื่อเดินทาง  เพราะท่านเคยจับเงินมาไว้ได้ในตนแต่ก่อนมา  ท่านก็คงจะคิดว่ามันก็คงไม่เป็นไร พอท่านถือเงินไปถึงบ้านที่ปากเกร็ดในเย็นวันนั้นแหละก็เลยเสียสติเป็นบ้าขึ้น  ไม่รู้ตัวเลยจนตลอดมา  เพราะท่านล่วงศีลสิกขาบทข้อ 10 คือ ชาตะรู  ปะระชะตะ ฯลฯ  ก็เลยเสียสติอยู่ทุกวันนี้  ท่านถึงได้โกรธเคืองอาตมา หาว่าอาตมาหลอกให้เรียนพระธรรมเลยคิดอาฆาตจะฆ่าอาตมา  ขอให้เจ้าหน้าที่นำท่านไปรักษาที่โรงพยาบาล  ช่วยรักษาท่านบ้าง ท่านไม่มีญาติที่นี่  พออาตมาเล่าให้เจ้าหน้าที่ฟังจบ  เจ้าหน้าที่ก็นำท่านส่งไปโรงพยาบาล  นี่แหละท่านทั้งหลายท่านจงพิจารณาตามเหตุการณ์นี้ เพราะความหวังดีของอาตมาอยากจะให้ท่านออกจากความทุกข์ที่หลงใหลอยู่ในกิเลสกาม  วัตถุกาม อยากให้เดินตามพระธรรมพระวินัยนั่นเอง  ท่านคงจะนึกเดาเอาว่าพระธรรมนี้ไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไร  ท่านถึงได้ปฏิบัติล่วงศีลสิกขาบทที่ 10 พระธรรมนี้เป็นที่น้อมนำจิตใจให้ผู้ปฏิบัติตรัสรู้ซึ่งอรหันต์ได้  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา  เมื่อท่านได้ตรัสรู้เป็นพุทธะแล้ว ท่านก็ไม่ทรงเคารพใคร  ทรงเคารพอยู่แต่พระธรรมเท่านั้น  ธัมมะที่ท่านได้ตรัสรู้ในธรรมทั้งปวง ที่ได้ทรงนำเอามาสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลายก็เพราะพระธรรม  พระธรรมนั้นไม่มีสังขาร  ธาตุทั้ง 4 ปรุงแต่งเหมือนมนุษย์เรา ท่านเป็นแต่ธรรมมานุภาพเท่านั้น  ผู้ปฏิบัติธรรมจนจิตของตนเข้าสู่สมาธิถึงขั้นอัปมาสมาธิได้แล้ว และเจ้าของผู้ปฏิบัติได้ประคองสมาธิของตนให้มั่นคง  ไม่ให้ล้มลุกคลุกคลานคือไม่มีจิตหวั่นไหวโอนเอนสั่นคลอน ความสว่างแห่งดวงจิตจะเกิดขึ้น  ผู้ปฏิบัติสามารถน้อมนำดวงจิตของตนเองให้เข้าถึงธรรมมานุภาพได้  ในความสว่างแห่งดวงจิตนั้น โดยรู้เฉพาะแต่ผู้ปฏิบัติแห่งตนเองเท่านั้นฯ  

 

               “ธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่เราท่านทั้งหลายได้ทราบกันอยู่ในทุกวันนี้ ก็เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ได้น้อมดวงจิตของท่านเข้าสู่องค์พระธรรมด้วยพระญาณของพระองค์ องค์พระธรรมมานุภาพจึงได้น้อมนำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เอาธัมมะอันวิเศษสุดมาจำแนกออกมาบรรยายธรรม สั่งสอนเวไนยสัตว์ให้รู้ผลบุญและบาป  รู้นรก-รู้สวรรค์-รู้นิพพาน  อันเป็นที่สุดแห่งรู้  และได้ทรงตรัสไว้ด้วยว่า  ภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์-อุบาสก-อุบาสิกา  ท่านเหล่าใดเห็นพระธรรม  ท่านเหล่านั้นแหละเห็นตถาคต  ขอให้ท่านทั้งหลายโปรดได้พิจารณาไตร่ตรองดู  เราอย่าไปมัวงมงายอยู่ในตำนานโบราณกันอยู่เลย  สิ่งที่เขาเขียนขึ้นมาเทศนาขึ้นมา  มันเป็นเพียงคำจำแนกธรรมเท่านั้น  ท่านทั้งหลายจงปฏิบัติจิตของตนเองให้มีดวงตาเห็นธรรมกันเถิด  เพราะพระธรรมตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน้อมนำเอามาสั่งสอน  พระธรรมนั้นพระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว  ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติผู้นั้นจะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง  ทุกคนปฏิบัติได้และให้ผลได้  โดยไม่มีกาลและเวลาเพราะเป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตนเอง  จงปฏิบัติจิตกันเถิดเราจะได้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่พวกท่านทั้งหลายเป็นชาวพุทธเคารพสักการะพระองค์อยู่ทุกๆ วัน” อาตมาได้เป็นผู้แนะนำสั่งสอนอุบาสกอุบาสิกา  ในหมู่ละแวกบ้านนั้น  อาตมาได้แนะนำอบรมเกี่ยวกับศีล-สมาธิ-ปัญญา  เพื่อให้ญาติโยมเหล่านั้นเป็นผู้รู้จักบุญกุศล  และอกุศลทั้งปวง  เหล่าท่านทั้งหลายที่ได้มาอบรมกับอาตมา  ก็รู้สึกว่าทุกคนปฏิบัติได้ดีและสนใจธัมมะที่อาตมาชี้ทางให้  ทำให้ทุกคนเลื่อมใสต่อองค์พระพุทธ  พระธรรม  พระอริยสงฆ์  รู้จักบุญรู้จักบาปกันเป็นส่วนมากและเลิกจากการกระทำบาป  ยึดมั่นในองค์ศีล 5 ศีล 8 กันก็มาก  แต่ยังมีพวกมิจฉาทิฐิพวกหนึ่งเป็นผู้ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัย  มีความเห็นในพระธรรมพระวินัยตรงกันข้ามกับคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  มาพูดกับญาติโยมที่มีความเห็นในสัมมาทิฐิดีแล้ว  ไม่ให้เชื่อถือในคำสั่งสอนของอาตมา เช่น ยุยงส่งเสริมไม่ให้ญาติโยมมาฟังพระธรรมเทศนา  เพราะหาว่าไม่มีประโยชน์  ห้ามปรามญาติโยมว่าจะไปฟังเทศฟังธรรม  รักษาศีลทำไมเสียเวลาทำมาหากิน  พวกเหล่านั้นได้ขัดขวางญาติโยมไว้ไม่ให้ไปหาอาตมา  ญาติโยมบางคนที่ยังละมิจฉาทิฐิไม่ได้  ก็หลงเชื่อ  ญาติโยมที่มีสัมมาทิฐิดีแล้วก็ไม่เชื่อ  ไปฟังธรรมที่อาตมาอบรมสั่งสอนอยู่เนืองๆ เพราะพวกมิจฉาทิฐิเหล่านั้นแนะนำญาติโยมไปในทางหาความร่ำรวยหาเงินหาทองด้วยเล่ห์กลมารยา  ทางเครื่องลางของขลังอันเป็นเครื่องทำให้จิตใจตกอยู่ในความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  เป็นส่วนมากเพราะญาติโยมทั้งหลายเป็นผู้เดินหลงทางอยู่แล้ว  เมื่อมีผู้ใดมาชี้ทางให้เดินตามความโลภหลงก็ชอบแม้แต่พระภิกษุสามเณรชีพราหมณ์ก็พากันไปเป็นส่วนมาก  นี่ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ผู้ทรงศีลเป็นสมณะวิสัยเป็นผู้มีความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ครอบงำอยู่ในจิตใจ  เมื่อมาแนะนำญาติโยมทั้งหลาย  ก็ทำให้ญาติโยมหลงเชื่อพากันตกอยู่ในความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ยึดมั่นติดตามผู้ที่มีกิเลสตัณหา  อาสวะทั้งหลาย  เมื่อสังขารดับสิ้นไปวิญญาณก็ตกไปทนทุกข์เวทนาในอบายคือนรกนั่นเอง  เป็นสิ่งที่น่าสงสารพวกมิจฉาทิฐิพวกนี้เป็นอย่างยิ่ง  เพราะเขาหารู้ไม่ว่าความทุกข์ทั้งปวงที่ท่านได้รับระหว่างการครองกายเป็นมนุษย์อยู่นี้  ถ้าหากว่าเหล่าท่านทั้งหลายยังไม่กระทำให้ความทุกข์นั้นให้สิ้นไปหมดไปเสียเมื่อแต่ยังมีชีวิตอยู่  ครั้นเมื่อสังขารดับสิ้นไปแล้ววิญญาณจะไปเกิดชาติใดภพใด  ความทุกข์นั้นก็จะติดตามท่านไปตลอดกาล  เพราะพวกนี้มีความเห็นผิดหลงผิดนอกคำสั่งของพระพุทธองค์พระพุทธเจ้าของเรานั่นเอง  ฉะนั้นหมู่ท่านทั้งหลายควรจะมีความเห็นให้ถูกต้อง  หมั่นสวดมนต์ไหว้พระรักษาศีลบริจาคทานไว้เถิด  จะได้มีอริยทรัพย์ติดตัวเราไป  ส่งผลให้เราไปเกิดในภพชาติที่สมบูรณ์ต่อไป  และเป็นปัจจัยในการปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์เร็วเข้าตามที่องค์พระศาสดาของเราชี้แนวทางไว้  หมู่ท่านทั้งหลายเท่าที่ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์  ท่านควรคิดให้ถูกต้องเรามิได้เกิดมาเพื่อหลงในกาม  และหลงในเกียรติกันนะท่าน  ถ้าท่านผู้ใดยังคิดว่าท่านเกิดมาเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินในรูปรสกลิ่นเสียง  และทรัพย์สินเงินทอง  เกียรติยศ  ท่านผู้นั้นคิดผิดอย่างน่าสงสารทีเดียว  เพราะสิ่งทั้งหลายมันทำให้ท่านมีความสุขอยู่ในโลกนี้ชั่วคราวเท่านั้น  มันเป็นของสมมุติมันเป็นของเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะ  ขอให้ท่านทั้งหลายเพียงแต่รับรู้ไว้ว่าทรัพย์ทั้งหมดเหล่านี้มันเป็นอนิจจังก็พอแล้ว  ทางที่ท่านจะเดินไปให้ถูกนั้นก็คือ  เกิดมาเพื่อเดินทางแสวงหาความพ้นทุกข์อันเป็นแดนสุด  คือ  พระนิพพานนั้นจึงจะถูกฯ       

 

               ขอท่านทั้งหลายจงมีความเชื่อมั่นในบวรพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา  และเชื่อในคำสั่งสอนของท่าน  ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนให้พวกเราทั้งหลาย   เป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในความศรัทธาคือ  มีการทำบุญให้ทานอย่าได้ขาดและมีความเชื่อมั่นอยู่ในการรักษาศีลฟังธรรม  ปฏิบัติตามศีลสิกขาบทตามที่พุทธบัญญัติให้ครบถ้วน  และมีความเชื่อมั่นในการทำสมาธิ  เพื่อจะรักษาจิตใจของตนให้เข้าสู่ความสงบสว่าง  หมั่นแผ่เมตตาไปยังมนุษย์และสัตว์ทั่วไป  และมีจิตยึดมั่นต่อคุณพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ข้อปฏิบัติเหล่านี้แหละจะทำให้ท่านมีอริยทรัพย์ติดตัวไปทุกภพทุกชาติ  เพราะพระพุทธเจ้าของเราท่านสรรเสริญ  เป็นทางปฏิบัติอันถูกต้องในทางศาสนาเป็นหนทางที่จะเดินไปให้พ้นจากทุกข์  อาตมาได้พยายามอบรมสั่งสอนอุบาสกอุบาสิกาภิกษุสามเณรชีพราหมณ์  ตามที่พระธรรมท่านกล่าวไว้อยู่เสมอจนพวกมิจฉาทิฐิเหล่านั้น  พูดข่มขู่ญาติโยมไม่ให้เชื่อฟังอาตมาอยู่เสมอๆ  อาตมาก็ไม่ว่าอะไรเพราะอาตมาถือเสียว่า  อาตมาโปรดสัตว์ทั้งหลาย  แต่ผู้ที่จะโปรดได้เท่านั้น  ผู้ใดอาตมาโปรดให้พ้นทุกข์ไม่ได้อาตมาก็แผ่ส่วนกุศลไปให้เสมอ  แต่ถึงกระนั้นอาตมาก็ต้องผจญกับเหล่ามิจฉาทิฐิเหล่านั้นอยู่เรื่อยๆ ดังอาตมาจะเล่าต่อไปตามที่อาตมาได้ผจญมาฯ

 

               อาตมาได้พักอยู่ที่สำนักปฏิบัติจิตที่คุ้งเขาเขียวและได้พยายามอบรมสั่งสอนญาติโยม  ให้ปฏิบัติจิตให้รู้จักบุญ  รู้จักบาป  จนคนส่วนมากละบาปกัน  หันมาทำบุญถือศีลกันเป็นส่วนมาก  วันหนึ่งมีพวกชอบหากินใช้ศาสนาของพระพุทธองค์บังหน้า  อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตนว่ามีในตนเที่ยวข่มขู่ญาติโยม  อวดอ้างแสดงฤทธิ์หาอุบายด้วยกลมายา  คาถาต่างๆ เช่น  ขู่ว่าจะเสกตะปูเข้าท้องให้ตาย  ใช้กะสินให้เป็นลูกศรฆ่าคนและสัตว์ให้ตาย  ใช้สีขี้ผึ้งผีตายโหงใส่ให้คนรักเป็นบ้าก็ได้  เราไม่กลัวเกรงผู้ใดทั้งนั้น  บางคนอวดอ้างว่าเราเรียกวิญญาณกุมารอ้ายดำ อ้ายแดง  ใช้มันไปฆ่าคนก็ได้ใช้เฝ้าบ้าน  เฝ้าเรือน  เฝ้าของ  ป้องกันไม่ให้ขโมยขโจรเข้าบ้านได้  จะใช้กะสินเผาคนให้ตายหมดทั้งคุ้งเขาเขียวก็ได้  ชุบคนตายให้เกิดใหม่ก็ได้  คนเจ็บคนป่วยเขารักษาด้วยน้ำมนต์ไม่ต้องกินยาก็หาย  บางคนก็อวดอ้างว่าขอให้ท่านมหากลับมาอยู่ที่นี่ก่อน  เพราะท่านมหานั้นเก่งมาก  ท่านมีคาถาอาคมดีๆ ถ้าท่านเสกคาถาขึ้นแล้ว  ท่านเป่าพรวดเดียวพระภิกษุสามเณรชีพราหมณ์ต้องหนีออกจากคุ้งเขาเขียวหมด  อยู่ไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว  นี่ตามคำอวดอ้างของเหล่ามิจฉาทิฐิ  ญาติโยมทั้งหลายเมื่อได้ยินได้ฟังก็พากันหวาดกลัว  พากันวุ่นวายไปหมดและเกรงไปว่าอาตมาจะสู้กับพวกหากินร้อยเล่ห์เหล่านั้นไม่ได้  เพราะญาติโยมอยู่ห่างไกลความเจริญเมื่อถูกพูดปั่นเข้าบ่อยๆ ก็หวาดกลัว  บางคนไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกนอกหน้า  แต่ก็ใจคอไม่ค่อยจะสู้ดีต่อเหตุการณ์เหล่านั้น  ญาติโยมทั้งหลายได้พากันมาหาอาตมา  บางคนพูดไม่รู้เรื่องเพราะความตกใจกลัวมาก  และได้ถามอาตมาว่าหลวงพ่อจะทำอย่างไรดี  พวกผมกลัวแทนหลวงพ่อที่สุด  อาตมาจึงได้พูดตอบญาติโยมไปว่า  อาตมาเป็นลูกของพระตถาคต  อาตมามิได้มีความวิตกเกรงกลัวต่อมหาภัยอันประหลาดนั้นแต่อย่างไร  ถ้าหากเราไปกลัวแต่ข่าวลือเล่าอ้างหรือจะเป็นความจริงแต่อย่างใดก็ตาม  เราก็ยังเป็นผู้หลงไปตามทางของโลกนะซิ  เราเป็นชาวพุทธนับถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง  ท่านก็เป็นเหมือนพ่อของเราที่คอยพิทักษ์รักษาเรา  ฉะนั้นเมื่อมีภัยมาถึงตัวเราก็นึกถึงไตรสรณาคมน์คือ  พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  เป็นที่พึ่งที่อาศัยเป็นที่ระลึกถึงท่านอย่าลืมท่าน  ทุกลมหายใจเข้าออกก็แล้วกัน  อาตมาได้เทศนาเรื่องการแสดงฤทธิ์ให้ญาติโยมฟังว่า “ตอนหนึ่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้กล่าวแก่ภิกษุว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ท่านผู้ใดกล่าวว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เป็นอิทธิฤทธิ์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้น  สิ่งนี้เป็นการกล่าวไม่จริง  สิ่งที่มีอิทธิฤทธิ์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้ยังมีอยู่  แต่สิ่งอิทธิฤทธิ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มันมีเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเท่านั้น  และสิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นเพราะมีกรรมทางกาย  ทางวาจา  ทางใจเป็นเหตุ  มันจะสูงยิ่งไปกว่าคุณพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ไม่มีสิ่งอันใดในโลกนี้ที่ถือกันว่าเป็นของวิเศษก็มีอยู่จริง  นับเป็นของเกิดขึ้นตามธรรมดาของมัน  มันไม่แน่นอนดอกโยม  สิ่งที่แน่นอนที่สุดในโลกก็คือความปรวนแปร  และความดับของร่างกายสังขารเราและสิ่งที่เป็นที่พึ่งของเราที่แน่นอนที่สุดก็มีคุณพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ขอให้ญาติโยมทั้งหลายมีจิตให้เข้าถึงพระไตรสรณาคมน์เถิด  เชื่อมั่นต่อพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดาของเรา  ท่านกล่าวว่า  การเกิดมีจริง  ความแตกดับของร่างกายสังขารมีจริง  วิญญาณมีจริง  ทุกคนเกิดมาก็มีกรรมติดตามมา  ตายแล้วก็มีกรรมติดตามไป  ผู้ใดกระทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี  ผู้ใดกระทำกรรมชั่วผู้นั้นย่อมได้รับผลชั่ว  อยู่แก่ตัวของเราเอง  นึกถึงคุณพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ไว้เถิดโยมอย่าไปเกรงต่อภัยอันเป็นธรรมดาของโลกเลย  หมั่นไหว้พระสวดมนต์ระลึกถึงไตรสรณาคมน์ดังนี้แล้วโยมจะสบายใจ

 

 

“พุทธัง  สะระณัง  คัจฉามิ  ข้าพเจ้าถือเอาคุณพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง   สิ่งอื่นจะเหนือกว่าไม่มี

 

ธัมมัง  สะระณัง  คัจฉามิ  ข้าพเจ้าถือเอาคุณพระธรรมเป็นที่พึ่ง      สิ่งอื่นจะเหนือกว่าไม่มี  

 

สังฆัง  สะระณัง  คัจฉามิ  ข้าพเจ้าถือเอาคุณพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง       สิ่งอื่นจะเหนือกว่า ไม่มี”  

 

               นี่แหละโยมทั้งหลาย  ให้จำไว้ท่องบ่นอยู่มิได้ขาด  มิว่าสิ่งไรจะมาทำเรามิได้  ญาติโยมไม่ต้องกลัวหรอก  ถ้าหากพวกเหล่ามิจฉาทิฐิเหล่านี้ยังไม่สงบไป  อาตมาจะไม่ไปจากที่นี่เป็นอันขาด  ถ้าท่านพวกนั้นมันทำได้จริงๆ แล้วคงไม่มาคุยอย่างนั้นอย่างนี้หรอก  อาตมาอยากจะกล่าวถึงเรื่องคาถาอาคมมายาศาสตร์ทั้งปวงเหล่านี้  ในจิตของอาตมาขณะนั้นก็รู้อยู่ว่าอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นั้นมีจริง  เพราะอาตมาเคยเล่าเรียนมาก็มาก  เคยเป็นหมอแผนโบราณรักษาคนไข้ทางไสยศาสตร์มาแล้ว  จึงรู้ว่าของทั้งหมดนั้นเขาทำได้จริง  แต่อาตมาไม่พูดไปเพราะกลัวญาติโยมจะตกใจกันใหญ่  อาตมาเคยรักษาคนถูกของ  ถูกคุณมาแล้วในสมัยอาตมานุ่งขาวห่มขาว  เคยมีพวกอิทธิฤทธิ์ปล่อยของด้วยกลมายาภูตผีปีศาจต่างๆ มาถูกประตูบ้านดังสนั่นหวั่นไหว  แต่ไม่ถูกอาตมา  เห็นมีแต่เสียงแต่ไม่เห็นตัว  แต่อาตมาก็มาคิดดูว่าพวกมิจฉาชีพเหล่านั้นจะทำได้หรือเปล่าอาตมาก็ไม่รู้  อาตมาจึงไม่พูดเพียงแต่นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระธรรมเจ้า  พระสงฆ์เจ้า  คุณศีลสัจจะธรรมความสว่างแห่งจิตให้สว่างอยู่มิขาด  ใช้จิตกำหนดอยู่ในอาโปกะสิน  เตโชกะสิน  ให้สว่างอยู่เสมอๆ ถ้าพวกมิจฉาทิฐิเหล่านั้นทำของมาจริงก็ต้องเห็นได้ในองค์สมาธิที่มั่นคงอยู่ทุกอิริยาบถ  ครั้นอยู่ต่อมาหลายวันก็ไม่เห็นมีสิ่งไรเกิดขึ้น  มีแต่คำพูดถากถางในทางศาสนาขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระโสดาบันไม่มี  พระสกิทาคามีไม่มี  พระอนาคามีไม่มี  พระอรหัตอรหันต์ไม่มี  บางท่านก็พูดออกชื่ออาตมาว่า  อ้ายนั่นอ้ายนี่มันจะเก่งแค่ไหน  บ้านมันบ้านโง้งเรารู้จักมันไปทั้งหมดออกพรรษาแล้วเราจะไปสอบถามดูแถวนั้น  มันจะเก่งแค่ไหน  อาตมาได้รู้เรื่องเหล่านี้จากญาติโยม  แล้วก็พิจารณาอยู่คนเดียวว่า  ตัวเรานี้หนอทำผิดอะไรพวกเหล่านี้ถึงได้พูดจาถากถางเราเช่นนี้  คิดไปคิดมาก็หาความผิดตัวเองไม่ได้  มานึกขึ้นได้ว่าตัวเรานี้ไปแนะนำเรื่องศีลสิกขาบทข้อที่ 3 คือ  อพรัมหมะจะริยาฯ  ข้อ 10 คือ  ชาตรูปะระชะตะฯ  ให้ละเว้นในกิเลสกามและวัตถุกาม  ห้ามไม่ให้จับเงินทองห้ามไม่ให้ยินดีในเงินในทอง  ท่านห้ามภิกษุสามเณรไม่ให้ล่วงละเมิดศีลข้อ 10 นี้  ถ้าผู้ใดล่วงละเมิดศีลจะไม่ครบ 10 ข้อ  อาตมาก็กล่าวไปตามพระธรรมพระวินัยอย่างนี้  ท่านเหล่านั้นก็คงจะโกรธอาตมาเป็นแน่  แต่อาตมาก็มิได้มีจิตคิดร้ายโกรธตอบแต่อย่างไร  ได้แต่สงสารพวกเห็นผิดเหล่านี้  อาตมาสวดมนต์แผ่เมตตาไปให้เสมอ  อาตมาเป็นผู้ยึดมั่นอยู่ในศีลสิกขาบทสิบข้อ  อาตมาไม่ยอมละเมิดเป็นอันขาด  ท่านเหล่าใดจะโกรธมาฆ่าตีอาตมาก็ตาม  อาตมาไม่ว่าทั้งนั้น  อาตมานึกถึงคุณพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  คุณศีลเหล่านี้มาคุ้มครองรักษาตลอดถึงพระภิกษุสามเณร  อุบาสกอุบาสิกา  ที่ตั้งมั่นอยู่ในศีลและเลื่อมใสในคุณธรรมที่กล่าวมาแล้วนี้ให้ปลอดภัยทุกประการ  อาตมาก็เกรงว่าภัยเหล่านั้นจะมาถูกญาติโยมเข้าเหมือนกัน  อาตมาจึงชักชวนญาติโยมสวดมนต์ไหว้พระ  ปฏิบัติจิตใจในสมาธิกรรมฐานมิให้ขาดสาย  ในทุกอิริยาบถ  ยืน-เดิน-นั่ง-นอน  อยู่มาก็ออกพรรษา  ผู้ที่พูดถากถางอาตมาได้ลาออกจากเพศบรรพชิตเข้าสู่เพศคฤหัสถ์  อยู่ไม่ได้ถึง 10 วันได้ยินข่าวว่าท่านผู้นั้นอาเจียนเป็นโลหิตออกมาตาย  และอยู่ๆ ไปอีกญาติโยมก็มาบอกว่า  ท่านมหาที่อวดว่ามีคุณธรรมทางคาถาอาคมขลังนั้นก็ไปถึงที่คุ้งเขาเขียว  หมู่พวกมิจฉาทิฐิก็ดีใจกันเป็นการใหญ่  และมหาที่กล่าวนั้นก็พาพรรคพวกของตัวไปพักอยู่ที่อาตมาพัก  คือศาลาหลังเก่าอาตมาเคยจำพรรษาอยู่ก่อนข้างถ้ำไทรย้อย  อาตมาย้ายมาจากที่นั้นไม่ทันรื้อ  หมู่พวกมหาก็ยึดเอาเป็นที่อาศัย  เพื่อทำพิธีทางไสยศาสตร์แสดงอิทธิฤทธิ์  กำจัดเหล่าภิกษุสามเณรอุบาสกอุบาสิกาในคุ้งเขาเขียวให้แตกหนีไปดังกล่าวมาแล้วข้างต้นฯ

 

               ครั้นพอมหาไปอยู่ไม่ถึง 10 วันก็เกิดจิตวิปริต  เลยผูกคอตายด้วยตนเองอยู่ที่ศาลาหลังนั้นเอง  ต่อมายังมีชายอีกผู้หนึ่งเห็นอาตมาแนะนำสั่งสอนฝ่ายอุบาสกอุบาสิกาคือหมู่พวกที่นั่นเอง  โยมผู้นั้นมีจิตคิดทำลายพระพุทธศาสนา  ศีลธรรมที่อาตมาได้ตั้งหน้าตั้งตาแนะนำสั่งสอนศีลธรรมแก่ท่านชายหญิงไม่เลือกหน้า  ไม่ว่าจะต่ำหรือปานกลางหรือสูงสุด  อาตมาไม่เลือกชั้นวรรณะเหล่าใดทั้งนั้น  อาตมาได้สั่งสอนให้รู้บุญรู้บาป  ให้รู้จักออกจากตัณหาอาสวะทั้งปวงธรรมเหล่าใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติไว้  อาตมาก็อุตส่าห์ค้นหาปฏิบัติติดตามเอามาแนะนำสั่งสอนแก่ตนเองและผู้อื่น  แม้แต่จะอดหลับอดนอนอดอาหารสักเท่าไรก็ตาม  อาตมาก็ไม่ว่าทั้งนั้นขอแต่ให้ญาติโยมได้รู้และปฏิบัติกันเพื่อออกจากตัณหาอาสวะทั้งปวง  หาทางออกให้พ้นจากกองทุกข์ได้ก็แล้วกัน  โยมผู้ชายที่อาตมาได้กล่าวมาข้างต้นนั้นได้มาเห็นอาตมาที่สำนักของอาตมา  ซึ่งมีแต่อุบาสิกาทั้งนั้น  มีสามเณรอยู่องค์เดียว  โยมผู้นั้นก็หาว่าอาตมามีภรรยาได้พูดจาว่าอาตมาลับหลังเรื่อยมา  ญาติโยมทั้งหลายก็ห้ามไม่ให้ว่าอาตมา  โยมผู้นั้นก็ไม่ฟังญาติโยมเห็นว่าห้ามไม่ฟังก็มีความโกรธแทนอาตมา  อาตมาก็ห้ามไว้อย่าไปโกรธเขาเลย  เพราะเขายังเป็นผู้หลงผิดอยู่  แต่โยมผู้นั้นก็หาหยุดยั้งไม่  ได้ว่ากล่าวอาตมาต่างๆ นานา  ห้ามมิให้ผู้คนไปฟังพระธรรมเทศนากับอาตมา  ท่านคงจะคิดร้ายต่ออาตมาและต่อพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่อาตมาได้สั่งสอนญาติโยมอยู่เป็นแน่  ต่อมาโยมผู้ที่ว่าอาตมานั้นอยู่มาไม่ได้กี่วันก็เกิดเป็นโรคอะไรไม่ทราบ  คอตันตีบหายใจไม่ออกแล้วก็ขาดใจตาย  ญาติโยมได้นำข่าวมาบอกอาตมาหลังจากท่านผู้นั้นตายไปแล้ว  อาตมาพิจารณาดูเห็นว่าผู้ที่คิดร้ายต่อผู้ทรงศีลคือ  พระภิกษุสามเณร  ชีพราหมณ์  ก็เท่ากับคิดร้ายต่อพระธรรมพระวินัยขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ดังตัวอย่างเรื่องจริงที่อาตมาได้บันทึกและเขียนเป็นธัมมะไว้เพื่อให้เป็นธรรมทานต่อไป  อาตมาจำพรรษาอยู่ที่คุ้งเขาเขียว  ตำบลพุแค  จังหวัดสระบุรี  ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาดูเถิดว่าเป็นเพราะเหตุไรมันถึงเป็นไปอย่างนั้นฯ

 

               อยู่มาวันหนึ่งเมื่อออกพรรษาแล้ว  อาตมาได้เข้าไปในกรุงเทพฯ  ไปพักอยู่ที่วัดมหาธาตุ  ในวันหนึ่งได้มีท่านมหาเปรียญพร้อมด้วยญาติโยมหลายคนได้มาสนทนาธรรมกันกับอาตมา  มีท่านผู้หนึ่งได้ถามอาตมาขึ้นว่า  ท่านปฏิบัติไปแนวไหน  อาตมาตอบว่าปฏิบัติตามพุทธบัญญัติยึดมั่นในศีลสิกขาบท  กรรมฐานห้า  พิจารณาอสุภสิบ  ในทางสัจจะญาณ  จิตตะญาณ  กะตะญาณ  ตามความตั้งใจจะเดินตามพุทธองค์  หวังเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้  ถ้าชาตินี้ยังข้ามไปไม่พ้นก็หวังไว้ในอนาคต  ปฏิบัติให้ถึงพระนิพพานให้จงได้  ความตั้งใจของผมมีอย่างนี้แหละท่าน  พออาตมากล่าวจบลงหมู่ท่านก็กล่าวขึ้นอีกว่าเป็นพระภิกษุนี้ต้องมีศีล 227 ข้อ  สามเณรถึงจะมีศีล 10 ข้อ  พอท่านกล่าวจบอาตมาก็กล่าวตอบว่าจริงอยู่เพราะสามเณรนั้นอายุยังอ่อนอยู่  ยังไม่รู้ความผิดความถูก  ความโลภ  ความหลง  ไม่เหมือนพระภิกษุผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว  ท่านเหล่านี้มีกิเลสตัณหาราคะแรงกล้า  ท่านจึงไว้วางพระวินัยให้ข่มตัณหาไว้  ท่านอย่าไปถือว่าศีลของท่านมีมากถึง 227 ข้อ  ท่านก็พากันดีใจเป็นใหญ่หลวง  ศีลและพระวินัยนั่นแหละมันเป็นกฎหมายของพระภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ-์อุบาสก-อุบาสิกา ตามลำดับชั้นต่ำชั้นกลางชั้นสูง  ถ้าท่านผู้ใดละได้ไม่ยอมละเมิดศีลทั้ง 227 ข้อ  นั่นแหละท่านถึงจะเป็นผู้บริสุทธิ์ของผู้ทรงศีลได้  ถ้าท่านยังละไม่ได้ท่านอย่าเพิ่งพูดว่าท่านมีศีลมากถึง 227 ข้อเลย  เพราะพระพุทธองค์ท่านกล่าวไว้ในธรรม  อุตริ  อิทธิปหาน  คือธรรมที่ยอดเยี่ยมสูงสุดของมนุษย์ยังไม่มีในตนว่ามีในตนให้หมู่ท่านจำไว้  ท่านท่องบ่นจำได้  กล่าวให้ผู้อื่นฟังแต่ท่านไม่ยอมละตามคำพูดของตนที่กล่าวมานั้น  ท่านจะเป็นผู้มีศีลมีวินัยไม่ได้  โดยให้หมู่ท่านคิดดูกันบ้างตรงนี้  ดูก่อนญาติโยมทั้งหลายอาตมาขอถามธรรมวินัยศีลสิกขาบทให้หมู่ท่านพิจารณาดู  พระภิกษุ สามเณร  ผู้ทรงศีลตั่งแต่ข้อ  ปาณา  ถึงข้อ  ชาตะรู  คือข้อหนึ่งถึงข้อสิบ  ให้มีเจตนาละเว้นทั้งทางกาย  ทั้งทางวาจา  ทั้งทางใจ  หมดจดดีแล้วจะเป็นอาบัติได้ไหม  มีท่านเหล่าใดมาถามอย่างนี้มีไหม  หมู่ท่านทั้งหลายก็ตอบอาตมาว่าไม่มี  ไม่เคยได้ยินคำตอบแบบนี้เลย  อาตมาจึงพูดขึ้นว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ชั่งเถิด  แต่ให้หมู่ท่านพิจารณาดูซิว่ามันจะเป็นอาบัติได้ไหม  พออาตมาพูดจบลงมหาปุ้ย  แสงฉาน  ท่านผู้นี้ชำนาญแปลพระไตรปิฎก  ตอบว่าเป็นอาบัติไม่ได้ครับ  อาตมาก็พูดขึ้นอีกว่า  หมู่ท่านทั้งหลายทำไมไม่ปฏิบัติ  ไม่รักษาศีลตามศีลสิกขาบทที่มีมาในพระไตรปิฎกปาฏิโมกข์กันบ้างเล่า  ทำไมไปคุยโอ้อวดว่าเราถือศีลตั้ง 227 ข้อ  เพียงศีลสิกขาบททำไมไม่ปฏิบัติตามกันบ้างเล่า  พออาตมาพูดจบลงท่านมหาก็พูดขึ้นว่าใครเป็นผู้ปฏิบัติตามได้  พอท่านมหาพูดเช่นนั้น  อาตมาก็นึกสะดุดใจแต่ไม่พูดออกมา  เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้คงไม่รู้อะไรเป็นอะไรกันแน่  อาตามาถึงได้พูดตอบท่านมาหาไปว่า  ท่านจงดูผมนี้เป็นผู้ปฏิบัติตามศีลสิกขาบทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีมาในปาฏิโมกข์ ผมนี้แหละให้หมู่ท่านดูเอาเถิด  ผมไม่ได้กล่าวอ้างในตำรา  ผมปฏิบัติตามพระธรรมวินัยศีลสิกขาบทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่ท่านได้ทรงชี้ทางให้ภิกษุ- สามเณร-ชี-พราหมณ-์อุบาสก-อุบาสิกาถึงปฏิบัติตามได้ทุกท่าน  สิ่งอันใดที่ปฏิบัติตามไม่ได้  พระพุทธองค์ไม่ทรงสอนไว้หรอกท่าน  เว้นไว้ตั้งแต่ผู้เมาผู้หลงอยู่ในตัณหาอาสวะ ทับถมจิตใจไว้ให้คิดเห็นไปตามตัณหาเหล่านั้น  ท่านผู้นั้นแหละถึงจะว่าปฏิบัติตามศีลสิกขาบทไม่ได้  เป็นผู้เดินหลงทางตามพระธรรมพระวินัยถือเป็นผู้หลงทางสวรรค์-นิพพานนั่นเอง  อาตมากล่าวจบแล้วในที่นั้นยังมีโยมชีอีกผู้หนึ่งมาถามอาตมาว่า  พระภิกษุเวลาเดินไปบิณฑบาตก็ดี  ยืนรับบิณฑบาตก็ดีถ้ามีผู้หญิงวิ่งมาชนภิกษุผู้นั้นจะเป็นอาบัติอะไร  หลวงพ่อตอบให้เข้าใจหน่อยค่ะ  อาตมาถามขึ้นว่าใครให้มาถาม  ชีนั้นก็บอกว่าพระภิกษุแต่ไม่ยอมให้บอกชื่ออาตมาจึงพูดว่า  มันไม่เป็นอาบัติอะไรหรอก  เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเจตนากระทำของภิกษุผู้นั้น  ถ้าหากภิกษุผู้นั้นมีเจตนายืนอยู่ตรงนั้น  แล้วตั้งใจจะให้หญิงคนนั้นเดินมาชนหรือวิ่งมาชน  เพื่ออยากจะสัมผัสถูกต้องกายหญิงในเวลานึกนั้นเป็นอาบัติถุลลัจจัย  ถ้าหญิงนั้นมาชนสมใจนึกของภิกษุรูปนั้นโดยเจตนาเป็น อาบัติสังฆาทิเสส  ขาดจากการเป็นภิกษุไปแล้ว  ถ้าท่านไปโดยไม่มีเจตนามีหญิงวิ่งมาชนท่าน  หญิงนั้นไม่คอหักตายไปก็บุญอยู่แล้ว  เราทำจิตของเราให้ขาดจากความกำหนัดไปเสียมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรอก  ชีไปชี้แจงให้ภิกษุรูปนั้นเข้าใจตามคำพูดของอาตมาด้วย  ถ้าท่านสงสัยอะไรอยู่อีกก็ให้ท่านมาหาอาตมาได้ทุกเวลา  จะได้สนทนาธรรมกันให้เกิดความรู้แตกฉานตามพระธรรมวินัย  เพราะหลวงพ่อสนใจในทางนี้อยู่มาก  ไม่ว่าอุบาสกอุบาสิกามาสนทนากันได้ทุกเวลา (ชีมาถามนั้นชื่อชีสำรวย) อาตมาได้มาพำนักอยู่ที่วัดมหาธาตุอยู่พักหนึ่ง  อาตมาก็กลับไปที่สำนักบำเพ็ญสมณะธรรมที่คุ้งเขาเขียวตามเดิมฯ

               ในปีพ.ศ. 2510  เดือนพฤษภาคม  อาตมาได้พิจารณาดู  ว่าที่ตนได้บำเพ็ญสมณะธรรมที่คุ้งเขาเขียวนี้ก็ 5 พรรษาแล้ว  ได้โปรดญาติโยมให้รู้จักบุญและบาป  แนะนำให้รักษาศีลฟังธรรมนับว่าได้ผลดีในทางคุณธรรม  แต่ก็ได้ผจญกับหมู่มารอยู่เสมอตามที่อาตมาได้กล่าวมาแล้วนั้น  อาตมานึกถึงญาติโยมที่อยู่ทางบ้านโง้ง  อำเภอประจันตคาม  จังหวัดปราจีนบุรี  คิดจะโปรดญาติโยมให้รู้เหตุผลในทางบุญทางบาปบ้าง  และเพื่อทำกิจในทางพุทธศาสนาให้ถาวรสืบไป  เพื่อแนะนำญาติโยมให้ได้ถึงซึ่งมนุษย์สมบัติ  สวรรค์สมบัติ  ในทางการก่อสร้างและซ่อมแซมบูรณะเสนาสนะ ที่อยู่อาศัยของพระภิกษ-ุสามเณร-ชี-พราหมณ์-อุบาสก-อุบาสิกา  เพื่อทำจิตใจให้เข้าถึงศีลธรรม  เพื่อเป็นประโยชน์แก่ญาติโยมที่ได้เสียสละทรัพย์บริจาคบำรุงไว้ในพระบวรศาสนาให้ถาวรสืบไป  เพราะวัดนี้เป็นวัดที่ก่อสร้างมานานปี  มีภิกษุ  สามเณรพักอาศัยเพื่อบำเพ็ญกรณียกิจในทางศาสนามิได้ขาด  และมีบางสถานที่ได้ผุพังสึกกร่อนร่อยหรอลงไป สมควรที่จะแนะนำญาติโยมทั้งหลายให้ช่วยกันบริจาคทรัพย์ตามแต่ศรัทธาซ่อมแซมไว้ให้มั่นคง  เพื่อปฏิบัติกิจของพระภิกษุ  สามเณรต่อไป  ฉะนั้นเมื่อถึงเดือนมิถุนายน มีญาติโยมมาจากกรุงเทพฯ มาพบกับอาตมาเข้าก็เข้ามาพูดจาปราศรัยกับอาตมา  แต่อาตมารู้สึกญาติโยมผู้นี้ยังมีความยินดีหลงอยู่ในวัตถุทางโลกมากฯ

 

               ฉะนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนช่วยเหลือในกิจการงาน  นอกจากพระธรรมพระวินัยศิลปศาสตร์ทางพุทธศาสนาผิดทางของพระภิกษุ  สามเณร  ชีพราหมณ์  แต่อาตมาอนุโลมตามเพื่อจะแนะนำที่ท่านเหล่านั้นยังเข้าใจผิดอยู่  เพราะท่านยังหลงในยศถาบรรดาศักดิ์เอกลาภอยู่  จนมองไม่เห็นทางจะพ้นออกจากทุกข์ไปได้เลย  อาตมาก็มาพิจารณาคิดอยากจะช่วยเหลือให้ท่านรู้ตัวในทางศีลและธรรม  ให้สว่างหายจากความมืดของท่านไปเสียบ้าง  แต่ก็ต้องผิดหวังไปเลย  กับยิ่งหนักจมลงไปอีกจนมองไม่เห็น  เหมือนคนตาบอดตกลงเหวยิ่งแสนลึก  ยังมีเรื่องดังต่อไปนี้คือ  โยมที่อยู่กรุงเทพฯ ที่กล่าวมานั้นได้มานิมนต์อาตมาให้ไปจำพรรษาอยู่สำนักธารอโศกเทวสถาน  ตำบลธารเกษม  อำเภอพุทธบาท  เพื่อให้อาตมาไปแนะนำอบรมสมาธิกรรมฐานแก่ญาติโยมลูกศิษย์ของหลวงพ่อลีที่ตกค้างอยู่  เพราะว่าสำนักนี้มันเป็นที่ทะเลาะวิวาทกันตลอดมา  เกิดทะเลาะอธิกรณ์กันอยู่เสมอมา  ญาติโยมได้มาพูดให้อาตมาฟังว่า  หลวงพ่อไปดูซิมันเป็นเพราะเหตุอะไร  อาตมาก็รับนิมนต์และพูดไปว่ามันก็ดีเหมือนกัน มันต้องมีเหตุมันถึงจะมีผล  อยู่ต่อไปจนถึงเดือน 7 แรม 9 ค่ำอาตมาก็ได้ย้ายจากสำนักปฏิบัติธรรมที่คุ้งเขาเขียวไปจำพรรษาอยู่ที่สำนักธารอโศกหนึ่งพรรษา  อาตมาได้แนะนำสมาธิกรรมฐานแก่อุบาสกอุบาสิกาตามที่เคยได้ปฏิบัติมา  ญาติโยมก็ได้รับผลดี  แต่สำหรับพวกท่านที่มีมิจฉาทิฐิอยู่ในสันดาน  ก็เลยกลายเป็นศัตรูกับอาตมา  ส่วนเหล่าสมมุติสงฆ์ทั้งหลายนั้น  ก็ไม่เอาใจใส่กันเลยในทางปฏิบัติ  ได้แต่คอยแสวงหาเอกลาภเงินทองเท่านั้น  ทางพระธรรมพระวินัยไม่เคยสนใจกันเลย  ได้แต่ทะเลาะวิวาทกันอยู่ไม่ขาด  อาตมาได้พิจารณาเหตุการณ์ของท่านเหล่านั้นตลอดพรรษา  อาตมาก็ถือสันโดษไม่คลุกคลีด้วยกับหมู่ท่านเหล่านั้น  อาตมาได้ใช้เวลาให้หมดไปในการอบรมญาติโยมผู้สนใจในธัมมะ ให้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ให้รู้จักศีล  รู้จักธรรม  รู้จักบุญ  รู้จักบาป  ปฏิบัติอยู่จนตลอดพรรษาฯ

 

               ครั้นพอออกพรรษาแล้ว  อาตมาก็ถูกกล่าวโทษจากพวกอลัชชีเหล่านั้น  ได้พากันไปกล่าวโทษฟ้องอาตมาที่วัดมณีชลนะขัน  จังหวัดลพบุรี  เพราะสมภารท่านอยู่วัดนั้น  คำกล่าวฟ้องนั้นก็หาว่าอาตมาไปแย่งเทศนาธรรม  แย่งอบรมสั่งสอนญาติโยม  ไปขัดขวางไม่ให้ท่านเหล่านั้นสั่งสอนญาติโยม  และหาว่าอาตมาไปยุแหย่ไม่ให้ญาติโยมทำบุญตักบาตรแก่ท่านเหล่านั้น  ทำให้หมู่ท่านเหล่านั้นอดอยาก  เรื่องนี้ก็มีส่วนจริงอยู่ตรงที่อาตมาไปอยู่ที่นั้น  ท่านเหล่านั้นไปล่อลวงญาติโยมไม่ได้  ก็เลยโกรธเคืองอาตมาและพากันยุยงให้ญาติโยมที่กรุงเทพฯ  ผู้ที่ได้นิมนต์อาตมาไปจำพรรษาอยู่ที่นี่ไม่ให้เคารพนับถืออาตมา  หาว่าญาติโยมเป็นคนตาต่ำไปคบกับมาตุคาม  พอเขาพูดดังนั้นโยมผู้เลื่อมใสอาตมาอยู่ก็โกรธอาตมาเป็นการใหญ่  โดยไม่มีความยั้งคิดแต่ประการใดทั้งสิ้น เลยคิดจะทำลายอาตมาโดยทางอ้อมแต่ไม่สำเร็จ  เลยเขียนจดหมายมาว่าอาตมาไปต่างๆ นานา  เหมือนอาตมานี้เป็นพวกของโยม  ใจของอาตมานี้ก็มิได้ถือโกรธเคืองไปตามด้วยหรอก  คิดว่าเมตตาโยมอยู่ในใจ  แล้วอาตมาก็พิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้วก็นึกดีใจ  เพราะอาตมาจะได้ใช้เวรกรรมให้หมดไป  ในอดีตชาติอาตมาเคยกล่าวหาท่านภิกษุเหล่านี้ไว้กรรมจึงตามสนองอาตมา  อาตมาพิจารณาแล้วก็โล่งและเบาใจ  ส่วนญาติโยมที่มาถือโกรธอาตมานั้นอาตมาก็เกรงว่าจะตกนรกทั้งเป็นคิดเมตตาสงสาร  อาตมาได้แผ่ส่วนกุศลไปให้เสมอ  เพราะไปเชื่อหมู่เทวทัตก็เลยพากันกล่าวหาอาตมาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เพราะญาติโยมยังเป็นผู้เดินหลงทาง  หลงคิดอยู่ในยศจึงมีความคิดติดอยู่ในทางโลกมาก  จิตใจจึงขาดจากไตรสรณาคมน์  อาตมาเกรงไปว่าผู้ที่ว่าร้ายต่ออาตมาด้วยวิธีใดก็ตาม  ท่านผู้นั้นจะต้องรับบาปติดตนไป  เท่ากับท่านได้ทำลายพุทธศาสนาให้เสื่อมโทรม  เพราะความหลงของตนที่เข้าใจผิดไปกับหมู่คณะ  มันทำให้ท่านเหล่านั้นตกอยู่ในทางอบาย  แห่งความโลภ  ความหลง  ท่านทั้งหลายจะว่ากล่าวอาตมาไปจนวันตายก็ไม่มีทางสิ้นสุด  ขอให้หมู่ท่านทั้งหลายเลิกจากบาปเสียเถิดหันมาบำเพ็ญบุญ  บุคคลเรามันหันกลับได้แต่ต้นมือ  ยังไม่ทันสายหรอกเพราะสังขารของท่านยังอยู่  เหล่ามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมานี้  มันเกิดขึ้นมาพร้อมกับความนึกคิดต่างๆ นานาที่ทับถมจิตใจเราจนล้างออกไม่ค่อยจะไหว  ไม่ว่าไฟและน้ำลุกลามอยู่ในจิตใจของท่านทุกตัวตน  ถ้าความนึกคิดสิ่งอันใดไม่สมความปรารถนาในตัวตนแล้ว  มันก็เกิดเป็นความทุกข์โศกเศร้าโศการ้องไห้ไปมาพรรณนาไม่ไหว  ทุกคนขอให้มีความตรึกตรองกันบ้าง  พยายามละกิเลสแห่งความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ออกเสียบ้าง  อย่าไปหลงนำคนอื่นเขาให้หลงอยู่ในความชั่วของตนเลย  เพราะความทุกข์เวทนาแห่งกายที่เกิดขึ้นนั้นจงดับมันเสีย  ถ้าดับได้แล้วก็จะเห็นความสว่างแห่งนิพพาน  ความเกิดแห่งตัณหาตามโลกธรรมแปดท่านทั้งหลายจงทำลายให้เสียสิ้นเชิง  จงใช้ปัญญาของตนเองเข้าพิจารณาดูเถิด  ถ้าหากท่านทั้งหลายไปมัวหลงอยู่แต่ปากแต่ท้องของตนเอง  ก็ทำให้เกิดการแย่งข้าวของเงินทองอาหารต่างๆ เกิดทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้น  เพราะความเกิดที่เป็นอวิชชานั่นแหละ  มันปิดบังเหล่าท่านให้มืดมิดไม่ให้เห็นความสว่างแห่งพระนิพพาน  ให้รู้จักดับความเกิดของท่านเสียเถิด  จะได้พ้นจากกองทุกข์กันไปได้เสียที  ถ้าท่านหลงอยู่ในความเกิดของตนแล้ว  มันก็จะต้องหลงอยู่ในความตายของท่านนั่นเอง  ความหลงก็คือความกลัวที่มันฝังอยู่ในจิตใจของท่าน  ตั้งแต่อดีตชาติมาแล้วที่ฝังศพชาย-หญิงของท่านแต่ละบุคคลนั้น ในพื้นปัฐพีนี้จะไม่มีที่ฝังอยู่แล้วท่านเดินไปทุกวันนี้ก็เดินเหยียบย่ำไปบนหลุมฝังศพของท่านทุกย่างก้าว  ท่านอย่าไปหลงอยู่ในความเกิดอันหาผลมิได้เลย  ผลนั้นคือความพ้นทุกข์ทั้งปวงนำดวงวิญญาณเข้าสู่พระนิพพานเท่านั้น  จงทำจิตใจของเหล่าท่านทุกวันให้เกิดความสว่างแจ่มแจ้งแห่งพระนิพานเถิด  ละความโลภ  ละความโกรธ  ละความหลงที่มีอยู่ในจิตใจของท่านเสีย  ท่านจะเป็นสุขอย่างยิ่งทั้งภพนี้และภพหน้าฯ       

 

               อาตมาจำพรรษาอยู่ที่วัดธารอโศกเทวสถาน  พอออกพรรษาแล้วอาตมาก็ไปอยู่ที่วัดบ้านโง้ง  อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 11 เดือนกุมภาพันธ์  พ.ศ. 2511  อาตมาได้มาพักอยู่ที่วัดดวงแขชั่วคราวคือในกรุงเทพฯ  อาตมาพบใบบอกบุญทอดผ้าป่า  ที่วัดเขาตำหนักสาลิกา  อำเภอเมือง  จังหวัดนครนายก  เพื่อสมทบทุนสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่  อาตมามีความเลื่อมใสมาก  เพราะครั้งสมัยอาตมานุ่งขาวห่มขาว  อาตมาได้ไปจำศีลกับหลวงปู่พระครูพิสีที่วัดตำหนักนั้นหลายปี  อาตมาได้รับผลทางด้านจิตใจศีลธรรมเป็นส่วนมากหาประมาณมิได้  อาตมาภาพจึงได้คิดทบทวนดูทางบุญกุศลศรัทธาที่ท่านบริจาคทานในทางวัตถุ  อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ญาติโยมทั้งหลายที่ปรารถนามนุษย์สมบัติ  สวรรค์สมบัติ  นิพพานสมบัติ  อาตมาเป็นผู้ไม่มีวัดปัจจัยอะไร  มีแต่ศีลกับธรรมเท่านั้นที่จะแจกจ่ายให้ญาติโยมทั้งหลาย  อาตมาจึงแนะนำญาติโยมทั้งหลายเหล่าอุบาสกอุบาสิกาให้บริจาคทุนทรัพย์ไปทอดผ้าป่าที่วัดตำหนักสาลิกา  เอาเหตุเป็นที่ตั้งคืออายุของอาตมานี้เองจัดเป็นกองผ้าป่า 58 กอง  เพราะอายุของอาตมา 58 พรรษา  อาตมาได้บอกแก่ไวยาวัจกรคือโยมพันธ์  ยอดธรรม  เป็นผู้จัดการบอกบุญผ้าป่า 58 กองเพื่อเป็นอานิสงส์ของญาติโยมทั่วไป  ผ้าป่าสามัคคีธรรมในความพร้อมเพรียงกันแห่งบุญกุศล  ได้พร้อมเพรียงกันรวบรวมจตุปัจจัยไปทอดผ้าป่าคราวนั้นได้เงินสองพันบาทเศษ  นำไปทอดที่วัดเขาตำหนักสาลิกา  บุญกุศลก็สำเร็จลุล่วงไปได้ดี  สมความปรารถนาของญาติโยม       

 

               อยู่ต่อมาถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2511  อาตมาภาพก็มาวัดบ้านโง้ง  ตำบลโพธิ์งาม  อำเภอประจันตคาม  จังหวัดปราจีนบุรี  มาเห็นกุฏิผุพัง  เป็นที่พักอาศัยไม่ได้  ญาติโยมในละแวกบ้านนั้นก็ขาดแคลนขาดสนกันเป็นส่วนมาก  แต่มีจิตใจยึดมั่นในการบริจาคศรัทธามั่นคง  ขาดแต่ทุนทรัพย์ เห็นแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

 

               อาตมาพิจารณาอยู่หลายวัน  คิดถึงเสนาสนะที่อยู่อาศัยของพระภิกษุ  สามเณร  ชีพราหมณ์  และญาติโยมใกล้ไกลที่จะมาอยู่ภายหลัง  ไม่มีที่พักอาศัยพักผ่อนกัน  อาตมาคิดแล้วจึงกลับไปวัดดวงแขอีก  อาตมาได้เล่าเรื่องราวให้ญาติโยมฟังถึงกุฏิที่ผุพังใช้อยู่อาศัยไม่ได้  จึงได้บอกบุญมายังญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาในทางพุทธศาสนา  ญาติโยมทั้งหลายผู้มีจิตใจศรัทธาอย่างแรงกล้า  ก็ช่วยกันบริจาคทรัพย์ปัจจัยในการก่อสร้าง  กุฏิพัสดุ  ห้องน้ำห้องส้วม  จนเสร็จเรียบร้อยและทำการฉลอง  สิ่งที่ทำการซ่อมแซมเสร็จเมื่อเดือนกรกฎาคม  พ.ศ. 2511  รวมทุนทรัพย์ในการซ่อมแซมสิ้นไปประมาณ 11,107.60 (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยเจ็ดบาทหกสิบสตางค์)

 

               และในปีนี้อาตมาก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านโง้งจนตลอดพรรษา  ในเดือน 11 แรม 6 ค่ำ  วันเสาร์ มล. ทวีวัฒน์  และคุณนายจรัส  สนิทวงศ์ได้นำองค์กฐินไปถวายตามแรงศรัทธาของท่านลุล่วงไปได้ด้วยดี         

 

               อาตมาอยู่วัดนี้ต่อไปจนถึงวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2511  ผู้ใหญ่พา ทรัพย์มั่น  ได้ไปหาอาตมาที่วัดบ้านโง้ง  เพื่อบอกถวายที่ดินไว้กับอาตมาประมาณ 30 ไร่กว่า  เพื่อถวายไว้ให้ก่อสร้างสำนักสงฆ์ไว้ในพระพุทธศาสนาให้ถาวรสืบไป  อาตมารับที่ดินแห่งนี้ไว้  ตั้งใจว่าจะทำการก่อสร้างให้เป็นสถานที่ฝึกจิตของพระภิกษุ - สามเณร-อุบาสก- อุบาสิกา  เพื่อผู้หวังในความสงบทางจิต จะได้มาปฏิบัติจิตกัน  ตามแนวของพระพุทธองค์ที่ทรงบัญญัติไว้

               ที่ดินแห่งนี้มีทำเลเหมาะที่ก็สงบ  เหมาะแก่ผู้ที่หวังสันโดษ  ตั้งอยู่ชายเขานันทา  บ้านทุ่งยาว  หมู่ที่ 16  ตำบลโพธิ์งาม  อำเภอประจันตคาม  จังหวัดปราจีนบุรี    

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:24:30

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom