-
ประวัติการก่อสร้าง
|
|
-
สำนักสงฆ์เขานันทาพาสุภาพ
บ้านทุ่งยาว
หมู่ที่ 16
ตำบลโพธิ์งาม
อำเภอประจันตคาม
จังหวัดปราจีนบุรี
พ.ศ.
2512
|
|
-
อาตมาภาพหลวงพ่อชม
อนํคโณ
อาตมาแต่ก่อนได้ไปปฏิบัติบำเพ็ญสมณะธรรมที่เขาเขียว
จังหวัดสระบุรี ตามป่าตามนิคมชาวเขาตามญาติโยม
ตามเกิดตามมีน้อยบ้างมากบ้าง
ความเป็นอยู่การปฏิบัติ
ถึงฤดูแล้งก็ขาดน้ำไม่มีใช้
ก็ต้องอาศัยญาติโยมนำไปถวายทีละกะแป๋งนานๆ
นำไปหนหนึ่ง
ส่วนอาตมาเองพอหน้าแล้งมาถึงแล้วมิได้สรงน้ำเลยเป็นเดือนๆ
เพราะน้ำไม่มีจะสรง
ก็ทนอยู่ด้วยศีลและธรรมเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งอยู่เป็นเนืองนิจ
จิตใจก็เยือกเย็นดีไม่ฟุ้งซ่านรำคาญใจแต่อย่างใด ขอให้รู้แจ้งในศีล-สมาธิ-ปัญญาของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วกัน
เพราะสมาธิที่ถือใจมั่นที่เรามีอยู่ในจิตใจนี้เองทำให้เราชุ่มชื่น
เหมือนเราได้สรงน้ำอยู่เสมอๆ
ความร้อนดูมันคล้ายจะไม่มีเพราะได้แก่เราวางเฉยนั้นเอง อาตมาทำเพียรอยู่ที่นั้นหลายปีจนได้มีความรู้ในความเพียรของตน
ที่เกิดขึ้นแก่จิตใจของตนก็รักษาความรู้ของตนนั้นไว้เพื่อสอนตน
และผู้อื่นให้รู้ตามตนไปด้วยในความสุขนั้นๆ
|
|
-
อยู่ต่อไปอาตมาถึงได้พิจารณานึกในใจแต่ผู้เดียวว่า
เราจะจำแนกธรรมโดยพระธรรมเทศนาเพื่อสอนตนและผู้อื่นให้รู้ซึ้งถึงความเป็นจริง
เราต้องไปแสดงธรรมฟังแต่ผู้เดียวในป่าฟังว่าเราจะแสดงธรรมเหล่าใดหนอทั้งๆ
เรื่องปริยัติเราก็ไม่ได้เรียนท่องจำแต่อย่างใด
ถึงได้พิจารณาด้วยตนเองว่าเรามีศรัทธาในการรักษาศีลออกบวชไม่ให้เสื่อมคลาย
เราก็มีสัจจะของเราอยู่แล้วโดยมั่นคง
ถึงได้พิจารณาเอาพระพุทธ-พระธรรม-พระอริยสงฆ
์ ให้น้อมนำ
ทางกาย-ทางวาจา-ทางใจแห่งลูกด้วย
ก็ตั้งสมาธิที่ความถือใจมั่นในพระรัตนตรัยแต่ฝ่ายเดียวหนึ่งไม่มีสอง
พอคิดดังนั้นแล้วก็ลงจากศาลาเข้าป่าเชิงเขา
ไปหาที่จะแสดงพระธรรมเทศนาพอเข้าถึงป่า
ก็พิจารณาว่าโงนหินที่ไหนจะเป็นที่สมควรที่จะแสดงธรรมได้
อาตมาก็เดินเลาะไปตามก้อนหินในป่าเขาแต่ผู้เดียว เดินไปก็พิจารณาด้วยตนเองไป
ถึงได้มองเห็นหินก้อนใหญ่อยู่ข้างหน้าอาตมา
ก็นึกในใจว่าที่นั่นคงจะดีมีร่มไม้ราบรื่นดี
พออาตมาไปถึงหินก้อนใหญ่แล้วอาตมาก็ขึ้นไปบนก้อนหิน
พิจารณานั่งลงหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ แล้วก็พิจารณาว่าเราจะแสดงธรรมโดยพระธรรมเทศนานี้จะแสดงธรรมในเรื่องอะไรก่อน
ถึงได้นั่งพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้พิจารณาแล้วนึกออกในใจว่า
เราสมควรแสดงธรรมในเรื่องศีลสิกขาบทตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ทรงบัญญัติไว้ให้ละเว้นทางกายวาจาใจ
ให้รู้ซึ้งถึงศีลและธรรม
พอน้อมนึกได้แล้วก็ตั้งสมาธิที่ถือใจมั่นอยู่ในพระรัตนตรัย
เอาศีลมาเป็นอารมณ์โดยพระธรรมเทศนา
พอตั้งสมาธิมั่นแล้วก็นึกถึงคุณพระพุทธเจ้าขึ้นว่านะโมก่อน
3 หน
จบแล้วก็ขึ้นศัพท์ของศีลว่า
สีเลนะ
สุขะติงยันติ
พอจบแล้วก็วางเฉย
นึกถึงข้อละเว้นของศีลทางกายวาจาใจแต่สายเดียว แล้วก็ออกเสียงให้ดังให้ได้ยินสองหูให้ถนัด
ปากเราก็ว่าไปหูเราก็ฟังเสียงไปถูกหรือผิด ดีหรือชั่วหูเราก็ได้ยินอยู่
อะไรๆ
เราก็รู้อยู่ก็อธิบายไปได้พอสมควรอาตมาก็หยุดพักในวันนั้น
วันต่อมาอาตมาก็ไปแสดงพระธรรมเทศนาที่ก้อนหินนั้นถึง
3 วัน
ในตอนตะวันบ่ายวันสุดท้ายเวลา
5 โมงเย็น
มีแมวตัวหนึ่งไปแอบฟังพระธรรมเทศนาอยู่ที่นั่น พออาตมาเทศนาจบแล้วแมวตัวนั้นก็เดินออกมาที่โล่งๆ
ตรงหน้าอาตมาๆ
ก็ร้องเรียกว่าแมวๆ
มาที่นี่
แมวก็มองดูหน้าอาตมาอยู่พักหนึ่งก็กระโจนเข้าป่าที่รกๆ
ต่อไป
อาตมาก็มิได้หยุดยั้งแต่นั้นมา
เพราะมีญาติโยมตอนเย็นๆ
ก็พากันมาหาอาตมาๆ
ก็เทศนาธรรมในเรื่องละเว้นบุญบาปให้ญาติโยมได้ฟังอยู่เสมอๆ
ถึง 3
เดือนก็ยังไม่จบ
แสดงแต่เรื่องศีลอย่างเดียวเท่านั้นก็ยังไม่จบเลยฯ
|
|
-
มาวันหนึ่งเป็นเวลากลางคืน
อาตมาตกใจตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงกระดานกับฝาห้องมันดังตึงตังๆ
อาตมาก็ลุกขึ้นฉายไฟดู
ก็เห็นงูตัวหนึ่งมันเลื้อยเข้ามุ้งอาตมา
แต่ก่อนที่งูมันจะเลื้อยมาเข้ามุ้งอาตมาได้นั้น มีแมวตัวหนึ่งมากระโจนตะครุบทางหางงูไว้ พอแมวตะครุบหางมันงูนั้นก็หันมาฉกแมว
มันก็ทำกันอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน
อาตมาเห็นเหตุการณ์ไม่สู้จะดีนัก
อาตมาถึงได้เรียกโยมที่นอนอยู่ข้างนอกว่าโยมๆ
สัตว์เลื้อยคลานมันจะเข้ามุ้งอาตมาแล้ว
โยมก็พากันลุกขึ้นไปไล่งูลงไปจากห้องอาตมา งูนั้นก็เลื้อยลงไปใต้ถุนศาลาโยมก็เลยตีเอาตายทิ้งไว้ข้างๆ
ศาลา
ถึงตอนรุ่งเช้าอาตมาก็ไปดูถึงได้รู้ว่าเป็นงูแมวเซาที่มีพิษร้ายแรงที่สุด
ถ้ามันฉกผู้ใดเข้าแล้วต้องตายเพราะมันมีพิษร้ายแรงยิ่งกว่างูอื่นๆ
พอถึงเวลาสายอาตมากับหมู่ญาติโยมถึงได้เห็นแมวตัวที่มันตะครุบ
หางงูไว้นั้นนอนอยู่ใต้ร้านพระที่ศาลานั่นเอง
พออาตมาฉันข้าวเสร็จแล้วก็เอาให้มันกิน
พอมันกินข้าวเสร็จแล้ว
โยมก็ฉีกเอาผ้าเหลืองมาผูกคอให้มันแล้วก็พูดขึ้นว่า
อ้ายคำปีนี้มาจำพรรษาด้วยกันนะ
พอญาติโยมพูดเท่านั้นสักพักหนึ่งแมวบักคำตัวนั้นก็กระโจนลงศาลาหายเข้าป่าไป
อีก 3
วันเท่านั้นก็จะถึงวันเข้าพรรษา
พอถึงวันเข้าพรรษาแมวบักคำตัวนั้นก็มาพอดี
แต่ผ้าเหลืองที่ผูกคอให้นั้นขาดหายไปไม่เห็นติดมาเลย
อาตมาก็มาพิจารณาดูถึงได้รู้ว่าเป็นแมวตัวที่มันไปแอบฟังตอนอาตมาไปฝึกหัดแสดงธรรมนั้นเอง
ที่มาจำพรรษาอยู่ด้วยและมันยังมีบุญคุณต่อเราเป็นอันมาก
เพราะตอนที่งูมันจะเลื้อยเข้ามุ้งแมวก็ช่วยตะครุบเอาไว้
ถ้าแมวตัวนี้ไม่ช่วยเราไว้งูตัวนั้นก็ต้องฉกเรา ถ้างูมันเข้าไปในมุ้งได้ถึงตัวเราแล้ว เมื่อเราไม่รู้ว่าอะไรมาถูกตัวเข้า เราก็ต้องเอามือปัดหรือเอาเท้าป่ายไปและเมื่องูมันตกใจมันก็ต้องฉกเอาเท่านั้น
แมวตัวนี้มันคิดถึงคุณอาตมาอย่างมากที่สุด มันเป็นสัตว์ป่าแมวป่าแท้ๆ
มันก็ยังรู้คุณธรรมที่ได้ยินได้ฟังโดยที่มันไม่รู้ภาษากันเลย
ก็ยังรู้ความเลื่อมใสว่าเป็นบุญเป็นคุณแก่ตนของเขาเป็นอันมาก
จนมาอยู่ด้วยเพื่อรักษาอาตมาในพรรษานั้นจนตลอดพรรษา
ไม่ยอมไปหากินสัตว์ที่เป็นๆ
เลยภายใน 3
เดือนนั้น
ไม่ยอมลงไปจากศาลาไปเที่ยวเลย
เว้นแต่ไปถ่ายของมันเท่านั้นมันถึงจะลงพื้นดิน อาตมาเป็นผู้สังเกตว่าแมวป่าตัวนี้เขารู้คุณธรรมและเขาเคารพคุณธรรม
ก็เพราะเวลาตอนเย็นอาตมาแสดงธรรมเทศนาให้ญาติให้โยมฟังแทบทุกวัน
และเวลาอาตมาแสดงธรรมแมวบักคำตัวนั้นต้องมาหมอบอยู่ตรงหน้าอาตมาที่แสดงธรรมทุกๆ
ครั้งไปจนตลอดพรรษา
พอออกพรรษารับกฐินผ้าป่าเสร็จแล้วอาตมาก็ลงมากรุงเทพฯ
แมวบักคำตัวนั้นก็ตามมาส่งจนถึงถนนใหญ่
มันถึงได้กลับไปเข้าสู่ป่าตามเดิม
|
|
-
อาตมาได้มาอยู่
ณ.
วัดดวงแขที่กรุงเทพมหานคร มาวันหนึ่งตอนเช้าอาตมาไปบิณฑบาตกลับมาเห็นโยมผู้หญิงคนหนึ่ง
ยืนอยู่หน้ากุฏิที่อาตมาอาศัยอยู่
เมื่ออาตมาเดินมาถึงโยมก็ยกมือไหว้แล้วอาตมาก็เดินขึ้นไปบนกุฏิเมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว
โยมผู้หญิงคนนั้นก็เดินขึ้นไปหาอาตมา
(กะอายุประมาณยี่สิบกว่าปี)
ไปถึงก็ก้มกราบอาตมาแล้วหมอบร้องไห้อยู่
เพราะความแค้นใจของตนที่มีอยู่มากที่สุดถึงร้องไห้ดังนั้นอาตมาก็นึกรู้ใจ
จึงได้พูดกับโยมว่า
โยมเราอย่าเป็นผู้โง่ผู้เขลาเกินไปมันไม่มีดีดอก
เราจงเป็นผู้มีสติเถิด
สามีนั้นมันมิใช่พี่น้องญาติของเราแต่อย่างใด มันเป็นคนอื่น
มิใช่จะเป็นบิดามารดาญาติของเราแต่อย่างใด โยมหยุดร้องไห้เสียมันมีเหตุอะไรพูดให้อาตมาฟังดูซิว่ามันเป็นอย่างไร
พออาตมาพูดจบโยมก็ได้สติ
เงยหน้าขึ้นเช็ดน้ำตาตนเองเรียบร้อยแล้วก็พูดขึ้นว่า
ดิฉันนึกคิดว่าจะไปฆ่าตัวตาย
จะไปกระโจนให้รถไฟมันทับให้ตายไปเสียเพราะความคับแคบแค้นใจของตน
พอเดินมาถึงข้างวัดได้ยินเสียงแว่วขึ้นในหูของดิฉันเองว่า
อย่าพึ่งไป
ให้เข้าไปหาหลวงพ่อที่มาจากเขาเขียว มาพักอยู่ที่วัดดวงแขนี้ก่อน
พอได้ยินเสียงดิฉันได้เดินเข้ามาในวัดนี้
ดิฉันได้ถามเด็กวัดว่ามีพระมาจากเขาเขียวมาพักอยู่วัดนี้มีไหม
เด็กมันบอกว่ามีแล้วเด็กก็พามาส่งกุฏินี้
หลวงพ่อก็มาพอดี อาตมาก็ถามโยมว่ามันมีเหตุอะไรพูดให้อาตมาฟังดูซิ
โยมผู้นั้นก็เล่าเรื่องของตนให้อาตมาฟังว่า
สามีดิฉันไปมีเมียน้อยดิฉันไปหาสามีก็ไม่ได้ เมียน้อยเขาด่าดิฉันเสียๆ
หายๆ
คนรับใช้ที่อยู่ที่บ้านก็ใช้เขาไม่ได้ไม่เหมือนเมื่อสามียังอยู่
ดิฉันคิดน้อยใจถึงจะไปฆ่าตัวตายเสีย
อาตมาก็ถามต่อไปว่าโยมมีบุตรด้วยกันไหม
โยมตอบว่าไม่มี อาตมาก็ถามต่อไปว่าโยมทำงานอะไร
โยมตอบว่าทำงานอยู่ที่โรงงานยาสูบ
เงินเดือนสี่พันบาท
อาตมาถามว่าแล้วบ้านที่พักเราละได้เช่าเขาไหม โยมตอบว่าเป็นบ้านของตนเองอยู่ที่ข้างๆ
สะพานเหลือง
อาตมาถึงได้พูดขึ้นว่า
จะไปคิดให้มันยากลำบากกันไปทำไม
อาตมาจะบอกคำตัดให้ไปโฆษณาขายบ้านขายที่ของเราเสีย
ว่าดิฉันจะขายบ้านขายที่ทั้งหมดดิฉันจะไปบวชเป็นชี
จะไม่สึกออกมาเป็นผู้ครองเรือนอีกต่อไป
เพราะสามีดิฉันไปมีเมียน้อยไม่กลับมา
ถ้าดิฉันไปหาเขาเมียน้อยเขาก็ด่าดิฉัน
เมื่อกระทำดังนี้แล้วถ้าสามีเขาเสียสละเราได้จริงแล้วให้โยมไปหาหลวงพ่อก็แล้วกัน
เป็นคำตัดเด็ดขาดนี้อย่างหนึ่งเพื่อเสียสละเอาชีวิตเราไว้
เราอย่าไปอาศัยในความรักผู้อื่นเขายิ่งกว่าตนเอง สามี-ภรรยามิใช่ญาติย่อมหย่าร้างพลัดพรากกันได้ทุกขณะมันเป็นประเพณีที่นับถือสืบๆ
กันมาเท่านั้นเองเพราะมันเนื่องมาจากผู้อื่นเขามิใช่ญาติเรา
ผู้ดีก็ดียิ่งพาเราสร้างบุญสร้างกุศลบารมีเข้าสู่สวรรค์นิพพานได้เหมือนกัน
ผู้ร้ายก็ร้ายยิ่งกว่าเสือร้ายยิ่งกว่ายักษ์กว่ามาร
ท่านเหล่านี้ก็จะพาเราตกนรกอยู่ทุกคืนวัน
สร้างบาปสร้างกรรมสร้างเวรอยู่เสมอๆ
เราเป็นมนุษย์อยู่ในโลกนี้ก็ไม่มีความสุข
ถึงเมื่อสังขารร่างกายเราตายแตกดับไปแล้ว
จิตใจที่ให้ความรู้สึกนึกคิดอยู่ทุกวันนี้เป็นสิ่งไม่ตาย
คือตัวเรานั้นเอง
ก็จะตกนรกอเวจีทนทุกข์ทรมานอยู่เป็นกัปๆ
เพราะสามีภรรยาไม่ดีต่อกันนั้นเองฯ
|
|
-
อีกอย่างหนึ่งเป็นเมตตาธรรมอันนี้ดีมากนะ อาตมาอยากจะถามว่าสามีมาบ้านบ้างไหม โยมตอบว่ามา
มาแล้วก็กลับไป
อาตมาบอกว่าต่อไปถ้าสามีมาบ้านเราจงทำใจให้ดี
เราอย่าไปนึกคิดอะไรๆ
ทั้งนั้น
จิตใจเราก็จะดีขึ้นเอง
เราอย่าไปพูดถึงคิดถึงเรื่องเมียน้อย
เรื่องหนุ่มๆ
สาวๆ
เราทำตนด้วยความดีโดยไม่รู้ในเรื่องชู้สาว
เราก็จัดสำรับข้าวน้ำอาหาร
ที่หลับที่นอนที่บ้านเราให้สะอาดตามเดิม
อย่าไปทำตนให้เป็นผู้เศร้าหมองทำตนให้เบิกบานอยู่เสมอๆ
ทำใจให้เหมือนแม่น้ำมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่ฝูงสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย
เมื่อหนีจากความร้อนต้องมาอาศัยความเย็นคือน้ำนั้นเอง
ถ้าที่ใดมันร้อนเหมือนไฟแล้ว
สัตว์ทั้งหลายและมนุษย์ก็ต้องแตกกระโจนหนี
จากที่นั่นไปอยู่อาศัยที่ห่างไกลจากความร้อนเหล่านั้นเป็นแน่นอน
ถ้าเราเป็นผู้ร้อนแล้วอะไรๆ
มันก็ต้องหนีจากเราไปทั้งหมด
ถ้าเราเย็นแล้วอะไรๆ
มันร้อนอยู่ก็ต้องกลับมาหาเราวันหนึ่งจนได้
อันนี้เป็นเสน่ห์อันประเสริฐสำหรับมนุษย์ชาย-หญิง
ถ้าจะพูดก็ให้เป็นความตักเตือนกันว่าเราไปที่ไหนอยู่ที่ไหนก็ให้ระมัดระวังตัวของเรา
อย่าประมาทเพราะสมัยนี้ภัยอันตรายมีมาก
เราให้พูดแต่เพียงเท่านี้
ท่านว่ากับเราอย่างใดก็ตามให้เราวางเฉยเสีย ให้ใช้ขันติความอดทนที่ผจญมาร
ใช้วิริยะความเพียรในคำพูดของตนในสิ่งที่อันดีงามนั้นไว้ให้มากที่สุด
เรื่องจะผิดใจในความประพฤติของบุคคลที่ผิดเราไม่กล่าวถึงแต่อย่างใด
อันนี้คำเหล่านี้หลวงพ่อขอฝากไว้แก่ท่านหญิงทุกๆ
ท่านไป
พออาตมาพูดจบลงโยมผู้นั้นก็ดีใจหัวเราะยิ้มแย้มแจ่มใสในทันใดได้
โดยก็ลาจากอาตมาไป อาตมาก็ฝากหนังสือประวัติอาตมาไปให้เล่มหนึ่ง
โยมก็ลาอาตมากลับไปบ้านด้วยความสวัสดี
|
|