-
อานิสงส์ผ้าป่า-กฐิน
|
|
-
อยู่ต่อมาอาตมาก็ได้กลับมาถิ่นฐานบ้านเดินมาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านโง้งปี
พ.ศ. 2511
พอถึงออกพรรษา
ในวันนั้นตอนกลางคืนจวนสว่างก็เกิดนิมิตขึ้นบนหัวนอน
เป็นภาพมาฉายให้อาตมาดูเหมือนจอหนังใหญ่ๆ
มีความสว่างเห็นได้ชัดเจน
มีรูปเทพเทวพรหมสี่องค์
มีรูปดวงดาวเรียงรายตามมาสองข้างขาวซ้ายเต็มไปหมด
มีก้อนเมฆอยู่ข้างล่างเป็นรูปช่องทางอยู่ตรงกลาง
รูปดวงดาวนั้นเป็นแสงสีเหลืองเหมือนทองคำระยิบระยับไปหมด
รูปอาตมาอยู่ตรงกลาง
มีมืออีกผู้หนึ่งชี้ออกมาจากก้อนเมฆ
ชี้ออกมาหารูปอาตมา
อาตมาได้ยินเสียงพูดขึ้นว่า
ท่านจงดูรูปนี้ที่ท่าน
ลงมาเกิดท่านมาดังนี้
ท่านจะมาอยู่ที่นี่ทำไม
ร่างสังขารอาตมาที่นอนอยู่ก็ตอบเขาไปว่า
มาใช้กรรมพอตอบแล้วเท่านั้น
ภาพที่มาฉายให้เห็นในนิมิตฝันนั้นก็ค่อยๆ
หายจางไปตามอากาศ
อาตมาลุกขึ้นอรุณรุ่งเช้าพอดี
อยู่ต่อไปประมาณ
3วัน
ผู้ใหญ่พาบ้านทุ่งยาวก็ไปหาอาตมาที่วัดบ้านโง้งไปขอถวายที่ดินสร้างวัดแก่อาตมาๆ
ก็รับศรัทธาของญาติโยมพออาตมารับที่ดินแล้ว
ก็เดินทางไปกรุงเทพฯ
ไปปรึกษากับญาติโยมยานุศิษย์ที่
กม.11
บ้านพักรถไฟว่าอาตมาได้รับ
ที่ดินจากผู้ใหญ่พาเป็นผู้ถวายที่ดิน
มีเนื้อที่ประมาณ
20 ไร่
พออาตมาพูดให้ญาติโยมยานุศิษย์ฟัง
ทั้งหมดก็ยินดีมีศรัทธากันทุกๆ
ท่านฯ
|
|
-
อาตมาถึงได้อธิบายธัมมะ
ในการสร้างบุญกุศลบารมีโดยถูกต้องตามพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ในบารมี
ผู้มีศรัทธาแล้ว
ควรทำให้ถูกต้องถึงจะเป็นบุญเป็นกุศลบารมีไปได้
ถ้าเราเห็นว่าอะไรๆ
ก็เป็นบุญเป็นกุศลบารมีไปทั้งหมด
เราก็ทำลงไป
ก็จะเสียทรัพย์เงินทอง
ไปเสียเปล่าๆ
เงินทองกว่าจะหามาได้ก็ต้องเอาชีวิตเข้าสู้ถึงได้มาก็ลำบากมากอยู่
กว่าจะได้กว่าจะมีเป็นบาท
เป็นสตางค์ก็ลำบากอยู่
การที่เราจะทำบุญให้ทานโดยศรัทธาด้วยความเต็มใจของเราก็ต้องทำให้ถูกต้อง
ในทางพระพุทธศาสนาตามพระพุทธเจ้าได้ทำมาก็จะมีประโยชน์มากฯ
|
|
-
ผู้มีศรัทธาในการทอดผ้าป่าหรือทอดกฐินก็ดี
ครั้งพุทธกาลยังไม่มีผู้รู้จักการทอดกฐินผ้าป่าแต่อย่างใด
ถึงได้มีพระอินทร์มาเป็นผู้นำมนุษย์ชาวโลก
ให้รู้จักทำบุญการกุศลบารมีอันยิ่งๆ
ในทางพุทธศาสนาสัมมาพุทธเจ้าที่มาตรัสเป็น
พระศาสดามาสอน
แต่ละองค์นี้ก็หาได้ยากกว่ามนุษย์คนเราที่มาเกิดมาพบพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้า
อย่างเราท่านชาย-หญิงทุกๆ
วันนี้
แปลว่ามาเกิดเป็นผู้มีโชคดีมหาศาล
จะเอาอันใดในโลกนี้มาเปรียบมนุษย์ชายหญิงมิได้เลยนะท่าน
เพราะหมู่เราท่าน
เป็นผู้มีโชคดีกันทุกๆ
ท่านชาย-หญิงให้พิจารณานึกรู้กันเสียบ้างว่าเราท่านที่มาเกิดอยู่ในโลกนี้
มาพบศาสนาทาน-ศีล-ภาวนา
ศีล-สมาธิ-ปัญญา
เป็นทางของพระพุทธเจ้าตรัสไว้ถากถางเป็นทางเตียนไว้ให้แก่หมู่เราท่าน
ยังมีอยู่พระภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์
(และที่แทนภิกษุณีก็ยังมีอยู่เป็นคู่กัน
อุบาสก-อุบาสิกาก็ยังมีอยู่
นามบัญญัติไว้ของพระพุทธเจ้าก็ยังมีอยู่คือ
พระโสดาบัน-พระสักกิทาคามี-พระอนาคามี-พระอรหัตอรหันต์ก็ยังมี
บุรุษทั้งสี่เหล่าก็ยังมีครบอยู่
ก็ชีนั้นเองแทนภิกษุณีอยู่
เป็นผู้ทำจิตใจของตนให้เข้าถึงพระอรหันต์มรรคผลนิพพานได้)
ทุกๆ
ท่านไม่ต้องสงสัยลังเลตามคำพูดของบุคคลดอกท่านชาย-หญิง
ให้เดินตามศีล-สมาธิ-ปัญญาทางของพระพุทธเจ้าแต่อย่างเดียวหนึ่งไม่มีสองก็แล้วกัน
ถึงมรรคผลนิพพานเป็นแน่นอน
ให้สอนตนเองให้เกิดความรู้ในทางศีล-สมาธิ-ปัญญาของพระพุทธเจ้าให้สมบูรณ์
เพื่อสั่งสอนผู้อื่นต่อๆ
ไปอาตมาขออนุโมทนาด้วย
เพื่อทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งต่อๆ
ไป
ให้ละความสงสัยลังเลที่มีอยู่ในตนนั้นให้สิ้นไปเสียเถิด
ถึงจะเกิดมรรคผลนะท่านชาย-
หญิงท่านอย่าไปสงสัยว่า
ท่านเหล่านั้นร่ำรวยเขาไม่ต้องทำบุญให้ทานเขาก็รวย
เรามันเป็นคนจนไม่รวยเหมือนเขา
ที่เขาร่ำรวยยังไม่ทำบุญรักษาศีลแต่อย่างใด
เรามัวแต่รักษาศีลทำบุญให้ทานอยู่ไม่รวยเหมือนเขา
ผู้ที่พูดอย่างนี้ก็มีนึกคิดอย่างนี้ก็มี
สิ่งเหล่านี้คิดทำให้จิตใจเราเป็นวิจิกิจฉา
สงสัยอยู่ในบุญและบาป
สงสัยกระทั่งนรก-สวรรค์ว่าจะมีจริงหรือเปล่า
เพราะความสงสัยของตนนั้นเองฯ
|
|
-
ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาด้วยความหยั่งรู้ของท่านที่มีอยู่นั้น
ว่ามนุษย์และสัตว์นานาชนิดเป็นนานาจิตตัง
จิตนึกคิดต่างๆ
กันก็เพราะมันมีอยู่หลายจำพวก
มันมีทางเดินไปหลายสายไปอยู่คนละทิศคนละทาง
โลกกามภพ
โลกมนุษย์ที่คนเราเกิดกันอยู่ทุกๆ
วันนี้
จะสร้างบาปก็ได้สร้างบุญกุศลก็ได้
สร้างจิตใจไปใครไปมันตามใจชอบ
ถ้าไม่ทำไม่นึกไม่คิดอย่างนั้น
นรกก็จะไม่มีวิญญาณคนอยู่นรกก็จะร้างกันไปทั้งหมด
ถ้าไม่มีการละเล่นเต้นรำขับร้อง
ประโคมดนตรีต่างๆ และโขนหนังการละเล่นกีฬาต่างๆ
ชนไก่กัดปลากัน
ภูมิของเปรตอยู่ใต้เขาคิชกูฏก็จะร้างไปเท่านั้นเอง
เพราะไม่มีวิญญาณของคนพวกนี้ไปอยู่
ถ้ามนุษย์คนเราไม่ทำบุญบริจาคทานรักษาศีลฟังพระธรรมเทศนาสร้างบุญบารมีแล้ว
ก็จะไม่มีผู้ไปอยู่บนสวรรค์กันเท่านั้นสวรรค์ก็จะร้างกันไปทั้งหมด
ถ้าไม่มีนักบวชชาย-หญิง-อุบาสก-อุบาสิกาปฏิบัติ
เพื่อละออกจากกามตัณหาสาม-โลกธรรมแปดประการให้สิ้นไปจาก
สันดานของตนแล้ว
ผู้ที่จะไปพระนิพพานก็ไม่มี
พระนิพพานก็จะว่างเปล่าไปเท่านั้น
เพราะไม่มีผู้ที่จะไปกัน
นรก เปรตเขาคิชกูฏก็เช่นกันก็จะมีแต่จำพวกโอปาติกะที่หลงอยากหลงกิน
เห็นแก่ปากแก่ท้องแย่งอยากแย่งกินกันไปทุกๆ
อย่างพรรณนาไม่ไหว
ผู้มีสติปัญญาให้พิจารณาเอาเอง เปรตจำพวกที่เป็นโอปาติกะก็จะเวียนว่ายเกิดตายอยู่ในโลกสัตว์มนุษย์คนเรานี้จนเต็มแผ่นดินโลก
จักรวาลนี้เป็นแน่นอน
เพราะจิตใจมนุษย์ชาย-หญิงไปหลงติดวัตถุ
และเงินทองอยู่
ไม่รู้ว่ามันเป็นของนอกกายโกยได้โกยเอาเลยกลาย
เป็นโอปาติกะเกิดๆ
ตายๆ
อยู่ในโลกนี้เอง เพราะไม่รู้ทางนรก-สวรรค์-นิพพานว่ามีเพราะจำพวกโอปาติกะนี้
ท่านเรียกว่าเปรตจำพวก
หิวอยากเห็นแก่ปากแก่ท้องนั้นเอง
พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ห้ามสาวกของท่านไว้ว่า
หมู่ท่านชาย-หญิงอย่าไปเห็นแก่ปากแก่ท้องจนเกินไป
มันจะกลายเป็นเปรตจำพวกโอปาติกะกันไปนะท่าน
ฯ
|
|
-
อาตมาให้ธรรมแก่ญาติโยมยานุศิษย์จบลงแล้ว
อาตมาก็เล่าเรื่องในการทำบุญบริจาคทานสร้างบารมี
ตอนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นใหม่ๆ
มนุษย์ชาวโลกเรายังไม่รู้จักการทำบุญบริจาคทานแต่อย่างใด
พระอินทร์เทวบุตรเทวดาถึงได้เสด็จลงมาจากสวรรค์มาแปลงร่างเป็นมนุษย์ชาย-หญิง
(มิให้ชาวโลกมนุษย์เรารู้ว่าเป็นพระอินทร์
เป็นเทวบุตรเทวดาแต่อย่างใด)
เป็นรูปร่างอย่างคนชาวโลกนี้ธรรมดา
นำเอาผ้ากำพลมาจากสวรรค์มาทอดกฐินผ้าป่า
ต่อหน้าพระราชาประชาชนที่เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั้นเป็นส่วนมากก็เห็นกันทั้งหมด
พระอินทร์ได้เอาผ้าถวายแด่พระพุทธเจ้า
เพื่อเป็นผ้าป่า-ผ้ากฐินตามพุทธประสงค์
พอถวายผ้าแล้วพระอินทร์ก็ได้ถามพระพุทธเจ้าว่า ทอดผ้าป่ากฐินแล้ว
จะทำอย่างไรอีกต่อไป
พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอินทร์ว่า
เมื่อถวายผ้าป่ากฐินแล้วให้จัดนำอาหารถวาย
พระเพื่อฉลองได้บุญมาก
พระอินทร์และเทวบุตรเทวดาก็นิมิตอาหารทิพย์มีคาวมีหวานครบทุกอย่าง
ไม่มีแต่มังสังสิบที่พระพุทธเจ้าห้าม
ไม่ให้รับประเคน ห้ามไม่ให้ฉันสิ่งเหล่านี้นอกจากนี้มีหมด
พระอินทร์เทวบุตร
เทวดาทั้งหลายก็นำภัตตราหารถวายแด่พระพุทธเจ้า
และหมู่สงฆ์ทั้งหลาย
เมื่อเสร็จภัตรกิจแล้วพระพุทธเจ้าและหมู่พระสงฆ์ทั้งหลายก็ให้พร
เสร็จแล้วพระอินทร์พร้อมด้วยเทวบุตร
เทวดาก็ลาจากพระพุทธเจ้า
และหมู่พระสงฆ์กลับสู่สวรรค์
พอพระอินทร์เทวบุตรเทวดากลับไปหมดแล้ว
พระราชามหากษัตริย์ถึงได้ถามพระพุทธเจ้าว่า
ชาวประเทศไหนมาเยี่ยมพระพุทธเจ้า
ตอบพระราชาว่า
ดูก่อนมหาบพิตรท่านเหล่านั้นม
ิใช่ชาวมนุษย์เราแต่เป็นชาวสวรรค์คือ
พระอินทร์พร้อมด้วยเทวบุตรเทวดาเสด็จลงมาจากสวรรค์
พร้อมกันมาถวายผ้าป่ากฐินตาม
ประเพณีในทาง
พระพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ
พระองค์
พอพระพุทธเจ้าตรัสจบลงแล้วพระราชาก็เกิดความเลื่อมใสในศรัทธา
ที่การบริจาดถวายผ้าป่ากฐินของพระอินทร์เป็นอย่างสูง
พระราชาจึงตรัสถามพระพุทธเจ้าว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญมนุษย์คนเรา
อยู่ในโลกจักรวาลนี้
จะทอดผ้าป่ากฐินอย่างพระอินทร์นั้นได้หรือไม่
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
ผู้มีจิตใจศรัทธาพึงจะเสียสละบริจาคนั้น
ก็เป็นประโยชน์แก่ท่านเหล่านั้น
พระอินทร์เทวบุตรเทวดาที่มาทอดผ้าป่ากฐินที่กลับไปแล้วเมื่อครู่นั้น
ท่านแต่ก่อนๆ
อดีตชาติก็มาเกิดอยู่ในโลกมนุษย์จักรวาลนี้เอง
มาเป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในทางพุทธศาสนาสมณะชีพราหมณ์
อุบาสกอุบาสิกา
รักษาศีลฟังพระธรรมเทศนายึดมั่นในทานศีลภาวนามิได้ขาด ครั้นเมื่อสังขารมนุษย์ตายแตกดับจากโลกมนุษย์
พระอินทร์และเทวบุตรเทวดานั้นก็ได้นึกถึงผลบุญบารมีที่ตนได้สร้างแต่ก่อน
ได้ไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์มีบริวาร
ตั้งแสนโกฏิมีของทิพย์เสวยเป็นอาหารมีความสุขสำราญมากที่สุด
พระอินทร์และเทวบุตรเทวดาทั้งหลาย
พากันเพลิดเพลินอยู่ด้วยศีลทานของตน
ที่ได้กระทำไว้แต่ครั้งอยู่ในโลกมนุษย์เรานี้เป็นมูล
พอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้ฟังจบแล้วพระราชาพร้อมทั้งบริวารทั้งปวงที่อยู่ในที่นั้น
ก็ขอถวายปวารณารับเอาในการทานเหล่านั้นแด่สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมๆ
กันด้วยความอนุโมทนาสาธุการก็ดังสะเทือนเลื่อนลั่นหวั่นไหวดังไปทั่วโลกจักรวาล
เขาพระสุเมรุก็เอนเอียง
แม่น้ำมหาสมุทรก็กระทบฝั่ง
ฝูงครุฑพญานาคก็แตกตื่นอนุโมทนาน้อมพร้อมกัน
พระอินทร์พระพรหมพระยมราชเทวบุตรเทวดาก็เลื่อมใสขออนุโมทนาสาธุการ
แก่ศรัทธาประชาชนชาวโลก
ยอมรับเอาศรัทธาผ้าป่ากฐินที่บริจาคให้ทานการบริโภคอาหารแก่พระพุทธเจ้า
และหมู่สงฆ์ทั้งหลายในคราวนั้น
มนุษย์คนเราถึงได้ทำบุญให้ทานสืบกันมาตราบเท่าทุกวันนี้ฯ
|
|
-
พอจบลงแล้วอาตมาถึงได้กล่าวกับญาติโยมยานุศิษย์ทั้งปวงว่า
การทำบุญบริจาคทานสร้างกุศลบารมีนี้
เราอย่าทำตามผู้คนสมัยนี้ที่ว่าเป็นประเพณีได้ถือสืบๆ
มา
มันไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของพระพุทธเจ้า
เมื่อเรามีจิตศรัทธาจะไปทำบุญทอดผ้าป่ากฐินก็ดีให้จัดอาหารตามเกิดตามมีของเราเอง
เพื่อถวายบิณฑบาตแก่พระสงฆ์เพื่อฉลององค์ผ้าป่ากฐินนั้น
เมื่ออาหารเหลือแล้วเราก็ทำทานต่อไป
หมู่ญาติโยมยานุศิษย์ทั้งหลายผู้ท่านไปร่วมอนุโมทนาผ้าป่ากฐินก็จะได้รับประทานอาหารนั้นๆ
ให้ทั่วถึงกัน
การจะให้ทางวัดจัดเลี้ยงต้อนรับนั้นมันมิใช่เป็นบุญกลายเป็นการกินเลี้ยงกันไปทั้งหมด
จะเกิดเป็นบุญเป็นกุศลบารมีมาจากที่ใดกันเล่า ขอให้ญาติโยมยานุศิษย์จงคิดพิจารณาให้มันดีๆ
ที่เรามีจิตศรัทธาจะสร้างวัดกันคราวนี้อย่าไปทำอย่างวัดอื่นๆ
เขา
เมื่อเรามีศรัทธาจะไปทอดผ้าป่ากฐินก็ดี
ให้จัดอาหารไปถวายแก่สมณะชีพราหมณ์เพื่อฉลอง
อย่าไปใช้นักบวชชีพราหมณ์ท่านชาย-หญิงที่เป็นนักบวชอยู่
ให้จัดอาหารหุงต้มเลี้ยงคฤหัสถ์เป็นอันขาด
เพราะท่านเป็นเขตบุญเนื้อนาบุญแก่มนุษย์
และเทวดาอินทร์พรหมของหมู่เทพทั้งหลาย
เพราะท่านเป็นผู้ทรงศีลทรงผ้ากาสาวพัสตร์ของพระพุทธองค์อยู่
เราสมควรที่จะเคารพได้บุญมาก
ถ้าเราไปประมาทลบหลู่ดูหมิ่นเข้าก็จะบาปมาก แปลว่าประมาทลบหลู่ศรัทธาบารมีของตนนั้นเอง
เพราะเขตบุญเขตอื่นๆ
จะยิ่งกว่าย่อมไม่มีฯ
|
|
-
ที่สำนักเราจะก่อสร้างนี้
ห้ามมิให้มีการละเล่นเต้นรำขับร้องดนตรีต่างๆ สิ่งอันเป็นข้าศึกแก่บุญกุศลไม่ให้มีเป็นอันขาดดังนี้
ยานุศิษย์ญาติโยมทั้งหลายให้พิจราณาดูให้ดีในสิ่งเป็นบุญเป็นกุศลอันใด
สมควรหรือไม่ให้พิจารณาดูให้ดีเสียก่อน
อย่าเพิ่งทำลงไปมันจะเสียทรัพย์เสียศีลเสียเรี่ยวแรงเราไปเปล่าๆ
ยังจะมีโทษอีกด้วย
เพราะไปรบกวนศีลและธรรมในสถานบำเพ็ญสมณะธรรม ที่สร้างบุญกุศลบารมีตามพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ในศีลสิกขาบท
ถ้าญาติโยมยานุศิษย์กระทำตามประเพณี
จะหาการสนุกอย่างที่อื่นเขาหลอกลวงให้คนมาเข้าวัด
ปิดกั้นเพื่อหาเงินทองเข้าวัดอย่างนี้อย่าทำ มันเป็นทางไปนรก
เมื่อญาติโยมยานุศิษย์ไปตกนรกแล้ว
อาตมาก็จะกลั้นใจตายเสียดีกว่าอยู่
เพราะอาตมาก็จะตกนรกไปตามๆ
โยมด้วย
อาตมาเสียดายญาติโยมยานุศิษย์ผู้มีศรัทธาเข้าใจผิดเดินทางผิดไปตามโอปาติกะที่โลภ-โกรธ-หลงอยู่
หารู้ไม่ว่าอะไรเป็นบุญหรือเป็นบาป
ก็เดินไปตามๆ
เขาทำไปตามๆ
เขา
เสียกระทั่งทรัพย์สินเสียกระทั่งเวลาการงานอาชีพต่างๆ
ว่าเป็นบุญเป็นกุศลก็กระทำไปตามๆ
เขา
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
โน โน ครูติ
หมู่ท่านอย่าไปถือว่าภิกษุรูปนั้นรูปนี้เป็นครูบาอาจารย์ของท่าน
ให้รู้ว่าบุญมีจริงบาปมีจริงดังนี้
บุญ-บาปนี้ผู้ปฏิบัติสมควรพิจารณาให้รู้จักความเป็นจริงกันบ้างฯ
|
|