อัศจรรย์-ปาฏิหาริย์ เริ่มก่อสร้างวิหาร  ศาลา  พระเจดีย์ 5 พระองค์

 

               ในการก่อสร้างเริ่มสร้างวิหารวางศิลาฤกษ์ในวันวิสาขะบูชาที่ 4  เดือนมิถุนายน  พ.ศ. 2512  แล้วมาก่อสร้างเทเสาปูนในวันเสาร์ที่ 14 ขึ้น 1 ค่ำ  เดือนสิงหาคม (เดือน 8) ในปีนั้นใช้เวลาในการก่อสร้างรวมสี่เดือนกับสิบวัน  วิหารแล้วเสร็จในวันพฤหัสบดีขึ้น 11 ค่ำ  เดือน 12  ในปี  พ.ศ. 2512 นั้นเองฯ

 

               ต่อมาก็ลงมือก่อสร้างศาลาโรงฉันพัสดุบำเพ็ญกุศล  เริ่มเทเสาก่อสร้างในวันพุธที่ 20 แรม 1 ค่ำ  เดือนพฤษภาคม (เดือน 6) พ.ศ. 2513  เทพื้นเสร็จในวันที่ 19  เดือนกันยายน (เดือน 9) และเสร็จเรียบร้อยในวันเสาร์ที่ 3 ขึ้น 3 ค่ำ  เดือนตุลาคม  พ.ศ. 2513  พร้อมทั้งสระน้ำที่เก็บกักน้ำฝนอีก 4 สระ  เทลานรายรอบศาลาโรงฉันนั้นด้วย  และเริ่มก่อสร้างที่ปรุงอาหารอาคารโรงครัว พร้อมทั้งห้องน้ำห้องส้วมประจำศาลาโรงฉันด้วยในวันที่ 3 ขึ้น 3 ค่ำ  เดือนตุลาคมนั้นก็เสร็จเรียบร้อยในวันเสาร์ที่ 4 ขึ้น 4 ค่ำ  เดือนพฤศจิกายน  พ.ศ. 2513 ฯ

 

               ในวันอาทิตย์ที่ 1 ขึ้น 8 ค่ำ  เดือนธันวาคม (เดือนอ้าย) พ.ศ. 2513  ก็เริ่มการก่อสร้างเทเสากุฏิประจำสำนัก  พร้อมทั้งหอระฆังที่มีถังเก็บน้ำอยู่ข้างล่างด้วย  ในวันเดียวกันเริ่มขึ้นพร้อมกัน  ซึ่งได้เสร็จเรียบร้อยในปี  พ.ศ. 2514  ลำดับต่อมาก็เริ่มการก่อสร้างเมรุที่เผาศพ  ในวันอาทิตย์ที่ 17 ขึ้น 10 ค่ำ  เดือนกันยายน  พ.ศ. 2515  เสร็จเรียบร้อยภายในปลายปีนั้นเองฯ

 

               ในปีต่อมา  พ.ศ. 2516  ก็เริ่มการก่อสร้างพระเจดีย์ห้าพระองค์  ก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพุทธกัปนี้  ซึ้งมีอยู่ห้าพระองค์ด้วยกันเพื่อเป็นที่เคารพบูชาแก่ พระภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์-อุบาสก-อุบาสิกา-ประชาชนทั่วไป  ทั้งผู้ที่มาปฏิสนธิเกิดแล้วก็ดียังมิได้มาปฏิสนธิก็ดี  ที่จะมาปฏิสนธิเกิดในภายหลังก็ดีจะได้ดูจะได้เห็นได้มาเคารพบูชา  จะได้มีจิตใจน้อมถึงคุณพระรัตนตรัยและพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์นี้ด้วย  เพราะพุทธกัปแผ่นดินนี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ได้ห้าพระองค์  จึงได้ก่อสร้างพระเจดีย์ห้าพระองค์ไว้ประจำพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัญลักษณ์วัตถุถาวร  เป็นที่เคารพบูชาตลอดกาลนานสืบต่อไป  ถึงได้ลงมือการก่อสร้างในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2516  ในขณะเวลาที่วางอิฐก้อนแรกขององค์พระเจดีย์องค์กลางที่เป็นองค์ใหญ่ที่สุดนั้น  มีปรากฏการณ์เป็นอัศจรรย์เป็นปาฏิหาริย์ให้ได้ยินเสียงไม่เคยมีมาก่อน  ดินฟ้าอากาศก็สดใสแจ่มแจ้งไม่มีเมฆหมอกเค้าฝนแต่อย่างใด  อาตมาพร้อมด้วยพระภิกษุ-สามเณรและหมู่ชีหลายรูปด้วยกัน  อาตมานั่งหันหน้าไปทางทิศบูรพาตะวันออก  ก็นึกว่าเราจะทำอย่างไรดีก่อนในการจะวางองค์พระเจดีย์นี้  อาตมานั่งนึกอยู่ครู่หนึ่งก็จับก้อนหินก้อนหนึ่งมาอธิษฐาน  บอกกล่าว  แก่พระภูมิเจ้าที่แม่พระธรณีและหมู่เทพทั้งหลาย  พระอินทร์พระพรหมเทวบุตรเทวดาและวิญญาณต่างๆ ต่ำกลางสูงสุดอยู่สานุทิศใดใดก็ดี  ขอให้มาอนุโมทนาก่อสร้างพระเจดีย์ทั้งห้าพระองค์นี้ให้สำเร็จให้ลุล่วงไปด้วยดี  ทั้งมนุษย์ทั้งหลายอุบาสกอุบาสิกาที่มาเกิดแล้วอยู่ในโลกจักรวาลนี้ก็ดีแต่ชั้นต่ำ  ชั้นกลาง  ชั้นสูงสุด  ก็ให้มาโดยศรัทธาของตนเอง  มาช่วยกันก่อสร้างพระเจดีย์ทั้งห้าพระองค์นี้ให้เสร็จเพื่อประจำไว ้ในพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าในพุทธกัปนี้ที่มีอยู่ห้าพระองค์  เพื่อให้เป็นสถานที่เคารพบูชาแก่มนุษย์และเทวบุตรเทวดาวิญญาณต่างๆ   ต่ำกลางสูงสุดจะได้มาเคารพบูชากราบไหว้  จะได้ระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้จำแนกอบรมสั่งสอนศีลธรรมไว้ให้มนุษย์เทวดาอินทร์พรหม  และหมู่มารให้เลิกจากบาป  ให้บำเพ็ญบุญให้มีเมตตาสามัคคีซึ่งกันและกัน  ให้ทำจิตใจของตนให้สงบให้เยือกเย็นเหมือนแม่น้ำมหาสมุทร  อันนี้เป็นพระคุณอันมหาศาลและพระพุทธองค์ยังได้ชี้ ทางมรรคผลนิพพานไว้ให้แก่หมู่เราทั้งหลายชาย-หญิงด้วยฯ

 

               พออาตมานึกกล่าวอธิษฐานในใจจบแล้วก็วางอิฐก้อนนั้นลงเป็นฐานพระเจดีย์ก้อนแรก  พอวางอิฐก้อนนั้นลงถึงดินก็ได้ยินเสียงดังครืนบนฟ้าอากาศเลื่อนลั่น  โดยท้องฟ้าก็แจ่มแจ้งไม่มีก้อนเมฆแต่อย่างใด  อาตมานึกอยู่ในใจว่า  หมู่ท่านทั้งหลายที่เราได้กล่าวบอกนั้นคงจะอนุโมทนาพร้อมกันทุกๆ ท่านถึงได้ให้สัญญาณบนฟ้า  เพื่อเป็นมงคลในทางพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์  เพื่อให้มนุษย์และสัตว์ที่มีกายสังขารที่อยู่ในโลกจักรวาลนี้  และจำพวกที่มีแต่รูปและอรูปที่อยู่ตามภูมิต่างๆ ที่อยู่ใต้น้ำและใต้ดิน  โอปาติกะและคนธรรพ์  กระทั่งอยู่ใต้บาดาลตลอดภูมินรกและโลกันตร์ให้ได้ยินทั่วถึงกัน  เพื่อให้หมู่ท่านเหล่านั้นได้ยินจะได้อนุโมทนาสาธุการ  เพื่อเป็นบุญเป็นกุศลแก่ผู้อนุโมทนากราบไหว้  เพื่อได้ยินเสียงลั่นก้องบนนภากาศ  ในสิ่งที่บอกเล่าอันเป็นบุญเป็นกุศลแก่หมู่เทพทั้งหลาย  ที่ได้รักษามนุษย์และสัตว์ที่อยู่ใต้เขาพระสุเมรุนี้  ให้รู้ทั่วถึงกันพระอินทร์พระพรหมถึงได้ให้สัญญาณบนฟ้าอากาศดังครืนสะเทือนเลื่อนลั่น  ด้วยความอนุโมทนาบุญกุศลแก่ผู้เลื่อมใสในศรัทธาในการก่อสร้างพระเจดีย์  ที่เป็นสัญลักษณ์ไว้แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพุทธกัปแผ่นดินโลกจักรวาลนี้  ให้ได้สืบถาวรต่อไปฯ

 

               อาตมาเป็นผู้นำพาพระภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์-อุบาสก-อุบาสิกา  ยานุศิษย์ทั้งหลายพร้อมเพรียงกัน  อาตมาได้เห็นกับตาได้ยินกับหูด้วยตนเอง  พร้อมหมู่สงฆ์ที่ได้ยินจึงได้จารึกไว้เป็นปรากฏการณ์เพื่อให้ปุถุชนคนเราที่จะเกิดมารุ่นหลัง  จะได้อ่านได้ยินได้ฟังได้เห็น  จะได้เคารพบูชากราบไหว้เพื่อเป็นบุญเป็นกุศลแก่หมู่ท่านเหล่านั้น  และต่อไปหากอาตมาถึงเวลาล่วงลับไปแล้วยานุศิษย์ผู้มีสติปัญญา จะมาแต่งมาเขียนมาเรียบเรียงมาเดามาคาดคะเนเอาก็ต้องผิด  ไม่ว่าในหลักอันใดใดธัมมะปฏิบัติของท่านที่ประสบการณ์มา  ท่านเหล่าใดจะไปรู้กับท่านได้  เพราะเป็นปัจจัตตังจะพึงรู้ได้จำเพาะตนเอง  อาตมาจึงได้เขียนได้เรียบเรียงความที่เป็นจริงไว้ให้ได้รู้ทั่วถึงกัน  ด้วยสิ่งประสบการณ์ด้วยตนเองฯ

 

               ต่อไปอาตมาก็ได้ทำการก่อสร้างองค์พระเจดีย์ทั้งห้าพระองค์ขึ้นพร้อมๆ กัน  วางฐานล่างขององค์พระเจดีย์  กว้าง 8 ศอก  ยาว 8 ศอก เป็นฐานที่รองรับพระเจดีย์ทั้งห้าพระองค์มีความสูง 1 เมตร 50 เซนติเมตร  มีดอกมณฑาทิพย์  ดอกฟักทิพย์  ดอกบัวทิพย์  เรียงรายรอบๆ ฐานของพระเจดีย์ทำไปตามบุพนิมิต  ไม่ได้เอาแบบแผนผังมาจากที่ใดในโลก  ทำไปตามนิมิต  พอทำแท่นใหญ่เสร็จแล้วก็วางฐานพระเจดีย์ห้าฐาน  เว้นช่องตรงกลางแต่ละฐานไว้และมีฐานพระพุทธรูปปางประทับยืนอีกสี่ฐาน  เว้นช่องตรงกลางฐานไว้เช่นกัน เพื่อญาติโยมจะได้ฝังทรัพย์สินเงินทองเพชรนิลจินดาพลอยต่างๆ ตามเกิดตามมีของศรัทธาญาติโยมฯ

               อยู่ต่อมาวันหนึ่งในเวลาอาหารเพล  พระภิกษุ-สามเณรุ-ชีพราหมณ์หยุดพักฉันผลไม้กันอยู่ซึ่งอยู่ห่างจากฐานพระเจดีย์ประมาณห้าวา  ขณะนั้นก็มีเด็กรุ่นๆ อายุประมาณสิบกว่าปีสามคน  ชายหนึ่งหญิงสองเดินไปเดินมาอยู่บนแท่นฐานพระเจดีย์  แต่ไม่เห็นตอนที่เดินมา  มาเห็นตอนที่อยู่บนแท่นเจดีย์แล้ว  เห็นเดินดูช่องที่เว้นไว้ตรงกลางตามแท่งฐานที่ทำเป็นช่องๆ ไว้  อาตมาก็มองดูอยู่มิได้ขาดสายตา  เพราะกลัวว่าเด็กทั้งสามนั้นจะล้วงเอาทรัพย์ของญาติโยมที่เอามาใส่ไว้ในช่องนั้นก่อนหน้านี้  และเด็กสามคนนั้นก็ไม่พูดไม่คุยกันให้ได้ยินเสียงแต่อย่างใด  ทัศนะรูปร่างหน้าตา  ทั้งชายและหญิงรูปร่างเหมือนๆ กัน  สูงต่ำดำขาวเหมือนกัน  สวมใส่เสื้อผ้าก็เหมือนๆ กัน  อาตมาเฝ้ามองดูอยู่จนอาตมาฉันผลไม้เสร็จและล้างปากล้างมือแล้วก็เอาหมากมาฉัน  พออาตมาลุกจากที่นั่งเด็กทั้งสามคนนั้นก็ลงจากฐานพระเจดีย์เดินไปทางทิศใต้ตรงที่วิหารอาตมาก็มองตามไป  แต่พอไปถึงตรงวิหารนั้นก็หายไปไม่เห็นว่าไปทางไหน  อาตมาถึงคิดเฉลียวใจขึ้นด้วยตนเอง  จึงถามชีเล็ก (หัวหน้าชีในวัด) ว่า  เล็กๆ เด็กสามคนเมื่อกี้นี้เรารู้ไหมว่าเด็กที่ไหน  ชีเล็กตอบว่าไม่รู้  อาตมาก็เดินตามออกมาถามพระภิกษุ-สามเณรซึ่งอยู่ด้านหน้าว่า  หมู่ท่านเห็นเด็กสามคนเดินมาที่นี่ไหม  ท่านก็ตอบว่าไม่เห็น  อาตมาก็แปลกใจเพราะบริเวณที่วัดก็โล่งๆ แต่ไม่มีใครเห็นมันก็น่าแปลกจริงๆ ฯ

 

               อยู่ต่อมาในตอนเย็นสามเณรอุทัยได้ขึ้นไปดูตามช่องของแท่นฐานนั้น  ซึ่งแท่นพระเจดีย์มีห้าแท่น  แท่นพระพุทธรูปอีกสี่แท่น  รวมกันเป็นเก้าแท่นมีช่องตรงกลางประจำอยู่ทุกๆ แท่น  สามเณรอุทัยก็ไปตรวจดูทุกๆ แท่นก็ไปเห็นมีอยู่แท่นหนึ่งในช่องตรงกลางนั้นเป็นแสงสว่าง  ด้วยความสงสัยสามเณรอุทัยจึงเอาลวดลงไปเกาะขึ้นมาดูพร้อมกับพูดขึ้นว่าอันนี้มันคืออะไรมันมีแสง  อาตมาก็ขึ้นไปบนแท่นไปดูด้วยกัน  แต่อาตมามิได้จับดู  อาตมาได้บอกสามเณรอุทัยให้ยกขึ้นมาให้อาตมาดู  เป็นวัตถุรูปนกยูงที่ทำด้วยทองคำ  มีแท่นโค้งเหมือนดวงจันทร์ครึ่งซีกมีชนิดเป็นเม็ดๆ ฝังไว้ตามแท่นเก้าเม็ด  แต่ละเม็ดมีสีแสงระยิบระยับพราวไปหมด  สะท้อนสายตาเราเหมือนสายรุ้ง  ในตอนนั้นอาตมาก็ไม่รู้จักไม่รู้ว่าอะไร  เพราะไม่เคยเห็นมาแต่ก่อนก็เลยไม่รู้ว่าเป็นอะไร  อาตมาถึงได้ถามสามเณรอุทัยว่าด้านหลังรูปนกยูงนั้นมันมีเข็มใช่ไหม  สามเณรตอบว่าใช่  อาตมาจึงบอกให้สามเณรว่าลองจับหักไปหักมาลองดูซิ  สามเณรก็จับหักไปหักมามันก็ไม่หัก  อาตมาถึงได้พูดกับสามเณรอุทัยว่า  ถ้ามันไม่หักมันก็เป็นทองคำละสิ  ให้เอาไปไว้ในช่องอย่างเดิมเสีย  สามเณรก็เอาใส่ไว้อย่างเดิม  พอถึงรุ่งเช้าวันใหม่มีโยมเถ้าแก่จากกรุงเทพฯ ซึ่งไปหาซื้อเพชรพลอยมาจากจังหวัดจันทบุรีแล้วแวะเข้าไปหาอาตมา  มาด้วยกัน 5 โยมในเวลาประมาณเที่ยงวัน  ซึ่งอาตมาพร้อมด้วยภิกษุสามเณรและหมู่ชีนั่งพักผ่อนกันอยู่  โยมก็เข้าไปหาอาตมาๆ ก็ถามว่าโยมมาแต่ทางไหน  โยมตอบว่ามาแต่จังหวัดจันทบุรี  อาตมาก็ถามว่าโยมไปหาอะไรกัน  โยมตอบว่าไปซื้อเพชรพลอย  อาตมาก็นึกขึ้นได้ว่าที่เราเห็นอยู่ในช่องแท่นฐานพระเมื่อวานนี้จะเป็นอะไรกันแน่  อาตมาจึงได้บอกสามเณรอุทัยไปเกาะเอานกยูงที่ในช่องแท่นฐานพระนั้นมาให้โยมดูซิว่าเป็นอะไรแน่  สามเณรก็ไปเกาะเอาขึ้นมาให้โยมดู  โยมดูแล้วก็พูดขึ้นว่า…หลวงพ่ออันที่เป็นเม็ดๆ 9 เม็ดนี้มันเป็นเพชรร้อยเปอร์เซ็นต์นี่หลวงพ่อมีอยู่ 9 กะรัต  อาตมาก็ถามโยมอีกว่า…กะรัตหนึ่งมันโตเท่าไหร่  โยมตอบว่า…กะรัตหนึ่งโตเท่ากับรูสตางค์แดงเรานี่แหละ  ที่ 9 กะรัตนี้เม็ดหนึ่งเท่ากับรูสตางค์แดงอยู่แล้ว  พอโยมพูดจบว่าเป็นเพชรแท้ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว  อาตมาถึงได้รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นเพชร  ถ้าโยมเถ้าแก่ไม่มาหาอาตมาๆ ก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเหมือนกัน  เพราะไม่เคยเห็นเพชรมาแต่ก่อนๆ เลย  จากนั้นอาตมาได้บอกให้สามเณรอุทัยขึ้นไปบนแท่นพระเจดีย์  อาตมาก็ขึ้นไปด้วยบอกสามเณรให้เอานกยูงทั้งเพชรเก้ากะรัตนั้นใส่ลงไปในช่องแท่นฐานพระ  แล้วอาตมาก็เอาก้อนอิฐมาปิดช่องนั้นด้วยตนเอง  แล้วก็ลงมือก่อสร้างต่อๆ ไปพร้อมด้วยกำแพงและพระเจดีย์ห้าพระองค์  ก่อกำแพงและพระเจดีย์ขึ้นพร้อมๆ กัน  สูงประมาณ 4 วา  เทดาดฟ้ามุงหลังคาเสร็จแล้วก็ต่อยอดองค์พระเจดีย์ขึ้นไปอีกทั้งห้าพระองค์  จากดาดฟ้าคอนกรีตชั้นบนต่อขึ้นไปอีกสูงประมาณ 8 ศอกเศษทั้งห้าพระองค์  ภายในเป็นที่เคารพบูชามีพระพุทธรูปปางต่างๆ นั่งเรียงรายอยู่รอบๆ ที่องค์พระเจดีย์ทั้งห้ามีพระพุทธรูปปางลีลาปิดเรียงรายรอบองค์พระเจดีย์อยู่ทุกๆ องค์ ฯ

 

               ก่อสร้างอยู่ 8 เดือนก็สำเร็จ  ก่อสร้างด้วยฝีมือของพระภิกษุสามเณรชีพราหมณ์ไม่มีช่างมาจากที่อื่นเลย  พอก่อสร้างเสร็จแล้วก็ลงมือผสมสีด้วยตนเอง  พออาตมาผสมสีได้ส่วนมิให้สีหลอกกัน  ทำให้ผสมสะท้อนเข้ากันได้สวยงามพอแล้วก็ให้พระภิกษุสามเณรชีช่วยกันทาระบายสี  อาตมาเป็นผู้นำบอกทุกระยะตามบุพนิมิตที่เกิดขึ้นเห็นขึ้นด้วยจิตใจในนิมิตนั้นก็ทำไปตามๆ นั้นดูแล้วก็สวยงาม  ในตอนกลางคืนถ้าเราเปิดไฟฟ้ามีแสงสว่าง  มองดูยิ่งสวยงามเหมือนเมืองสวรรค์พรหม  มีอีกอย่างหนึ่งเป็นเรื่องน่าคิด  ที่เราคิดไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้ก็อาตมาทำแท่นพระเป็นฐานรองรับพระพุทธรูป ที่เรียงรายรอบฐานพระเจดีย์อยู่ 9 ฐาน  ทั้งบนแท่นใหญ่องค์พระเจดีย์อีก 4 แท่น  รวมเป็น 13 แท่น  อาตมาก็พาพระภิกษุสามเณรชีพราหมณ์ช่วยกันก่อเป็นแท่นขึ้นพร้อมๆ กัน  สำหรับรองรับพระพุทธรูป  กว้างประมาณหน้าตัก 10 นิ้ว 9 แท่น  มีแท่นพระพุทธรูปยืนบนแท่นพระเจดีย์อีก 4 แท่น  สูงประมาณหนึ่งเมตรห้าสิบเซนติเมตร 4 แท่น  อาตมานำพาพระภิกษุสามเณรชีพราหมณ์ช่วยกันทำอยู่  บางท่านก็พูดขึ้นว่า…หลวงพ่อจะทำแท่นพระอะไรออกมากมายอย่างนี้  จะเอาพระพุทธรูปมาจากที่ไหนมาใส่อาตมาก็พูดขึ้นว่า…พวกเราก็ทำขึ้นไว้เพื่อญาติโยม ผู้มีจิตศรัทธาอยากจะสร้างพระพุทธรูปไว้ในพระพุทธศาสนา  ก็จะได้เอาไว้ที่นี้เพื่อเป็นสถานที่สักการบูชาสืบต่อไป  ถ้าพวกเราไม่ทำไว้แล้วในขณะนี้ต่อๆ ไปก็จะทำไม่ได้  เพราะเมื่อพระเจดีย์เสร็จแล้วก็จะมาก่อแท่นอีกไม่ได้  พอพูดกันไปทำกันไปฐานพระทางบนแท่นพระเจดีย์ที่เป็นฐานพระพุทธรูปยืน 4 ปาง  ยังไม่ทันเสร็จเรียบร้อยเลยโยมก็เอาพระพุทธรูปปางลีลาบรรทุกรถไปถึง 4 องค์  อาตมาถึงได้ถามโยมว่ารถนั้นบรรทุกอะไรมา  โยมตอบว่าบรรทุกพระพุทธรูปมาให้หลวงพ่อ  อาตมาก็บอกโยมว่าให้เอาพักไว้ที่สามมุขเสียก่อน  เพราะแท่นยังไม่ทันเสร็จเลย  โยมก็เอาพระพุทธรูปทั้งหมดลงไว้ที่สามมุข (สามมุขหมายถึงชื่ออาคารที่สร้างต่อเชื่อมมากับพระเจดีย์ทางด้านหน้า)  รอคอยแท่นที่ยังทำไม่แล้วเสร็จ  อยู่อีกหลายวันแท่นพระจึงได้เสร็จ  แล้วก็นำอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นไปประดิษฐานไว้อย่างสวยงามทั้งสี่ทิศ  จากนั้นก็ก่อแท่นพระรอบๆ อีก 9 แท่นทำกันอยู่หลายวันเมื่อเสร็จแล้วก็พากันลงมือระบายสี  แต่ยังไม่ทันเสร็จเรียบร้อยดีก็ได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามา  รถก็มาหยุดอยู่หน้าสามมุข  อาตมามองไปเห็นมีโยมมาสี่ห้าโยมพากันเดินเข้ามาหาอาตมา  อาตมาจึงได้ถามโยมขึ้นว่าโยมๆ นั้นรถบรรทุกอะไร  โยมตอบว่ารถบรรทุกพระพุทธรูป 9 ปางมาถวายหลวงพ่อ  อาตมาจึงได้บอกกับโยมว่า  เออก็พอดีกันกำลังทาสีแท่นพระจวนจะเสร็จอยู่แล้ว  โยมผู้มีจิตศรัทธาจงช่วยกันนำพระขึ้นไปประดิษฐานบนแท่นได้เลย  ญาติโยมก็ช่วยกันนำพระพุทธรูปทั้ง 9 องค์ขึ้นสู่แท่นเป็นที่เรียบร้อยเสร็จแล้ว  มองดูไปรอบๆ ก็สวยงามดีเป็นสิริมงคลแก่ผู้เคารพบูชาเป็นอันมาก  นี่ก็เป็นความอัศจรรย์อย่างหนึ่งที่ไม่เคยนึกคิดว่าพระพุทธรูป ท่านจะมาได้เร็วอย่างนี้โดยไม่คาดฝันแต่อย่างใด  อันนี้คงจะเป็นด้วยอำนาจของจิตโดยศรัทธาที่ทำไปตามพุทธบัญญัติโดยถูกต้อง  มิได้ทำไปโดยความโลภ-โกรธ-หลงแต่อย่างใด  ทำไปโดยศรัทธาบารมีของท่านทั่วๆ ไปนั้นเอง  พระพุทธรูปทั้ง 13 องค์ถึงได้มีผู้มีจิตศรัทธานำมา ประดิษฐ์ไว้ที่พระเจดีย์ทั้งห้าพระองค์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานแห่งหนึ่ง  สำหรับผู้ปฏิบัติบำเพ็ญสมณะธรรมบูชากราบไหว้  เพื่อน้อมนึกถึงคุณพระพุทธ-พระธรรม-คุณพระอริยะสงฆ์ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัยของตนสิ่งอื่นๆ จะยิ่งกว่าย่อมไม่มีฯ  

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:25:28

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom