วิปัสสนาธรรม-รัตนแก้วสามประการ คำนำจิตใจ

 

              ตามพระพุทธเจ้าบัญญัติเหตุและผล  ในทางผู้ปฏิบัติชายและหญิง  ผู้ที่จะปฏิบัติในทางวิปัสสนาธรรมกรรมฐาน  ศีล-สมาธิ-ปัญญาในทางสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ต้องให้รับเอารัตนแก้วสามประการนี้เสียก่อนให้เป็นที่พึ่งที่อาศัย  เป็นความรุ่งเรืองเจริญต่อๆ ไปในปัจจุบันและอนาคตตลอดไปจนถึงเท่ากัปแผ่นดิน  ถ้าท่านชาย-หญิงเหล่าใดจะปฏิบัติให้รับเอารัตนแก้วสามประการนี้เสียก่อน  ให้เป็นที่พึ่งที่อาศัยของตนให้มั่นคงต่อไปไม่เสื่อมคลายแล้วถึงปฏิบัติตาม  สายทางวิปัสสนาธรรมกรรมฐานต่อๆ ไปจึงจะได้รับผลอย่างแท้จริงในทางปฏิบัติถึงจะรู้ในทางคุณธรรมพิเศษ  รู้แจ้งในทางธรรมนรก-สวรรค์-นิพพาน  เพราะความเชื่อมั่นในทางรัตนแก้วสามประการนั้นเอง  ให้มีจิตใจฝักใฝ่ยึดมั่นอยู่เสมอๆ ไม่หลงเชื่อในคำพูดของท่านเหล่าใดทั้งนั้น  รัตนแก้วสามประการนั้นก็คือ  ทาน 1 ศีล 1 ภาวนา 1 ให้เป็นที่พึ่งที่อาศัยของจิตใจของเราจนให้เกิดเมตตา แก่ตนและผู้อื่นพร้อมทั้งสัตว์มนุษย์ทั้งมวลที่หลงงมงายๆอยู่  ว่าบุญไม่มีบาปไม่มีหมู่ท่านเหล่านี้หาที่พึ่งมิได้  ไปถือว่าตายสูญไม่มีอะไรทั้งนั้น  ไปนึกไปคิดไปพูดไปฟังไปเดาเอาว่าคงจะเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้โดยคาดคะเนเอาตามอาการนั้นๆ เพราะไม่มีที่พึ่งที่อาศัยในพระรัตนตรัย  เพราะความโง่เขลาของหมู่พวกเหล่านั้น  ทานก็ไม่เอา  ศีลก็ไม่เคารพละในสิ่งที่ชั่ว  ภาวนาที่ระลึกนึกถึงความดีเป็นที่พึ่งก็ไม่เอา  ปัญญาจะเกิดได้มาจากที่ใดกันเล่า  เพราะจิตใจตนขาดจากทาน-ศีล-ภาวนานั้นเองถึงหาที่พึ่งมิได้  ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงต้องมีจิตใจให้อยู่ในทาน-ศีล- ภาวนาเสียก่อนถึงจะปฏิบัติไปได้  ถึงไม่เป็นมิจฉาสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน  เพราะจิตใจเราเต็มเปี่ยมไปด้วยทาน-ศีล-ภาวนาอยู่แล้วมรรคผล ก็จะเกิดตามเรามาในการปฏิบัตินั้นต่อๆ ไป  เอาทาน-ศีล-ภาวนาเข้าสู่จิตใจของตนให้แรงกล้าสามารถละปราศจากได้ในสิ่งรักใคร่ที่มีอยู่ในตน และผู้อื่นเพราะศรัทธาไม่เสื่อมคลายนั่นเอง  ถึงจะเป็นผู้งอกงามในทางพระพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยจิตเป็นผู้เจริญด้วยปิติของตนๆ นั้นเอง  ผู้ไม่มีศรัทธาเชื่อมั่นในรัตนแก้วสามประการแล้วจิตใจก็จะเข้าสู่พระรัตนตรัยไม่ได้  เพราะว่าผู้ปฏิบัติขั้นต้นหรือขั้นแรกจะเริ่มปฏิบัติในทางกรรมฐานวิปัสสนาธรรมหรือสมาธิอันใดๆ ก็ดี  เพื่อให้จิตใจของตนให้เข้าสู่พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  เสียก่อนไม่ใช่หรือ  เมื่อจิตใจผู้ปฏิบัติชาย-หญิงเข้าถึงพระรัตนตรัยได้แล้วความสว่างทางจิตใจก็จะเกิดขึ้นต่อๆ ไป  ในทางปฏิบัติโดยศรัทธารัตนแก้วสามประการนั้นเองไม่ต้องสงสัยอย่าไปนึกคิดว่าตน มีกรรมมีเวรอยู่ปฏิบัติไปไม่ได้ดังนี้  โดยนึกคิดของตนให้เข้าใจผิดไป  โดยคิดให้จิตใจของตนให้เสื่อมขาดจากศรัทธาโดยไม่รู้เหตุและผลนั้นเอง

 

              ต่อนี้เป็นแนวทางยังมีอีกอย่างหนึ่งที่บังเกิดขึ้นแก่มนุษย์และสัตว์ที่มีสังขารอยู่  มันทำให้เกิดมัวเมาเคลิบเคลิ้มหลงใหลโดยไม่รู้สึกตัวทำให้ขาดสติสัมปชัญญะความรู้ตัวเราไปได้  ก็เพราะธาตุที่ดึงดูดซึ่งกันและกันนั้นเอง  เพราะสังขารมนุษย์และสัตว์มีความเป็นอยู่ทุกๆ วันนี้  ก็เพราะมีธาตุไฟ  ธาตุลม  อากาศธาตุ  วิญญาณธาตุ  สี่อย่างนี้แหละมันทำให้ดึงดูดจิตใจของมนุษย์และสัตว์ให้หลงเมาไปตามๆ กัน  ก็เพราะธาตุที่ความเป็นอยู่นั้นเอง  ทำให้หลงไปในสิ่งนั้นๆ  เราต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้ซึ้งถึงธาตุเหล่านี้ก็เพราะว่าปัญญารู้เท่าสังขาร ของมนุษย์และสัตว์ได้เป็นอย่างดี  ที่ธาตุมันทำให้เกิดดึงดูดกันได้นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สัมผัสกันอยู่  เพราะตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง  กายสัมผัสถูกต้อง  ก็ให้เกิดสัมพันธ์กันขึ้นเพราะธาตุที่กล่าวมานั้นเอง  ยังมิใช่ตัณหาอาสวะนะท่านชาย-หญิง  เป็นแต่ธาตุความเป็นอยู่ของมนุษย์และสัตว์เท่านั้น  มันกระทำให้จิตใจหลงใหลไปได้เหมือนกัน  นี้เป็นส่วนหนึ่งในการเคลิบเคลิ้มหลงใหลไปตามธาตุ  พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสปัญญาไว้ให้  ว่าปัญญานี้รู้เท่าสังขารของมนุษย์และสัตว์ได้  เพราะปัญญารู้แจ้งแสงสว่างรู้เท่านานาประการ  แสงสว่างอันใดในโลกนี้จะยิ่งกว่าปัญญานั้นย่อมไม่มี  ธาตุน้ำ-ธาตุดินเป็นนามรูปของสังขารของโดยวัตถุ  ธาตุไฟ-ธาตุลม-อากาศธาตุ-วิญญาณธาตุ  สี่อย่างนี้เป็นสภาวะธาตุโดยมิใช่วัตถุ

 

              ต่อนี้เป็นความหมายในหลักการปฏิบัติในคำว่า สมาธิกรรมฐานสมถะวิปัสสนาอานาปานุสติอันใดใดก็ดี  การปฏิบัติมีอยู่สี่อิริยาบถคือ  ยืน-เดิน-นั่ง-นอน  ก็ได้ให้อิริยาบถเท่าๆ กันได้ดีมาก  การปฏิบัติก็คือกระทำจิตตัวเองนั้นแหละ  จะยืนก็ไม่ใช่  จะเดินก็ไม่ใช่  จะนั่งก็ไม่ใช่  จะนอนก็ไม่ใช่  เพราะมันเป็นอิริยาบถสี่เท่านั้น  มิใช่สมาธิกรรมฐาน-สมถะวิปัสสนา-อานาปานุสติก็หาได้ไม่  ผู้มีศรัทธาในการปฏิบัติที่สนใจให้พิจารณากันให้ถูกต้องตามพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้  ให้รู้ความหมายในการกระทำจิตนั้นทำอย่างไร  ความหมายให้กระทำจิตของตนให้เป็นหนึ่งเท่านั้น  ผู้ปฏิบัติจะรู้ขึ้นด้วยตนเองเท่านั้น  จะเป็นธรรมะก็ไม่ใช่จะเป็นความนึกคิดเดาเอาก็ไม่ใช่ จะเป็นอารมณ์ของจิตก็ไม่ใช่จะเป็นความสว่างของจิตก็ไม่ใช่  จิตเป็นหนึ่งนี้เป็นจิตไม่หวั่นไหวเปรียบได้เหมือนหลักหินปักไว้กลางแจ้งเที่ยงตรงได้แล้ว  ก็ถึงให้พิจารณาในวิปัสสนาภาวนาต่อไป  ถ้าจิตยังไม่เป็นหนึ่งได้แล้วจะฝึกหัดปฏิบัติในทางธรรมพิเศษสมถะนั้นได้อยู่  เพราะเป็นทางโลกิยะธรรมอยู่มิใช่ทางโลกุตรธรรม  ส่วนทางโลกุตรธรรมนี้จะต้องกระทำจิตตน ให้เป็นหนึ่งเสียก่อนถึงจะปฏิบัติไปได้โดยถูกต้องตามปฏิบัติของจิต  เพราะว่าจิตมาอาศัยปฏิสนธิอยู่ในธาตุสังขารของมนุษย์และสัตว์  เพราะว่าสังขารของมนุษย์และสัตว์มีธาตุปรับปรุงสะสมกันอยู่เป็นชั้นๆ สามชั้นด้วยกัน  บางท่านก็ไม่รู้ในธาตุที่นี้เลยก็มีเป็นส่วนมาก  รู้ว่าแต่เป็นมนุษย์และสัตว์เท่านั้นแต่ไม่รู้ว่าอะไรหารู้ได้ไม่  บางท่านก็ว่ารู้แต่ยังไม่รู้ซึ้ง  บางท่านก็รู้ซึ้งแต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  บางท่านก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเหมือนกันแต่ยังไม่รู้เหตุและผล  บางท่านก็รู้เหตุและผลเหมือนกันแต่ยังไม่รู้แหล่งเป็นทุกข์  บางท่านก็รู้ว่าทุกข์แต่ไม่รู้เหตุผลของทุกข์  บางท่านรู้เหตุผลของทุกข์แต่ไม่รู้ทางออกจากทุกข์  บางท่านรู้ทางออกจากทุกข์แต่ยังไม่รู้ในทางพ้นออกจากทุกข์ไปได้  บางท่านรู้ทางพ้นออกจากทุกข์ไปได้ แต่ยังไม่รู้ทางปราศจากทุกข์  บางท่านรู้ทางปราศจากทุกข์ไปได้แต่ยังไม่รู้ทางนิพพาน  บางท่านรู้ทางนิพพานแต่ยังไม่รู้ซึ้งถึงทางนิพพาน  บางท่านรู้ซึ้งถึงทางนิพพานแต่ก็ยังไม่รู้เข้าสู่พระนิพพานได้  บางท่านรู้เข้าสู่พระนิพพานได้แต่ยังไม่รู้เหตุและผลของพระนิพพานได้  บางท่านรู้ในเหตุและผลของ พระนิพพานได้แต่ยังไม่รู้ทางละเว้นปราศจากส่งคืนไม่อาลัยในภพทั้งสามไปได้  บางท่านรู้ละเว้นปราศจากส่งคืนไม่อาลัยในภพทั้งสามไปได้แต่ยังไม่รู้ทำพระนิพพานให้แจ้ง  บางท่านรู้จักทำทางพระนิพพานให้แจ้งแล้ว  ถึงเวลาธาตุทั้งหลายแตกดับแล้ว  ก็ละเบญจขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานเป็นที่พ้นจากทุรกันดารไปแล้ว  ความเกิดเป็นทุกข์  ความแก่เป็นทุกข์  ความเจ็บเป็นทุกข์  ความตายเป็นทุกข์  ไม่มีแก่ท่านชาย-หญิงเหล่านั้นแต่ประการใด (สุขอันใดจะยิ่งกว่าพระนิพพานย่อมไม่มี)

 

              ธรรมเหล่านี้อาตมา  ได้จำแนกออกมาเป็นหลักปฏิบัติจิตใจตามพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้  ให้สาวกชาย-หญิงได้ปฏิบัติตามทางตรงไปแห่งโลกุตรธรรม  ธรรมเหล่านั้นจำแนกไว้  ผู้โง่เกินไปหรือผู้ฉลาดเกินไปหรือผู้รู้มากไป  เป็นผู้วิจิกิจฉาสงสัยในธรรมทั้งปวงอยู่โดยไม่รู้ความจริง  อาตมาถึงได้จำแนกไว้ให้พิจารณาต่อๆ ไป (ผู้มีศรัทธามั่นแล้วไม่มีวิจิกิจฉาสงสัยลังเลในธรรมทั้งปวงแล้วไม่ต้องพิจารณาในธรรมเหล่านี้  ให้นึกถึงความตายที่จะมาถึงตนเป็นเนืองนิตย์  ดูลมหายใจเข้าออกของตน  ให้น้อมนึกเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของจิตใจของตน  ให้ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์หนึ่งไม่มีสองดังนี้ก็ได้  ผู้มีสติปัญญาเดินอารมณ์ของตนเท่านี้ก็พอ  ถึงพระนิพพานได้เพราะไม่มีความสงสัยนั้นเอง)  ธรรมปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน-สมถะวิปัสสนานี้  สำหรับผู้มีวิจิกิจฉาสงสัยลังเลอยู่หรือผู้ที่รู้มากเกินไปหรือผู้ฉลาดเกินไป  ถึงให้พิจารณาปฏิบัติตามสมาธิกรรมฐาน  สมถะวิปัสสนา  ให้พิจารณาตามหลักปฏิบัติข้อใดข้อหนึ่งตามๆ ไปกว่าจะรู้แจ้งในธรรมทั้งปวงถึงขั้นบรรลุธรรมได้  ถึงได้จำแนกธรรมไว้ให้พิจารณาปฏิบัติต่อๆ ไปกว่าจะเกิดปัญญารู้เท่าสังขารได้  ให้พิจารณาหาปัญญาที่จะตัดวิจิกิจฉาความสงสัยลังเลของตนที่มีอยู่ให้ขาดสิ้นไป  จะได้ข้ามโอฆะต่อๆ ไปด้วยปัญญาพิจารณานั้นเอง

 

              ต่อไปนี้เป็นทางปฏิบัติวิปัสสนาธรรมกรรมฐานทางโลกุตรธรรมมีอยู่ 6 ตอนหรือ 6 ระยะ  ทางที่จะเข้าสู่ทางซึ่งพระนิพพานตามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  กำหนดทางไว้ให้ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงมีดังต่อไปนี้

 

              วิปัสสนาภาวนา 1  วิปัสสนาบริกรรม 1  วิปัสสนาพิจารณา 1  วิปัสสนาวิมุตติ 1  วิปัสสนาวิมุติญาณ 1  วิปัสสนาญาณ 1  มีอยู่หกระยะทางที่จะไป  ที่จะอยู่ต่อสายทางให้ถึงที่สุด  คือพระนิพพาน  ก็ให้ปฏิบัติจิตใจของตนให้ตรงไปตามทาง ตามระยะทางที่จะไปขอผู้ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนากับวิปัสสนาบริกรรมคู่กัน  วิปัสสนาพิจารณากับวิปัสสนาวิมุตติคู่กัน  วิปัสสนาวิมุตติญาณกับวิปัสสนาญาณคู่กัน  ท่านเรียกว่าหัวเลี้ยวหัวต่อไม่ให้ขาดระยะติดต่อกันจนถึงท้ายที่สุด  ให้จิตใจเราผู้ปฏิบัติชาย-หญิงเดินเข้าสู่สังขตะธรรม  เข้าสู่ถึงอสังขตะธรรมนิพพาน  ก็สุดปลายทางเท่านั้นไม่มีทางไปต่ออีก

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:25:41

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom