-
โลกุตรธรรมวิปัสสนาญาณเก้า
|
|
-
ต่อนี้เป็นทางปฏิบัติสำหรับผู้มีสติปัญญา
ให้เดินตามทางสายนี้ท่านเรียกว่า
ทางโลกุตรธรรมวิปัสสนาญาณเก้า
ให้ตั้งสติความน้อมนึกได้อยู่เสมอๆ
ด้วยความมั่นใจของตนไม่หวั่นไหว
ให้ตั้งสัมปชัญญะความรู้ตัวอยู่ให้เสมอๆ
ไป
ให้ตั้งปัญญาความรู้เท่าสังขารตนและผู้อื่น
ให้พิจารณา
เดิน-ยืน-นั่ง-นอน
ให้ภาวนาว่า
"อะระหัง
ห้ามมิให้ลิ้นกระดก
ภาวนาอยู่ในใจ
ให้น้อมนึกเอาจิตใจเราเข้าสู่พระรัตนตรัยหนึ่งไม่มีสองอยู่ทางเดียว
ให้นึกถึงความตายที่จะมาถึงสังขารตนอยู่
ให้ดูลมหายใจเข้าออกเป็นเนืองนิตย์
ให้เอาสติปัญญายึดพระนิพพานเป็นอารมณ์
การปฏิบัติดังนี้เป็นทางเข้าสู่พระนิพพานโดยตรงหนึ่งไม่มีสองแต่อย่างใด
ให้ตัดวิจิกิจฉาความลังเลสงสัยที่มีอยู่ในตนให้สิ้นไป
เห็นทางแล้วอย่าไปหาว่ามิใช่ทางอย่างนี้ให้สิ้นไป
ก็จบทางปฏิบัติจะเข้าสู่พระนิพพานด้วยผู้มีสติปัญญาหนึ่งไม่มีสอง
ถึงสุขอันยิ่งๆ
ท่านเรียกว่ารู้จบแล้วนั้นเอง
ความหมายในทางปฏิบัติท่านให้นึกถึงความตายที่จะมาถึงสังขารตนและผู้อื่นนั้น
ผู้ไม่รู้ความหมายก็จะว่าให้นึกถึงความตายกันไปทำไม
ความตายนี้เป็นจุดจบของชีวิตของมนุษย์และสัตว์
เป็นความดับสนิทของสังขารเวทนาไม่มีอีกต่อไปดังนี้ให้รู้กันบ้าง
ผู้ปฏิบัติให้พิจารณาเอาจุดจบของสังขารตนและผู้อื่น
ท่านให้ดูลมหายใจเข้าออกอยู่เนืองนิตย์นั้น
เพราะลมหายใจเข้าออกนั้นเป็นสิ่งไม่ตาย
ลมหายใจนั้นก็คือตัวท่านนั้นเอง
ท่านถึงให้ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์คือ
ให้เอาลมหายใจเข้าออกที่เป็นตัวท่านนั้นยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์
พระนิพพานนั้นเป็นสิ่งจุดจบของลมหายใจเข้าออกของทุกๆ
ท่าน
ผู้ปฏิบัติจิตใจให้ออกจากทุกขเวทนาทั้งปวง
ผู้ปฏิบัติให้รู้จุดจบในการปฏิบัติคือ
ให้ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์นั้นเอง
เป็นขั้นจุดจบลมหายใจเข้าออก
ลมหายใจเข้าออกไม่มาวนเวียนปฏิสนธิในกามภพอีกแล้ว
ไม่จุติอยู่ในภพทั้งสามอีกแล้วต่อไป
ก็เข้าสู่พระนิพพานเพราะผู้ปฏิบัติตามทางอานาปานุสสติ
ผู้ปฏิบัติเอาลมหายใจเข้าออกของตนยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่
สังขารตายสังขารก็จบทุกข์
ลมหายใจยึดพระนิพพานแล้วลมหายใจปราศจากเวทนาแล้ว
ลมหายใจก็สิ้นจบความเศร้าหมองคือ
พระนิพพานนั้นเอง
|
|
-
ผู้ปฏิบัติทั้งหลายผู้มีสติปัญญา
พิจารณาตามธรรมในธรรมที่กล่าวมาแล้วนั้น
ให้ใช้สติปัญญาให้รู้เท่าทันสังขารกาย
เวทนาให้รู้ซึ้งโลกให้รู้ซึ้งธรรม
จบแล้วแปลว่าผู้ปฏิบัติจบสิ้นแล้วไม่มีอีกต่อไป ท่านเรียกว่านิพพานหนึ่ง
นิพพานัง
ปรมัง
สูญญัง ละตัณหาสิ้นเหลืออยู่แต่เบญจขันธ์
คงมีรูปเวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ
เรารู้ซึ้งโลกแล้วเราก็จบภพทั้งสามแล้ว
เราก็ต้องมีเวทนาอยู่เพราะเหตุของสังขารยังอยู่ในโลกนี้
ถึงเมื่อสังขารเขาตายแตกดับไปแล้ว
รูปเวทนาเขาก็ดับความระงับสังขารนั้นเป็นสุข เราละสัญญาที่เป็นเครื่องจำของโลกและภพทั้งสามนั้น
ให้ทิ้งออกไปให้ห่างไกล
อย่าอาลัยในสิ่งเหล่านั้นก็สิ้นจบลง
ท่านเรียกว่านิพพานสองคือ
นิพพานนัง
ปรมัง
สุขัง จบภพจบชาติแต่เพียงเท่านี้
|
|
-
สมบัตินิพพานนั้นสุขแล้วไม่ทุกข์แต่อย่างใด
มีแล้วมิได้พลัดพรากจากไป
สนุกเพลิดเพลินแล้วไม่มีทุกข์และเศร้าหมองแต่อย่างใด
ไม่มีเกิดเป็นทุกข์-ไม่มีแก่เป็นทุกข์
ไม่มีเจ็บเป็นทุกข์-ไม่มีตายเป็นทุกข์แต่อย่างใด
เรียกว่านิพพานสมบัติ
ผู้ปฏิบัติเข้าสู่พระนิพพานแล้วจะได้รับสมบัติอย่างแน่นอนนะท่าน
|
|
-
ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงให้รู้มรรคสี่ผลสี่กันบ้าง นิพพานหนึ่งคือจนก็จนจบแล้ว
ความรวยก็จบแล้ว
กามภพโลกจักรวาลนี้ก็จบแล้ว
ภพทั้งสามก็จบแล้ว
นิพพานหนึ่งสังขารยังอยู่สิ้นสังขารแล้วดับเบญจขันธ์แล้ว
จบแล้วเป็นสุขอย่างยิ่งเรียกว่านิพพานสองไม่มีอีกต่อไป
|
|
-
ต่อนี้อาตมาภาพขอแนะนำสติชาย-หญิงผู้ปฏิบัติทั้งหลาย
ให้ซาบซึ้งถึงธรรมเหล่านี้ด้วย
ให้ประจำจิตเราไว้อย่าลืมเป็นอันขาด
มีมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มาตลอด
สาวกชาย-หญิงเราท่านทุกๆ
วันนี้ต้องมีอุปสรรคนานาประการ
ทั้งภายในและภายนอกส่วนมากเกิดจากมนุษย์ด้วยกันนั้นเอง
เพราะเราอาศัยสังขารของมนุษย์อยู่
ที่มาสร้างบารมีก็เพื่อจะหนีจากหมู่มารให้ได้นั้น
ก็ต้องมีอุปสรรคทั้งดีและชั่ว
ทั้งบุญและบาป เศร้าหมองและเบิกบาน
สิ่งเหล่านี้ต้องมีทุกๆ
ท่านไปกว่าเราท่านจะเข้าถึงอรหันต์ได้
ก็ต้องแย่หนักอยู่ทุกๆ
ท่านนั้นแหละไม่ต้องสงสัยดอกท่าน
พระพุทธเจ้าท่านถึงแนะนำไว้ให้ทุกท่านไปให้มีขันติความอดทน
วิริยะความพยายามคอยเพียรไป
ถ้าถึงฝั่งแล้วก็จะเป็นสุขทุกท่านไป
เวลานี้เราท่านอยู่ในกามตัณหาสาม-โลกธรรมแปดประการต้องลำบากทุกๆ
ท่าน
เราให้นึกอยู่เป็นเนืองๆ
ในธรรมเหล่านี้ทุกท่านไป
มีเหตุผลดีนะท่าน
|
|