ธรรมทางโลกุตรธรรมโดยย่อ

 

              พระศาสดาสัมมนาสัมพุทธเจ้า  ตรัสธรรมของพระองค์ไว้อย่างยอดเยี่ยมสำหรับนักบวชชาย-หญิง  เพื่อมิให้ผิดหวังในทางนักบวชผู้แสวงหาทางที่จะออกจากกองทุกข์ให้สิ้นไป  จะได้ไม่มาวนเวียนเกิด-แก่-เจ็บ-ตายอีกต่อไปแต่อย่างใด  ทางที่จะละเว้นปราศจากนั้นมีดังต่อไปนี้  ขอให้ผู้ปฏิบัติพิจารณาโดยจำเพาะให้มันสั้นๆ อย่าไปนึกคิดให้ยาวต่อๆ ไป  ให้นึกคิดรู้แต่อย่างเดียวคือ  ให้พ้นจากทุกข์อย่างเดียวหนึ่งไม่มีสองไม่มีทางติดต่อนั้นเองๆ

 

               1.  นักบวชชาย-หญิงสมควรให้รู้จักทางของนักบวช  ศีล-สมาธิ-ปัญญา-วิปัสสนากรรมฐานของพระพุทธเจ้า  มีความหมายให้นักบวชชาย-หญิงละออกจากกาม  กามนี้คือความเกิดของมนุษย์และสัตว์นั้นเอง  กามนี้เป็นของชาวบ้านเป็นของผู้ครองเรืองเป็นของผู้มีสามีภรรยา  เป็นของผู้มีลูกมีหลานสืบๆ ต่อๆ กันไป  กามนี้เวียนว่ายเกิดตายอยู่ในภพทั้งสามนี้เรื่อยๆ ไป  จะหาทางสิ้นสุดลงมิได้  กามนี้มิใช่ของนักบวชแต่อย่างใด  ทางนักบวชนั้นมีอย่างเดียวคือหนึ่งไม่มีสองเป็นผู้ออกจากกามบ่อเกิดของสัตว์นั้นเอง

 

               2.  ความกำหนัดแปลว่า  ความผูกพันหรือหน่วงเหนี่ยวจิตใจไว้ให้วนเวียนว่ายเกิดตายในซากศพของมนุษย์และสัตว์  วนอยู่ในภพทั้งสามนี้ไม่มีทางจะสิ้นสุดได้เลยนะท่านนักบวชชาย-หญิง  ความกำหนัดนี้มันเป็นความนึกคิดของคฤหัสถ์  เป็นความนึกคิดของมนุษย์และสัตว์  มันเป็นความนึกคิดของผู้มีสามี-ภารยา  เป็นความนึกคิดของผู้สะสมอยู่แห่งกามคือความเกิด  ความเกิดนี้เป็นทางประกอบทุกข์  เกิดก็เป็นทุกข์-แก่ก็เป็นทุกข์  เจ็บก็เป็นทุกข์-ตายก็เป็นทุกข์ดังนี้  ผู้ปฏิบัตินักบวชชาย-หญิงสมควรละออกจากธรรมเหล่านี้ให้ได้  เพราะมิใช่ทางของนักบวชชาย-หญิงแต่อย่างใด  นักบวชชาย-หญิงให้รู้ไว้ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า  ได้เข้าสู่นิพพานหนึ่งรู้ซึ้งโลกรู้ซึ่งธรรมได้นั้นท่านละจากธรรมเหล่าใด  สาวกชาย-หญิงที่ได้บรรลุอรหันต์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าสู่นิพพานออกมากมายนั้น  ท่านก็แนะนำให้ออกจากกามคือความเกิดนี้หนึ่ง  ท่านแนะนำให้ออกจากความกำหนัดคือความผูกพันหน่วงเหนี่ยวจิตใจไว้นี้อย่างหนึ่ง  นี้เป็นหลักทางของพระอรหันต์  เป็นทางพ้นออกจากกองทุกข์ได้อย่างแท้จริงนะท่านชาย-หญิง  อย่าไปหลงทางกรรมฐาน  โลกุตรธรรมที่เป็นญาณหยั่งรู้ด้วยตนเอง  ที่ละได้แล้วออกได้แล้วรู้ได้โดยจำเพาะตนเองเท่านั้นว่า  หนึ่งไม่มีสองขาดจากติดต่อทางโลกภพทั้งสามนี้ทั้งหมด  เหลือแต่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น

 

               ส่วนสมาธิกรรมฐานอันใดใดก็ดี  ที่เพ่งหรือกำหนดดูรูปนามอยู่นั้นท่านเรียกว่านิมิต  เป็นทางโลกิยะธรรมสมถะกะสินนิมิตสามรูปฌานสี่  เป็นทางโลกิยะธรรมต่างหากนะท่านชาย-หญิง  ให้จำไว้ไม่ต้องไปถกถามกันโดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  อาตมาเขียนแนวทางไว้ให้คงจะรู้ได้ให้ไตร่ตรองดูให้รู้แจ้งด้วย "ทางธรรมโลกุตรธรรมไม่มีนิมิต  ไม่ได้พิจารณารูปนามแต่อย่างใด" เพราะรูปนามมันเป็นของไม่เที่ยง  ท่านหลีกเลี่ยงไปทั้งหมดมิได้หลงงมๆ งายๆ อยู่รูปในนามแต่อย่างใดนะท่านชาย-หญิง

 

               ทางพระอรหันต์ที่จะเข้าสู่พระปรินิพพาน 1-2 นั้นเป็นหน้าที่ของ ศีล-สมาธิ-ปัญญาโดยจำเพาะ  ศีลได้แก่ความปราศจากละเว้น-ส่งคืน-ไม่อาลัยในสิ่งเหล่านั้น  สมาธิได้แก่ความยึดมั่นพระนิพพานเป็นอารมณ์  ปัญญาเหมือนแสงสว่างรู้แจ้งในกองสังขารรูปนามตนและผู้อื่น  ว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยงไม่เอามาพิจารณาเป็นอารมณ์  ปัญญารู้ดับอุปาทาน  กายเวทนาและเบญจขันธ์สิ้นไป  ให้มีแต่แสงสว่างของจิตรูปนั้นเข้าสู่นิพพานต่อไป  ถึงได้เรียกว่า ศีล-สมาธิ-ปัญญา ตลอดมาถึงเราท่านทุกๆ วันนี้  เพราะว่าเป็นทางตรัสรู้ของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระองค์เอง  พระพุทธเจ้าถึงได้เอา ศีล-สมาธิ-ปัญญา ของพระองค์เองมาอบรมสั่งสอน  ผู้อื่นให้รู้แจ้งออกจากกองทุกข์ได้  พระองค์ไปแสดงศีล-สมาธิ-ปัญญาครั้งแรกต่อปัญจวัคคีย์ทั้งห้าฟัง  ปัญจวัคคีย์ได้ฟังแล้วก็ละเว้นตามไปถึงขั้นบรรลุปราศจากกองทุกข์  ได้เป็นพระอรหันต์ตามพระองค์ทั้งหมด  ต่อไปพระองค์ได้ไปแสดง ศีล-สมาธิ-ปัญญา ต่อพวกมนุษย์ชฎิล สามพันสามคน “3,003”  ได้ฟังศีล-สมาธิ-ปัญญาของพระพุทธองค์แล้ว  ก็ละเว้นตามไปถึงความดับกองทุกข์  บรรลุเป็นพระอรหันต์ตามคำสอนของพระพุทธองค์ไปทั้งหมดและก็ยังมี  ท่านหญิงอีกที่ได้ฟังธรรมคำสอน ศีล-สมาธิ-ปัญญา ของพระพุทธองค์แล้วก็พิจารณาละเว้นตามก็ออกจากองทุกข์ได้  บรรลุเป็นภิกษุณีอรหันต์ตามพระพุทธองค์ไปนับเป็นพันเป็นหมื่นๆ  ถ้าเราจะนับมาจากครั้งข้างพุทธกาลมาจนถึงเท่าทุกวันนี้  คงจะมีถึงแสนถึงล้านเรื่อยๆ ไปกว่าจะหมดศาสนาห้าพันปี  เพราะว่าศีล-สมาธิ-ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้ว  ให้ผู้ปฏิบัตินักบวชชาย-หญิงให้เดินตามไปก็จะถึงขั้นบรรลุอรหันต์ได้อยู่  เพราะว่าศีล-สมาธิ-ปัญญาของพระพุทธองค์ยังอยู่  พระโสดา-พระสกิทาคา-พระอรหัต-พะอรหันต์  ก็ต้องมีอยู่เป็นคู่กับศีล-สมาธิ-ปัญญา  พระโสดา-พระสกิทาคา-พระอรหัต-พระอรหันต์ไม่มีแล้ว  ศีล-สมาธิ-ปัญญาของพระพุทธเจ้าจะมีไปได้อย่างไรกันเล่า  ให้เราพิจารณาดูเท่านี้ก็รู้  ไม่ต้องไปถามท่านเหล่าใด  เพราะถ้าเราไปถามถูกผู้ที่มีความโลภ-ความโกรธ-ความหลง  ล่อล่วงแสดงตนเป็นอาจารย์สมาธิกรรมฐานสมถะวิปัสสนาปริวาสกรรมนานาประการ  เพื่อสะสมมิได้เดินตามคำสั่งสอนศีล-สมาธิ-ปัญญาของพระพุทธเจ้าแล้ว  ก็จะพูดตอบท่านว่าในสมัยนี้ไม่มีพระโสดา-พระสกิทาคา-พระอรหัต-พระอรหันต์ดอกท่าน  ผู้มีความโลภ-โกรธ-หลงอยู่ต้องตอบคำถามท่านดังนี้เป็นแน่นอนนะท่าน (ข้อควรจำไว้)  เพราะว่าศีล-สมาธิ-ปัญญานี้เป็นของพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ฯ  

 

               ธรรมมีอยู่สองเหล่า  ธรรมเหล่าหนึ่งเรียกว่าโลกียะธรรมอยู่ในมนุษย์สมบัติ-สวรรค์สมบัติ  มีความโลภ-ความโกรธ-ความหลงอยู่  เรียกว่าสมถะพิจารณารูปนามอยู่  ไปกำหนดจิตเจตสิกตนที่เกิดดับๆ อยู่  ไม่ละเว้นปล่อยวางแต่อย่างใด  เพราะมันเป็นทางธรรมของโลกียะ กรรมกุศลและอกุศล  หลงเวียนว่ายตายเกิดอยู่เพราะกุศลมูลและอกุศลมูล  ที่ผู้ปฏิบัติเห็นรูปนามอยู่นั้นมันเป็นนิมิตรูปนามกุศลมูลอกุศลมูลด้วยกันทั้งหมด  เพราะว่ามันเป็นธรรมปฏิบัติของโลกียะธรรม  ก็ต้องมีนิมิตเห็นรูปนามอย่างนั้นเอง  แต่ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงให้รู้ไว้ก็แล้วกันว่ามันเป็นธรรมเหล่าใด  เราจะได้ไม่ต้องสงสัยในธรรมทั้งปวง  เพราะธรรมมีอยู่สองเหล่าตามพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้นั้น  มันไม่ผิดธรรมไปแต่อย่างใดแต่ให้รู้ว่าเราอยู่ในธรรมเหล่าใดเท่านั้น  จึงจะเหมาะสมแก่เราตามเพศนั้นๆ ได้ถูกต้องดีนะท่านชาย-หญิง  เพราะว่าธรรมโลกียะสมถะนี้เป็นธรรมพิเศษของมนุษย์ที่ได้นับถือสืบๆ กันมา  ธรรมนี้มีมาก่อนพระพุทธเจ้าเพราะเป็นธรรมประจำโลกภพทั้งสามเหล่านี้  เพราะลัทธิอื่นๆ ศาสนาอื่นๆ ได้นับถือกันมาว่าเป็นธรรมศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ชาวโลก  ท่านก็สั่งสอนอบรมกันอยู่ในธรรมเหล่านี้ว่าเป็นธรรมปาฏิหาริย์ศักดิ์สิทธิ์  จริงอยู่เพราะว่าเป็นธรรมให้โลกอาศัยกันอยู่  เป็นธรรมกุศลและอกุศลเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสามโลกนี้  จะหาทางที่จะสิ้นสุดลงมิได้  ธรรมเหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติสร้างบารมีสี่อสงไขยแสนมหากัป  ท่านก็ปฏิบัติตามธรรมเหล่านี้มาก่อนหมู่เราท่าน  จนจบแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ในธรรมพิเศษนี้  แต่มิใช่ธรรมตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแต่อย่างใดนะท่าน (ผู้ปฏิบัติสมควรจะรู้ไว้จะได้ไม่มีการสงสัย)

 

              ธรรมอีกเหล่าหนึ่งนั้นพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์แล้ว  ท่านถึงได้มาตรัสศีล-สมาธิ-ปัญญา  อันเป็นธรรมโลกุตรธรรมเป็นทางเข้าสู่นิพพานต่อไป  ผู้ปฏิบัตินักบวชชาย-หญิงจะปฏิบัติตามธรรมทางโลกุตรธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพื่อจะเข้าสู่พระอรหันต์เข้าสู่นิพพานท้ายที่สุดตามทางของพระพุทธเจ้าไป  ที่ท่านแนะนำถากถางไว้เตียนไว้ดีแล้วผู้รู้จักเดินตามไปมันง่ายๆ ถึงที่สุด  ไม่เหมือนทางธรรมโลกียะธรรมดอกท่าน  เพราะทางโลกียะธรรมนั้นต้องกำหนดบ้าง  เพ่งดูบ้าง  ใช้สัญญาบ้าง  ใช้มโนยิทธิเพื่อจะได้เกิดนิมิตบ้าง  รูปฌานสี่บ้าง  อรูปฌานสี่บ้าง  วิชาสามบ้าง  ดูรูปดูนามตนและผู้อื่นบ้าง  ดูใต้ดินใต้น้ำดูภพดูภูมิต่างๆ บ้าง  ดูได้ร้อยแปดพันประการไม่มีทางที่จะสิ้นสุดลงที่ใด  ได้แก่พิจารณารูปนาม-รูปธรรมนามธรรมเล่นๆ ไปวนเวียนอยู่ในภพทั้งสามนี้เอง  ก็ถูกอยู่เพราะมันเป็นธรรมพิเศษของมนุษย์มันก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น  เพราะมนุษย์ชาย-หญิงท่านต้องการอยู่ในธรรมเหล่านี้  มันถูกนิสัยของมนุษย์ชาย-หญิง  ส่วนทางโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าที่ตรัสเป็นทางพระอรหันต์ไว้นี้  มันง่ายที่สุดสำหรับผู้ที่จะเข้าสู่อรหันต์นิพพานต่อไป  ท่านชาย-หญิงไปได้ทั้งนั้นเพราะเป็นทางละเว้น-ปราศจาก-ส่งคืน  มิให้อาลัยในสิ่งเหล่านั้นตามศีล-สมาธิ-ปัญญา  ที่ท่านอนุเคราะห์ไว้ให้แก่หมู่ชาย-หญิง  ให้วางเสียก็หมดกันเท่านั้นความสงบก็เกิดขึ้น  ความสว่างพระนิพพานก็ขึ้นมาแทนโดยไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด  จบธรรมโลกุตรธรรมโดยย่อยฯ

               อนึ่งผู้ปฏิบัติทั้งหลายชาย-หญิงก็ดีที่หลงผิดทางศีล  ที่หลงผิดทางธรรม   ที่หลงผิดทางสมาธิ  ที่หลงผิดทางกรรมฐานสมถวิปัสสนา  ที่หลงผิดทางปัญญา  ถ้าหลงผิดทางในธรรมเหล่านี้ร้ายนักยิ่งกว่าหลงดงพงไพรไปเสียอีก  เพราะว่าศีลธรรมไม่มีอยู่ในตนนั้นเอง  ผู้ที่ได้เล่าเรียนอบรมได้ยินได้ฟังมามากๆ จำได้หมายรู้ในธรรมที่กล่าวมานี้ก็ดี  เปรียบได้เหมือนผู้เห็นของห้าอย่างในทรรศนะอย่างนั้น  แต่มิได้ดูดดื่มให้มีรสอยู่ในตนแต่อย่างใด  จะไปรู้เหตุและผลมาจากที่ใดกันเล่า  ของห้าอย่างนั้นคือ  น้ำตาล-น้ำผึ้ง-เกลือ-บอระเพ็ด-มะขาม  ห้าอย่างนี้ผู้รู้ก็สักแต่ว่ารู้เห็นก็สักแต่ว่าเห็น  ไม่รู้ว่ารสสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างไรเปรียบได้เหมือนกับ  ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงไม่รู้ว่าเราปฏิบัติอยู่ในธรรมเหล่าใดจะหารู้กันได้ไม่  เพราะไม่รู้ว่าธรรมที่มีอยู่ในตนคือธรรมเหล่าใด  เราก็จะได้ลิ้มรสในธรรมเหล่านั้น  จะหวานเค็มขมขื่นเปรี้ยวอย่างไรเราก็จะรู้รสได้ดี  เราก็จะจัดผสมรสนั้นให้เกิดเป็นยาแก้โรคมนุษย์คนเราได้ไม่ต้องสงสัย  แต่ผู้มีโรค โลภ-โกรธ-หลงอยู่จะยอมรับประทานยาในหมู่เราที่ได้ลิ้มรสที่มีอยู่แล้ว  ท่านจะยอมหรือเปล่าดังนี้ฯ

 

               ดูก่อนผู้ปฏิบัติชาย-หญิงการปฏิบัติเอาจิตใจเรา  ให้เดินตามทางโลกุตรธรรม  ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ในหมู่เราท่านทุกๆ วันนี้  มีอยู่หลักเดียวหรือทางเดียวหนึ่งไม่มีสองคือ  ไม่ต้องการให้จิตใจเราหลงท่องเที่ยวเกิดตายอยู่ในภพทั้งสามนี้แต่อย่างใด  ความนึกคิดของผู้ปฏิบัติต้องมีมูลอยู่อย่างนี้  เพราะผู้ปฏิบัติชาย-หญิงรู้ซึ่งทุกข์ในความเกิดเป็นทุกข์  ความแก่เป็นทุกข์  ความเจ็บเป็นทุกข์  ความตายเป็นทุกข์  เป็นภัยใหญ่มหาศาลเพราะธาตุสังขารกายเวทนานี้เอง  ผู้ปฏิบัติรู้ซึ้งในกองทุกข์ในธรรมเหล่านี้แล้ว  เหมือนสัตว์ถูกคุมขังอยู่จะหาทางออกจากที่คุมขังให้ได้เป็นเด็ดขาด  ผู้รู้ซึ้งอย่างนี้แล้วพอได้ยิน-ได้ฟัง-ได้อ่าน  เดินตาม ศีล-สมาธิ-ปัญญาว่าเป็นทางออกปราศจากทุกข์ได้จริง  จิตใจชาย-หญิงรู้ได้เช่นนี้แล้วก็ปล่อยวางกองทุกข์ได้โดยเด็ดขาด  ล่วงทุกข์ได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ด้วยตนเอง  คือผู้พ้นออกจากความทุกข์ไปแล้วนั้นเอง  ถ้าผู้ปฏิบัติชาย-หญิงรู้ทุกข์ได้เหมือนกัน  แต่สงสัยอยู่ในธาตุสังขารกายเวทนาของตนและผู้อื่นอยู่ว่าเป็นตัวตน  ไม่อยากปราศจากกายสังขารธาตุที่เกิดอยู่ในกามภพโลกนี้  อยากจะนำเอารูปธรรมนามธรรมนี้เข้าสู่นิพพานตามจิตใจตนไปด้วย  มีความนึกคิดอยู่เช่นนี้พระพุทธเจ้าท่านถึงให้สมาธิกรรมฐานห้าไว้  ให้พิจารณาธาตุสังขารกายเวทนาว่าเป็นตัวบุคคลเราเขาหรือเปล่า  ท่านให้พิจารณา  ผม 1 ขน 1 เล็บ 1 ฟัน 1 หนัง 1  ที่เราอาศัยร่างของมนุษย์ชาย-หญิง  ที่เราให้อาหารขบฉันนุ่งห่มกันเวทนาร้อนหนาว  กันเวทนาความละอาย  ให้ธาตุสังขารกายเราท่านอยู่ในทุกๆ วันนี้มันเที่ยงหรือไม่เที่ยง  ท่านถึงให้พิจารณาผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง  ให้ผู้ปฏิบัติรู้เห็นขึ้นด้วนตนเอง  ให้มีความเบื่อหน่ายปล่อยวางได้  รู้ว่าเป็นธาตุทั้งปวงของสัตว์มนุษย์ก็จะปล่อยวางเสียได้  เพราะผู้รู้ทุกข์อริยสัจอยู่แล้วให้พิจารณากรรมฐานห้า  เลิกถอนทิฐิในความเห็นผิดคิดผิดออกจากจิตใจของตนเองได้  ไม่ต้องสงสัยในกามของความเกิดเป็นทุกข์  ตัดความกำหนัดที่จิตใจตัวเองหลงผูกพันหน่วงเหนี่ยวอยู่  ให้ขาดออกจากจิตใจไปก็พ้นจากความเกิด-แก่-เจ็บ-ตายไปเท่านั้น  ความเกิดไม่มีแก่เราความเจ็บตายไม่มีแก่เราอีกแล้ว  ท่านเรียกว่าพ้นไปแล้วนั้นเองฯ  

 

 

              ดูก่อนผู้ปฏิบัติชาย-หญิงท่านเหล่าใดไม่รู้ทุกข์  ไม่เห็นทุกข์ที่กล่าวมานี้  มีความอยากจะประพฤติลองดูในทางโลกุตรธรรมทาง ศีล-สมาธิ-ปัญญา นี้จะรู้แจ้งได้ยากที่สุด  เพราะผู้ปฏิบัติไม่มีมูลความจริงใจนั้นเอง   เลยกลายเป็นผู้ประมาทในตนและผู้อื่นไปเสียทั้งหมดก็ได้  ไปหาว่าพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีมรรคผลดังนี้ก็เป็นได้  เพราะผู้หลงอยู่ในสังขารตนและผู้อื่นไปมองเห็นความหลงของตน  ไปนึกคิดเห็นแก่ปากแก่ท้องเป็นของสำคัญ  ไม่ยอมรับรู้สิ่งอื่นๆ ที่จะเป็นภัยแก่กองทุกข์ที่จะมาถึงตนและผู้อื่นแต่อย่างใด  เพราะความหลงนี้ร้ายนักยิ่งกว่ากองเพลิงนะท่าน  ผู้ปฏิบัติทางโลกุตรธรรมนี้เพื่ออยากรู้อยากเห็นในทางปฏิบัตินี้  แต่เป็นผู้สนใจอยู่ก็ดีถ้าเลื่อมใสในพุทธศาสนาอยู่ก็มีผลเหมือนกัน  แต่ให้เดินตามทางทาน-ศีล-ภาวนา  ก็แล้วกันก็จะมีผลได้    ถ้าไม่เดินปฏิบัติตามทางทาน-ศีล-ภาวนา แล้วไม่มีผลแต่อย่างใดนะท่าน  ผู้ปฏิบัติจะทำจิตใจของตนให้เข้าสู่ ศีล-สมาธิ-ปัญญา ในทางโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้าตรัสไว้นี้  ให้รู้ซึ้งในการเสียสละในการบริจาคทาน 1  ให้รู้จักอันควรละเว้นให้เกิดประโยชน์ขึ้นแก่ตนและผู้อื่น  ให้ละเว้นทั้งกาย-วาจา-ใจ ปราศจากสิ่งที่ชั่ว  ให้ประพฤติสิ่งที่ดีตามศีลสิกขาบท 1  ให้มีความอ่อนน้อมเคารพต่อพระรัตนตรัยน้อมเอามาเป็นที่พึ่งสิ่งอื่นๆ จะยิ่งกว่าย่อมไม่มี  ให้รู้จักกระทำจิตใจของตนให้สงบตามภาวนาพิจารณาให้รู้เหตุและผล 1  ก็จะกระทำจิตใจตนและผู้อื่นให้โลกเจริญรุ่งเรืองไปได้เท่ากัปแผ่นดิน  ผู้รู้เช่นนี้ก็พอจะปฏิบัติตามทางโลกุตรธรรมได้อยู่  เพราะธรรมเหล่านี้จะมาบังเกิดในทางจิตใจให้เหตุและผลรู้ทุกข์รู้สุขรู้บุญรู้บาปได้  จะมาบังเกิดแก่จิตใจของผู้ปฏิบัติเอง  ต่อไปก็จะรู้บ่อเกิดกองทุกข์ได้และก็จะรู้ทางออกจากกองทุกข์ได้ตามพระพุทธเจ้าชี้ทางโลกุตรธรรม  เป็นธรรมละเว้นปราศจากส่งคืนไม่อาลัยในภพทั้งสามนี้แต่อย่างใด  ผู้ปฏิบัติที่ยังไม่รู้กองทุกข์เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย  ขอให้รู้ซึ้งในทางทาน-ศีล-ภาวนา ที่กล่าวมานี้เสียก่อน  ก็จะเกิดมรรคผลขึ้นด้วยตนเอง  ขั้นปัญญานะท่านชาย-หญิงฯ   

 

               ถ้ามีจิตใจเกิดขึ้นเป็น ทาน-ศีล-ภาวนา ได้อย่างเต็มที่แล้วเราต้องการบริจาค  เราต้องใช้สติปัญญาพิจารณาดูก่อน  ที่ไหนเป็นเขตบุญเนื้อนาบุญตามพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้  เขตบุญเนื้อนาบุญนั้นคือ  ภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์ผู้ทรงเพศพรหมจรรย์  ที่เดินตามศีลตามธรรมของพระพุทธองค์  ที่ท่านทรงบัญญัติไว้ว่า  นักบวชชาย-หญิงให้ออกบิณฑบาตโปรดญาติโยม  ใกล้ไกลตามอัธยาศัยในเวลาตอนเช้าอย่าให้ขาดสาย  เพราะว่านักบวชเหล่านี้เป็นผู้ทรงศีลภาวนาของพระพุทธองค์ไว้ให้ถาวรสืบๆ ต่อๆ ไป  ถาวรถึงหมู่เราท่านทุกๆ วันนี้  นักบวชชาย-หญิงต้องอยู่ขอบเขตศีลและธรรมให้ปราศจากโลภ-โกรธ-หลง  ให้ทำจิตใจของตนให้ไปตามศีลธรรม  ให้เลิกละในการพนันขันสู้และกีฬาต่างๆ อย่าเล่นอย่าดูอย่าฟังในการเล่น  เป็นการมอมเมาจิตใจตนและผู้อื่นให้เกิดความโลภ-ความโกรธ-ความหลง  ในการสะสมอยู่ในความกำหนัดมัวเมาอยู่  ผู้เป็นนักบวชชาย-หญิงไม่ควรนะท่านฯ

 

               อนึ่งนักบวชชาย-หญิงที่อยู่ในเพศพรหมจรรย์นี้  ไม่สมควรไปยกมือไหว้คฤหัสถ์  และผู้ครองเรือนที่มีสามี-ภรรยา  มีลูกมีหลานอยู่เด็ดขาดเพราะจะมีโทษอยู่ 2 สถา

 

 

              ข้อ 1  นักบวชชาย-หญิงเป็นผู้ทรงศีลธรรมอยู่ในพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ให้ถาวรสืบๆ ต่อไปนี้  ถ้าท่านนักบวชไปกราบไหว้คฤหัสถ์แล้ว  จะทำให้จิตใจคฤหัสถ์เหล่านั้นขาดจากความเคารพพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทั้งหมด  ขาดจากสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าไปจะเกิดจิตใจวิบัติขึ้น  กระทำให้จิตใจประชาชนดุร้ายกระทำไปต่างๆ  เพราะขาดจากการเคารพศีลและธรรมในสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์  ที่ท่านยกไว้ให้แก่ผู้ทรงเพศพรหมจรรย์ตามลำดับขั้น  ในเขตบุญเนื้อนาบุญของมนุษย์และเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมและหมู่เทพทั้งหลาย  ตลอดหมู่เถรทั้งหลายและเทวพรหมและพรหมโลก  พร้อมด้วยพระยาเวชสุวรรณโน-อสูร-ครุฑ-นาคทั้งมวล  ก็เป็นผู้เคารพกราบไหว้บูชาทำบุญให้บริจาคทาน  แก่ผู้ทรงศีลในทางพรหมจรรย์ชาย-หญิงนี้เอง  ถึงได้เป็นผู้มีเดชยศภาบรรดาศักดิ์  ก็เพราะภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์นี้เอง  ถ้าท่านเหล่าใดไม่เคารพบูชาในทางศีลภาวนาที่เราบริจาคให้ท่าน  ให้แก่สัญลักษณ์ของพระพุทธองค์แล้วศรัทธาจะสูญไปเปล่าๆ  นักบวชพรหมจรรย์ชาย-หญิงก็ดีให้แนะนำอุบาสกอุบาสิกาให้รู้อานิสงส์ทางบุญนี้ด้วย  บ้านเมืองจะได้ร่มเย็นเป็นสุขกันบ้าง  แนะนำให้ญาติโยมทำบุญใส่บาตรแก่หมู่ชีที่ทรงเพศพรหมจรรย์ผู้ทรงศีลแปด-ศีลสิบประจำ  และทรงเพศพรหมจรรย์ตามวัดต่างๆ ที่อยู่ในเขตปัตโตสงฆ์ทางศีลธรรมโดยแท้  ภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์ไปยกมือกราบไหว้คฤหัสถ์แล้ว  ทำให้พุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมขาดจากจิตใจของมนุษย์ทั้งมวลนะท่านทั้งหลาย  อย่าไปถือตามผู้ไม่รู้ไปคอยเอาแพ้เอาชนะอยู่นั้นเอง  จะเป็นศีลเป็นธรรมได้อย่างไรกัน  เพราะผู้อยู่คอยตายจะไปรู้ความหมายของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร  เอาแต่ตนผู้เดียวไม่ดูพุทธศาสนาจะอยู่ถาวรต่อๆ ไปอย่างไรกันบ้าง  รู้แต่พูดว่าศาสนาจะเสื่อมแต่ไม่รู้จักฟื้นฟูนักบวชชาย-หญิง  ในทางเนกขัมมะบารมีพรหมจรรย์ของพระพุทธเจ้ากันบ้าง  แนะนำญาติโยมให้เกิดศรัทธาตามหน้าที่ของตนที่ได้รับเป็นอุปัชฌาย์  หรือครูบาอาจารย์เจ้าวัดที่สำนักสงฆ์ต่างๆ  แนะนำญาติโยมนักปราชญ์บัณฑิตให้เกิดศรัทธา  ให้รู้ศรัทธาในเหตุและผลในทางนักบวชฝ่ายหญิงในทางขบฉัน  เพราะว่าเหล่านี้มาจากภิกษุณีเป็นบุรุษสี่เหล่า  มาตามพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ให้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองถาวรต่อไปได้  อย่าไปเห็นผิดนึกผิดคิดผิดว่าจะชั่วอย่างนั้นว่าจะดีอย่างนี้ ไม่ว่าทางโลกและทางธรรมมนุษย์และสัตว์ชาย-หญิงทิ้งกันไม่ได้  สวรรค์-พรหมทุกๆ ชั้นก็มีชาย-หญิงทิ้งกันไม่ได้  พระนิพพานก็มีทิ้งพระอรหันต์ชาย-หญิงทิ้งกันไม่ได้  ทิ้งได้แต่กิเลส-ตัณหา-อาสวะ-โลภ-โกรธ-หลง เท่านั้น  ชาย-หญิงนี้ทิ้งกันไม่ได้เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว  สิ่งอันใดละได้ท่านให้ละเสีย  สิ่งอันใดที่ละไม่ได้พระพุทธเจ้าไม่ได้ละ  ถ้าเราไปหลงละอยู่ยิ่งละยิ่งมืดเลยเป็นอวิชชา  เป็นผู้ไม่รู้ทางพระนิพพานสวรรค์พรหมนั้นเอง  แนะนำให้โยมทั้งหลายทำบุญใส่บาตรข้าวสุกอาหารในเวลาเช้าถึงเที่ยง  การบริจาคผ้านุ่งห่มยารักษาโรคถวายได้ทุกเวลา "ชี" แปลว่านักบวชท่านหญิงแห่งพรหมจรรย์ศีลแปดเป็นต้นไป  สามารถทำกิเลส-ตัณหา-อาสวะ-โลภ-โกรธ-หลง  ให้สิ้นไปจากสันดานตนไปได้  ถึงซึ่งพระนิพพานได้อยู่ทุกท่า  

 

   

            ถ้าเป็นนักบวชหญิงห้าม  อย่าไปเรียนสอบไล่เหมือนท่านชาย  ยกปริญญาบัตรตราตั้งไม่ได้  ให้ตั้งตนเคารพธรรมคุรุแปดประการ  ให้อยู่อาวาสที่มีปัตโตสงฆ์เสมอๆ ไป  ให้ดูข้อวัตรปฏิบัติให้จำคุรุธรรมแปดประการ ให้ได้ทุกๆคนไป  เพราะเป็นหลักปฏิบัติฝ่ายหญิงโดยจำเพาะ  ให้รักษาจิตใจของตนให้ไปตามศีลและธรรมโดยเคร่งครัดตามอิริยาบถของท่านหญิง  ให้สั่งสอนสตรีฝ่ายหญิงด้วยศิลปศาสตร์มิให้เกี่ยวข้อง กิจการงานต่างๆ อันนี้เป็นการประณีตของนักบวช  ให้อุปถัมภ์บิดามารดาของตนโดยจำเพาะ  เพื่อจะถอนตนและผู้อื่นให้ออกจากกองทุกข์ในความเกิด-แก่-เจ็บ-ตายอันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง  โดยมากที่เข้าใจกันอยู่โดยผิดๆ นั้นก็คือ  ภิกษุสมภารนั้นเองเป็นผู้กีดกันนักบวชฝ่ายหญิง  ไม่ให้ออกบิณฑบาตข้าวสุกตามกิริยาบถนักบวชในทางพุทธศาสนา สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านสอนไว้ดีแล้ว  ทำไมไม่ส่งเสริมไว้ให้ถาวรสืบไป  ภิกษุณีไม่มีแล้วก็จริงอยู่  แต่เหล่าชียังมีอยู่แทนในทุกวันนี้  สมมุติสงฆ์ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่แทนในทุกวันนี้  สมมุติสงฆ์ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่มากมายก็เนื่องมาจากภิกษุท่านชายนั้นเอง  จะให้พิจารณาดูเราจะทำนุบำรุงพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สืบๆ ถาวรต่อไปได้  ก็เพราะบุรุษสี่เหล่านี้เอง  ทุกวันนี้ก็คือภิกษุ 1 ชี 1 อุบาสก 1 อุบาสิกา 1 ล้วนแต่เป็นสาวกในพุทธศาสนาสัมสัมพุทธเจ้าด้วยกันทั้งนั้น  ถ้าขาดบุรุษสี่ไปศาสนาก็จะเสื่อมลงท้ายที่สุดขาดความเลื่อมใสทางนักบวชไป  ศรัทธาก็ตกตามมาโดยไม่รู้สึกตัวกัน  ภิกษุ-สามเณรไม่มี  ชีเป็นนักบวชอยู่ยังดีกว่าไม่มีนะท่าน (ห้ามนักบวชท่านหญิงที่เป็นชีขอนิสัยจากปัตโตสังฆ์แล้วนั้นห้ามไม่ให้สึกเป็นเด็ดขาด  ส่วนที่ให้บวชเป็นพรหมณีเพื่อเป็นบุญกุศลไปดีกว่า  ไปได้มาได้อาจารย์สมภารรับทราบด้วยในข้อนี้) ส่วนดีชั่วนั้นให้พิจารณาดู  จะว่าชายดีหรือจะว่าหญิงดี  ถ้าเราจะว่าท่านหญิงชั่วนั้นเป็นไปไม่ได้  ถ้าว่าชั่วมันก็ต้องชั่วด้วยกันทั้งชายทั้งหญิงนั้นเอง  ถ้าดีก็ต้องดีด้วยกันทั้งชายหญิงนั้นเอง  จะว่าหญิงชั่วฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนะท่าน  เว้นได้แต่จะกลั่นแกล้งกันเท่านั้นถึงจะสามัคคีเข้ากันไม่ได้  โดยจะคอยเอาแพ้เอาชนะซึ่งกันและกัน  นั้นเองถึงเป็นมารผจญ  ถ้าจะเข้าสู่สวรรค์นิพพานด้วยกันแล้วไม่มีขัดที่ตรงไหน  บางสำนักห้ามสตรีท่านหญิงไม่ให้เข้าไปในสถานที่สักการะบูชาพระรัตนตรัยเลยก็มี  ท่านเหล่านั้นจะไปสวรรค์พระนิพพานได้อย่างไรกันเล่า  หมู่ท่านเหล่านี้อยากดีเกินไปกลายเป็นเปรตสัมพเวสีไปไม่มีที่ปฏิสนธิ  จะเกิดอีกก็ไม่ได้จะจุติตามภพตามภูมิสวรรค์นิพพานก็ไม่ได้  เลยกลายไปตามหมู่ลมหมุนไปหมุนมา  จะหาทางพักพิงมิได้เลย-ตามพระพุทธเจ้าบัญญัติในหมู่เปรตทั้งหลาย  เพราะมีจิตใจเกลียดท่านหญิงนั้นเอง  รักก็ติดที่ติดนี้ก็ยังดีกว่าเกลียด  ถ้าเราเป็นผู้ปฏิบัติตามศีล-สมาธิ-ปัญญาของสัมมาสัมพุทธเจ้านี้  ยังไม่สิ้นอาสวะเข้าสู่นิพพานยังไม่ได้  เราก็ยังมีทางเกิดกับท่านหญิงอีกต่อๆ ไปจนสิ้นอาสวะชาติหนึ่งจงได้  เพราะไม่มีความรังเกียจแก่ท่านหญิงแต่อย่างใด  เราท่านเป็นผู้ปฏิบัติต้องสงเคราะห์ท่านชาย-หญิงทั้งหมด  มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในทางพระรัตนตรัยอยู่ที่ไหน  เราท่านผู้ปฏิบัตินี้ต้องนำกาย-วาจา-ใจท่านหญิง-ชายเข้าให้ถึงในสถานที่นั้นๆ อยู่เสมอๆ ไป  พระนิพพานนั้นไปได้ทั้งท่านชายและท่านหญิงนะท่านไม่ต้องสงสัยแต่อย่างใด  ชาย-หญิงนี้ดีก็ดีด้วย  ชั่วก็ชั่วด้วยกันนั้นแหละ  จะเข้าสู่พระนิพพานก็ต้องไปทางเดียวกันนั้นแหละ จะเข้าสู่พระนิพพานก็ต้องไปทางเดียวกันนั้นแหละ มีทางสายเดียวหนึ่งไม่มีสองไปได้แต่อย่างใด  จบข้อคิดพิจารณาแต่เท่านี้

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:26:41

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom