หลักสมาธิโลกุตรธรรม 

 

              อาตมาภาพ  อนํคโณ  ภิกขุ  จะบอกทางให้พิจารณา  ในหลักสมาธิในโลกุตระ  ให้เกิดปัญญารู้เท่าสังขารตนและผู้อื่นได้โดยเร็ว  ตัณหารวมเป็นส่วนใหญ่คือ โลภ-โกรธ-หลง  สามอย่างนี้แหละเป็นสิ่งนำจิตใจวิญญาณเราท่านชาย-หญิงให้เวียนว่ายตายๆ เกิดๆ อยู่ไม่มีสิ้นสุด  เราให้พิจารณาละออกไปเสียอย่าอาลัยในสิ่งเหล่านั้น

 

              เราให้พิจารณาเอาศีล-สมาธิ-ปัญญา  ให้เข้ามาประจำจิตใจเราไว้ให้ครบถ้วน  ถึงเมื่อสังขารเราแตกดับตายจากโลกนี้ไปแล้ว  ศีล-สมาธิ-ปัญญา จะได้นำจิตใจวิญญาณเข้าสู่พระนิพพานต่อไปเท่านั้น  เราก็มิได้กลับมาวนเวียน  เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย  อีกต่อไป  เพราะเราละทิ้งตัณหาไม่มีเชื้อเผ่าพันธุ์  เพราะตัณหาเป็นเชื้อให้เกิดสัมผัสโลภ-โกรธ-หลง  หลงเกิดเป็นมนุษย์และสัตว์ก็มากมาย-หลงไปสวรรค์ก็มากมาย  หลงไปนรกก็มากมายล้วนแต่เวียนว่ายตายเกิดจนไม่มีผู้จะนับได้แล้ว  เพราะตัณหาพาไปไม่หยุดหย่อนเป็นดังนี้ทุกตัวตนชาย-หญิง  เพราะตัณหาโลภ-โกรธ-หลง  เข้าประจำจิตใจวิญญาณอยู่ไม่ให้รู้ทางพระนิพพานนั่นเองฯ

 

              สังขารอันเราท่านชาย-หญิงนั้น  สกปรกยิ่งกว่าอะไร  สิ่งอันใดในโลกจักรวาลนี้  จะสกปรกยิ่งกว่าสังขารนี้ย่อมไม่มี  เพราะตัณหาปกปิดไว้  ไม่ให้รู้ได้ง่ายๆ นะท่านชาย-หญิง  องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้สอนให้พิจารณาในกรรมฐานห้า  อสุภสิบ  ให้ดูในสังขารตนให้ชัดเจน  ให้เห็นว่าเป็นของสกปรกจริง  ให้เกิดความบีฑาเบื่อหน่ายในสังขารที่สกปรกนั้นด้วย  เกิด-แก่-เจ็บ-ตายเป็นทุกข์อย่างยิ่งก็มีอยู่ในที่นั้น  ภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์-ผู้ทรงเพศพรหมจรรย์  ไม่สมควรไปติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น  มันเป็นหน้าที่เราต้องละออกแล้วไม่เป็นสิ่งน่ายินดี  แม้แต่เรายินดีรักสังขารตนและผู้อื่นยิ่งกว่าอะไร  พยายามถนอมไว้ให้อาหารทุกสิ่งทุกอย่าง  เพราะความหลง  หลงประดับประดาในเรื่องให้สวยงาม  เพื่อให้อายุยืนนานถาวรสืบๆ ต่อไป  เพราะความหลงมองเห็นโดยผิดๆ  เพราะความคิดโดยตัณหาพญามาร  หลงอยู่ในกิเลสกามวัตถุกามโดยขาดจากปัญญานั่นเอง  สังขารอาการ 32 นี้ทุกเพศทุกวัยไม่ได้อยู่ในอำนาจปรารถนาท่านเหล่าใดเลย  ท่านชาย-หญิงหลงไปตามตัณหาต่างหาก  สังขารนั้นเกิดขึ้นมาด้วยน้ำ  เติบโตเพราะดินต่างหาก  ถึงมิได้อยู่ในอำนาจท่านเหล่าใดทั้งสิ้นฯ

 

              ผู้ปฏิบัติชาย-หญิง  พิจารณารู้ไม่ทันสังขารตนและผู้อื่น  จะเกิดวิตกวิจารณ์ได้อย่างไรกันเล่า  วิตกวิจารณ์จะเกิดขึ้นได้  ก็เพราะผู้ปฏิบัติพิจารณาจะละสังขารตนและผู้อื่น  อันเป็นที่รักไม่อยากจะพลัดพรากไปเพราะความเคยชิน  ติดอยู่เป็นตัวตนบุคคลเราเขาแห่งโลกกามภพเพราะไม่อยากจากไปนั่นเอง  พอผู้ปฏิบัติเริ่มต้นในกรรมฐานห้า  ศีล-สมาธิ-ปัญญา  เป็นทางตรัสรู้ของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านให้นักบวชผู้ปฏิบัติชาย-หญิงให้รู้ในศีลในเดินตามศีล  ให้ละเว้นตามศีลอย่างแท้จริง  ทางจิตใจก็เกิดห่วงสังขารตนและผู้อื่นขึ้น  วิตกวิจารณ์ก็เกิดขึ้น  เพราะกลัวไปต่างๆ นานา  เพราะความรักสังขารที่เป็นทุกข์เป็นสุขอยู่ที่ผ่านมา  กลัวอยากกลัวหิว  กลัวไปสารพัดพรรณนาไม่ไหว  ท่านถึงได้เรียกว่า  ผู้ปฏิบัติเกิดวิตกวิจารณ์ยังผ่านพ้นไปมิได้  ถ้าผู้ปฏิบัติละในสิ่งที่กล่าวมานี้ได้แล้ว  แปลว่าละวิตกวิจารณ์ได้แล้ว  ปิติความอิ่มใจในศีลที่ตนละเว้นได้ตามสิกขาบท  ศีลไม่ยอมล่วงละเมิดเป็นเด็ดขาด  ความอิ่มใจอยู่คงที่ไม่มีวิตกวิจารณ์อีกต่อไปดังนี้ฯ

 

              ต่อไปผู้ปฏิบัติชาย-หญิงนักบวชทั้งหลาย  ที่มีจิตยึดมั่นในสมาธิพิจารณาต่อไปนี้  ในการปล่อยวางละเว้นในศีลสิกขาบท  ตั้งศีลข้อที่ 1-10 พิจารณาว่าเรามิได้แสวงหาซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นวัตถุกาม  เพื่อมาบำเรอตนและผู้อื่น  เรามิได้รักษาสังขารท่านเหล่าใดด้วยกาม เรามิได้ส่งเสริมท่านเหล่าใดให้ยินดีในกิเลสกามวัตถุกาม  เพื่อเอามาสะสมไว้  รักษาให้ติดอยู่หรือห่วงอยู่   หรือคิดถืออยู่ก็มิได้มีแก่เรา  สิ่งทั้งปวงเป็นของทายกทายิกาผู้แสวงหาด้วยปรารถนาเพื่อมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ  เพราะเป็นผู้แสวงหาอยู่ยึดมั่นถือมั่นอยู่  ก็ต้องรักษาสะสมไว้  สุขบ้างทุกข์บ้างแต่เราละเว้นแล้วตามศีลสิกขาบท  พิจารณาเช่นนี้เห็นแจ้งความเป็นจริงใจของตนอย่างชัดเจน  เรามิได้รักษาอะไรๆ เราละเว้นตามศีลสิกขาบททั้ง 10 ด้วยกาย-วาจา-ใจ  ผู้ปฏิบัติจะมองเห็นสุขบังเกิดขึ้นอยู่ในจิตใจตนของตน  พร้อมด้วยความเอิบอิ่ม  สิ่งอันใดสำหรับกิเลสกาม-วัตถุกามในโลกนี้จะสุขกว่าย่อมไม่มี  ความไม่มีความมิได้รักษา  อันนี้เป็นสุขอย่างยิ่ง  ท่านเรียกว่าละตามศีล  เรียกว่า “บริสุทธิ์” ปาริสุทธิบังเกิดแก่ศีล  มองเห็นด้วยจำเพาะตนบังเกิดจำเพาะตน  เพราะพิจารณาสมาธิดังนี้คือฯ

 

              ต่อไปนี้ผู้ปฏิบัติชาย-หญิง  นักบวชทั้งหลาย  ให้พิจารณาด้วยองค์ปัญญา  พิจารณาด้วยองค์สมาธิติดต่อกันไป  ปัญญาเป็นทางรู้แจ้งรู้เท่าสังขารตนและผู้อื่น  รู้เท่าตัณหาที่ทะเยอทะยานอยากด้วยความหลง  ไม่เกรงกลัวต่อบาป  เห็นแก่ปากกับท้อง  ล่วงศีลสิกขาบทไม่มีความละอายแก่ใจ  เพราะตัณหาพาให้กลัวไปต่างๆ นานาพรรณนาไม่ไหว  นักปฏิบัติพิจารณารู้เท่าทุกอย่างที่กล่าวมานี้  มิได้ติดอยู่มิได้เห็นแก่ปากแก่ท้อง  เหมือนเด็กนักเรียนที่โอ้อวดธรรมวินัย  ใจเป็นเด็กปากเป็นธรรม  เพราะอุปาทานที่จำใจ  แต่ไม่รู้ความละเว้นในศีลและธรรม  ผู้ปฏิบัติขึ้นต่อปัญญารู้เท่าสังขารเลิกละอยู่ทุกเวลา  ละทางกาย-วาจา-ใจ  ในทางบำเรอกาม  เพราะรู้เท่าสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงไม่ถาวร  ย่อมให้เกิดเป็นทุกข์อยู่ทุกขณะทุกเวลา  อยากบ้าง  หิวบ้าง  เสวยอารมณ์เจ็บปวดบ้าง  ชราเป็นทุกข์บ้าง  แตกดับตายไปบ้าง  ปัญญารู้แจ้งนำจิตให้ออกเกิดสัมบีฑา สิ่งรู้แจ้งในความเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย เป็นทุกข์อย่างยิ่ง  มีจิตละออกได้ไม่ติดอยู่ในสังขารเหล่านั้น  ผ่านออกจากสุขจิตเข้าสู่เอกัคตามีจิตเดินทางเดียว  ไม่อาลัยในสังขารตนและผู้อื่น  เกิดสัมบีฑาญานสี่รู้แจ้งว่าสังขารนี้มิใช่ตัวตนบุคคลเราเขาแต่ประการใด  จิตผ่านออกจากเอกัคตาเข้าสู่อุเบกขาเป็นกลางๆ  ไม่เอนเอียงไม่ขึ้นไม่ลงเพราะความสงสัยขาดไปแล้ว  ไม่ยินดีไม่ยินร้ายในสิ่งทั้งปวงสำหรับของโลก  จิตผ่านออกจากอุเบกขาเข้าสู่อุเบกขาญาณต่อไป  อุเบกขาญาณนั้น  คือ  จิตสว่างมองเห็นความเป็นไปของสังขารมนุษย์และสัตว์ที่มีใจครอง  มีวิญญาณครองเป็นสิ่งพูดได้เรียกวิญญาณ  เพราะวิญญาณเข้าอาศัยอยู่วาระหนึ่ง  ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกออกไปจนได้เพราะสังขารไม่เที่ยงผันแปรอยู่ทุกเวลา  รู้เท่าทันว่าสังขารเป็นส่วนหนึ่ง  วิญญาณเป็นส่วนหนึ่ง  สังขารตายแตกดับสูญไปเป็นดินหรือเถ้าถ่านสูญไปเท่านั้น  ถึงได้รู้แจ้งว่าวิญญาณชาย-หญิงนั้น  ไม่ตายและไม่สูญ  ยังเป็นอยู่คงที่และไม่เปลี่ยนแปลง  เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ร่างสังขารเท่านั้น  วิญญาณนั้นเป็นส่วนหนึ่ง  ตัณหาอาสวะเป็นอีกส่วนหนึ่ง  ตัณหาอาสวะเป็นธรรมอันไม่ตาย  เป็นธรรมให้เกิดนึกคิดทางกุศลและอกุศล  บุญบ้างบาปบ้าง  เป็นหน้าที่ของตัณหาอาสวะทั้งสิ้น  วิญญาณเป็นผู้รับเสวยเอาทุกข์และสุข  ในการกระทำดีหรือชั่วในสิ่งเหล่านั้นฯ

 

              ผู้ปฏิบัติมีจิตสว่างเข้าสู่อุเบกขาญาณแล้ว  จะรู้แจ้งในธรรมเหล่านี้อย่างชัดเจน  รูปธรรม-นามธรรมเป็นสิ่งไม่ตาย  คือ จิตเป็นไฟ-เจตสิกเป็นแสง-วิญญาณเป็นรูป  สว่างรู้เท่าสังขารตนและผู้อื่น  รู้เท่าตัณหาอาสวะว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยง  หมุนเวียนอยู่ในกองทุกข์  เกิดตายเกิดตายเปลี่ยนแปลงอยู่ในกองทุกข์  ไม่มีที่สิ้นสุดลงไปได้  ถึงได้รู้ชัดในธรรมเหล่านี้  จะรู้ได้แต่ผู้ปฏิบัติจิตถึงจะรู้ว่า  จิตเป็นไฟ-เจตสิกเป็นแสงไฟ-วิญญาณเป็นรูปสว่าง แห่งไฟทางไปอยู่แห่งสุขที่ไม่มีทุกข์นั้นคือพระนิพพาน  องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านบอกไว้ว่า  สิ่งที่เข้านิพพานนั้นได้คือ  จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน  ไม่ใช่หรือ  ผู้ปฏิบัตินำจิตตนเข้าสู่อุเบกขาญาณได้แล้ว  ก็รู้แจ้งในสัมบีฑาญาณสี่บังเกิดให้รู้แจ้ง  ยกจิตเข้าสู่อุเบกขาญาณได้อย่างเต็มที่ปล่อยวางในภพทั้งสามได้แล้ว  จิตผู้ปฏิบัติก็เข้าสู่สัมปชัญญะ  ปัญญาจิตเข้าสู่ความสงบ  รู้สิ่งที่ไม่ตาย  รู้สิ่งที่เข้าสู่นิพพานอย่างชัดเจนมีอยู่ทุกตัวคน  สิ่งที่เข้าสู่นิพพานนั้นคือจิตออกจากอาสวะได้แล้ว  จิตนั้นใสเหมือนแก้ว  เจตสิกเป็นแสงของแก้ว  วิญญาณเป็นรูปความสว่างของแก้ว  พระนิพพานเป็นขอบเขตของแก้วที่อาศัยอยู่  องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านได้เรียกชื่อไว้ว่า “พระนิพพาน”  ไปได้ทุกตัวคนไม่ท่านชายและท่านหญิง  ทางสายนี้เป็นทางพรหมจรรย์เป็นทางคนๆ เดียวหนึ่งไม่มีสองถึงจะออกจากตัณหาอาสวะได้  ในทางปฏิบัติจิตให้เข้าสู่โลกุตระปัญญา  เป็นทางรู้แจ้งเป็นทางละออกจากตัณหาอาสวะความมืด  ที่ปกปิดคลุมไว้ไม่ให้มนุษย์และสัตว์รู้ทางปฏิบัติโลกุตระปัญญาไปได้  ก็เพราะกามความกำหนัดรักใคร่สังขารตนและผู้อื่นนี้  ทำให้มืดปิดบังจิตที่เป็นไฟไว้  ทำให้นักบวชชาย-หญิงหลงงมงายไม่ให้รู้ทาง  หลงอยู่ในปากและท้องของตนและผู้อื่น  ไม่รู้กระทั่งตนเองว่า  เราเป็นนักบวชทรงเพศพรหมจรรย์แล้ว  สมควรละเว้นอย่างไรบ้าง  อันนี้เป็นทางของนักบวชโดยจำเพาะตน  มิได้ถือตามผู้มีความโลภ  ความโกรธ  ความหลงอยู่  เราเป็นนักบวชสมควรจะแจ้งในทางโลภ-โกรธ-หลงในตนและผู้อื่น  เพราะโลภ-โกรธ-หลงนี้ทางผู้ครองเรือนเป็นพรหมวิหารสี่ ผู้มีลูกหลานสามีภรรยาต่างหาก  ท่านถึงได้สะสมเพราะเห็นแก่ปากและท้องของตนเองและผู้อื่น  บุญบ้างบาปบ้าง  เป็นของทายกทายิกาผู้ครองเรือนต่างหาก  ถ้าเป็นภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์แล้ว  ไม่สมควรจะไปทำเช่นนั้น  เพราะเราเป็นผู้บิณฑบาตเลี้ยงชีวิตอันเห็นชอบ  ถูกต้องตามธรรมตามวินัยพุทธบัญญัติตามศีลสิกขาบท  ไม่ยอมล่วงละเมิดฝ่าฝืนตามคำพุทธบัญญัติ  ให้ละเว้นตามศีลที่พระพุทธเจ้าห้าม  อย่าถือตามบุคคลที่ล่วงละเมิดศีลที่พระพุทธเจ้าห้าม  นักบวชชาย-หญิงต้องทรงเพศพรหมจรรย์ต้องเดินให้ถูกต้อง  ละเว้นตามศีลเป็นทางโลกุตระปัญญา  เธอเป็นนักบวชอยู่ในพระพุทธศาสนา  สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่ควรเป็นผู้ล่วงละเมิดศีลในข้อห้าม 10 ประการ  ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดตามตนไปด้วย  แม้แต่เธอจะสอนท่านเหล่าใด  ก็ต้องเข้าใจผิดธรรมวินัยศีลสิกขาบทไปทั้งหมดไม่ต้องสงสัย  เพราะมนุษย์เกิดมาก็เพราะกิเลสกาม-วัตถุกามไม่ใช่หรือ  นักบวชชายหญิงเข้าสู่เพศพรหมจรรย์แล้ว  ก็ต้องการละออกจากกิเลสกาม-วัตถุกามไม่ใช่หรือ  องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเข้าสู่ปรินิพพานนานแล้ว  พร้อมด้วยหมู่สงฆ์สาวกชายหญิงออกมากมาย  ท่านยังวางสายทางไว้ให้ภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์-อุบาสก-อุบาสิกาเท่าทุกวันนี้คือ  ทาน-ศีล-ภาวนา  เป็นต้น  ทางให้เดินไปได้อยู่ทุกเพศทุกวัยไปได้ทุกท่าน  ท่านยังแปลงทางถนนใหญ่ไว้ให้อีกด้วย  คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา  เป็นทางเกิดปฏิบัติจิต-เจตสิก-วิญญาณ  ทุกเพศทุกวัยให้เดินตามเข้าสู่นิพพานได้ทุกเมื่อ  ไม่ต้องสงสัยนะท่านชาย-หญิงฯ

  

            ปัญญาความรู้แจ้งแห่งโลกโลกุตระปัญญาที่รู้เท่าสังขารทั้งปวงนั้น  สังขารโลกกามภพนั้นเป็นแดนเกิด  จิต-เจตสิก-วิญญาณ  เป็นธรรมอันไม่ตาย  มาปฏิสนธิในร่างสังขารของมนุษย์และสัตว์อยู่ทุกๆ ท่านไม่ใช่หรือ  จิต-เจตสิก-วิญญาณเราท่านชาย-หญิงมิได้ตายหรอกท่าน   เพราะจิต-เจตสิก-วิญญาณ  มิใช่เป็นตัวเกิดจิต  เจตสิกเป็นวิญญาณ  ทำหน้าที่ปฏิสนธิหรือจุติไปตามภพต่างๆ  ส่วนได้รับเสวยทุกข์หรือสุขนั้น  คือกุศลและอกุศลที่ตนกระทำ  สิ่งที่เป็นบุญหรือเป็นบาปโดยการกระทำในสิ่งนั้นๆ  เพราะจิต-เจตสิก-วิญญาณเป็นผู้สั่งหรือนึกคิดให้สังขารกระทำต่างหาก  สังขารมนุษย์และสัตว์  ปรุงแต่งด้วยน้ำเป็นธาตุอาโป 12 พร้อมขึ้นเป็นดินปฐวี 20 รวมกันเป็นธาตุอาหาร 32 ให้เกิดขึ้นเป็นรูปมนุษย์และสัตว์  เกิดขึ้นเป็นรูปต่างๆ กันหญิงบ้างชายบ้าง-ตัวผู้บ้างตัวเมียบ้าง-เล็กบ้างใหญ่บ้างรูปนามต่างๆ กัน  บุคคลบัญญัติก็มี-พุทธบัญญัติก็มี-พระธรรมบัญญัติก็มี  เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในกามหรือนอกกามสำหรับโลกกามภพนี้  สิ่งอันใดเกิดขึ้นเป็นรูปประกอบด้วยนามให้ชื่อว่าสิ่งนั้นว่าชื่อนั้น  สิ่งทั้งหลายที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น  สิ่งอันใดเกิดสิ่งอันนั้นต้องดับ  ต้องแก่ ต้องเจ็บ  ต้องตาย  เศร้าโศกโศกาอุปายาส  ไปตามที่เกิดของเขาในสิ่งเหล่านั้นสูญไป  ส่วนเป็นน้ำเน่าไปสาบสูญไป  ส่วนเป็นของแข็งก็ผุพังกลายเป็นดินดังนี้  บุคคลที่กล่าวว่าตายแล้วสูญไม่มีอะไรเหลืออยู่  อันนี้เพราะรูปนามที่เกิดขึ้นนั้นสูญไปจะกลับขึ้นมาอีกนั้นย่อมไม่มี  ถึงได้เรียกว่าตายแล้วสูญไปดังนี้  เพราะที่ปรุงขึ้นนั้นอันตรธานกลายเป็นดินไป  ผู้ไม่รู้ก็นึกคิดพูดออกมาว่า  ตายสูญไปไม่มีอันใดเหลืออยู่เช่นนี้  ก็เห็นผิดอยู่ไม่รู้ซึ้งเท่าสังขารที่ตายไปแล้วนั้น  มันกลายเป็นดินเถ้าถ่านหารู้เช่น จิต-เจตสิก-รูป-วิญญาณ-นิพพาน  ห้าอย่างนี้เป็นธรรมอันไม่ตาย  เป็นธรรมมาปฏิสนธิอยู่ในสังขารชาย-หญิงในกามภพโลกมนุษย์ต่างหาก  ไม่ว่าชายและหญิงมาปฏิสนธิอยู่ในสังขารชาย-หญิงทุกตัวคนให้รู้กันบ้าง  มิใช่มาเกิดปฏิสนธิอยู่  เพื่อก่อสร้างบุญกุศลบารมีกันต่างหาก  เพื่อแสวงหาความสุขอย่างยิ่ง  แต่ก็ถูกตัณหาพญามารเข้าสนธิ จิต-เจตสิก-วิญญาณ-รูป  ให้ผิดไปตามตัณหาพญามารอาสวะเหล่านั้นเข้ามาปิดบัง  ทำให้จิตติดอยู่ในสังขารว่าเป็นตัวตนว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัยถาวร  เลยเกิดหลงไปตามตัณหาพญามารอาสวะนั้นๆ  เพราะตัณหาพญามารอาสวะทั้งหลายเหล่านั้น  เป็นธรรมอันไม่ตายเหมือนกัน  ถึงได้เข้าสนธิจิต-เจตสิก-วิญญาณ-รูปของมนุษย์และสัตว์  ให้เกิดความโลภ  ความโกรธ  ความหลงอยู่ในกามภพ  ทำให้หลงหมุนเวียนอยู่ในสังขารที่เกิดที่ตายอยู่  เพราะความไม่รู้เท่าสังขารนั่นเอง  สังขารเกิดสังขารต้องตายดับสูญไป  สังขารเป็นสุข  ถ้าจิต-เจตสิก-วิญญาณ-รูป  ออกจากตัณหาพญามารอาสวะได้แล้วเข้าสู่นิพพาน  จิต-เจตสิก-วิญญาณ-รูปก็เป็นสุข  เพราะว่าตัณหาพญามารอาสวะเข้าสนธิพระนิพพานไม่ได้  เพราะไปไม่ถึงนั่นเองฯ

 

              ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงเป็นผู้มีขันติอดทนวิริยะอยู่ในความเพียร  เพื่อจะออกจากตัณหาพญามารอาสวะด้วยวิธีใดใด  ก็ให้เพียรละในการกระทำในสิ่งเหล่านั้น  ให้บรรลุถึงซึ่งพระปรินิพพานได้ในสิ่งอันใดก็ตามดังนี้  เพราะตัณหาพญามารอาสวะทั้งหลายเข้าสนธินิพพานไม่ได้ (ตัณหาพญามารอาสวะโลภ-โกรธ-หลง-ตัณหาเหล่านี้เข้าแทรกแซงสนธิ  จิต-เจตสิก-วิญญาณ-รูป  ให้หลงไปตามตัณหาได้อยู่  ไปไม่ถึงแต่พระนิพพานเท่านั้น  คือสิ่งไม่ตายนั้นคือ  จิต-เจตสิก-วิญญาณ-รูป-นิพพาน ) คือตัณหาพญามารอาสวะ โลภ-โกรธ-หลง  นี้แหละเข้าสนธิจิต-เจตสิก-วิญญาณ-รูป  ให้หลงวนเวียนปฏิสนธิบ้าง ให้ติดตามภพตามภูมิต่างๆ บ้าง  โดยไม่รู้ในธรรมอันเป็นตัณหาเลยรู้กันว่า  ตั้งแต่คนหรือมนุษย์และสัตว์ชายหญิงเท่านั้น  ก็เกิดพอใจรักใคร่ให้หลงว่าเป็นตัวตนที่เห็นได้ชัดเจน  คือสังขารก่อให้เกิดรวมกันเข้าสี่อย่าง  ถึงได้เป็นมนุษย์และสัตว์ให้เห็นด้วยตา  เนื้อก็เป็นสิ่งสัมผัสซึ่งกันและกันอยู่หมู่ท่านก็รู้ได้  ท้ายที่สุดคือธาตุทั้งสี่เป็นสิ่งรวมกันเข้า  ให้เกิดเป็นรูปต่างหากคือ  น้ำ-ดิน-ไฟ  รวมกันอยู่ขณะหนึ่งเท่านั้น  ก็จะแตกอันตรธานไปวันหนึ่งจนได้  เพราะธาตุเหล่านี้เป็นแดนเกิดของสังขาร  ถ้าเกิดมาแล้วก็ต้องดับไปในท้ายที่สุด  ส่วนวิญญาณนั้นเป็นธรรมอันไม่ตาย  มีรูปเหมือนกับชายก็คงเป็นชายอยู่นั่นเอง  ไม่เปลี่ยนแปลง  หญิงก็คงเป็นหญิงอยู่นั่นเอง  ไม่เปลี่ยนแปลงไปได้  เพราะวิญญาณเป็นธรรมอันไม่ตาย  วิญญาณนั้นเป็นนามธรรมมีอยู่ 4 อย่างรวมกันอยู่คือ  จิต 1  เจตสิก 1  ปัญญา 1  ธรรม 1  รวมกันห่อหุ้มเป็นรูป  เรียกว่าวิญญาณเป็นรูปอสังฆตธรรม  คือธรรมอันไม่ตายนั่นเอง  เมื่อผู้ปฏิบัติละออกจากตัณหาอาสวะ  โลภ-โกรธ-หลง ได้แล้ว  รูปที่กล่าวมานี้แหละจะเข้าสู่พระนิพพาน  ไม่มาปฏิสนธิในภพในภูมิอีกต่อไปฯ

 

              นี่แหละท่านชาย-หญิงสิ่งเราท่านจะเข้าสู่พระนิพพานก็คือ  วิญญาณที่กล่าวมานี้แหละไม่ต้องสงสัย  ผู้ปฏิบัติจิตในทางสมถะพอจิตเข้าสู่นิมิตได้เต็มที่แล้ว  จะเห็นรูปวิญญาณของตนและผู้อื่นได้เป็นลางๆ  จำได้จำเพาะตนเองในธรรมอันไม่ตายนี้  ขันธมารตัณหาอาสวะ โลภ-โกรธ-หลง ก็มีรูปนามมีรัศมี  ให้ผู้ปฏิบัติจิตในรูปญาณสี่อรูปญาณสี่บังเกิดในจิตแล้ว  จะรู้ได้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้มีรูปมีนามตามพุทธบัญญัติจริง  ไม่มีสงสัยในธรรมเหล่านี้  เรียกว่าเป็นผู้รู้แจ้งทางโลกและทางธรรม  บุญ-บาปในการกระทำของบุคคลนั้นมีจริง  ได้รับจริงในผลดีและผลชั่วตามผู้กระทำในสิ่งนั้น ๆ  

 

อันเกิดแก่เจ็บตายของใครเล่า  

เป็นของเราเพราะว่ามันสามตัณหา  

จงหยิบตรีไตรลักษณ์อันศักดา  

เข้าเข่นฆ่าฟาดฟันให้บรรลัย

 
อนํคโณ  ภิกขุ (ชม) ผู้ให้ธรรมเป็นทาน

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:26:45

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom