วิปัสสนาโลกุตรธรรม

 

               จิตผู้ปฏิบัติเสร็จแล้วนั้น  ต่างกันกับจิตผู้ปฏิบัติเสร็จแล้วมีความนึกคิดมากกว่า  เพราะรู้ซึ้งโลกและรู้ซึ้งธรรม  รู้ในเหตุผลต่างๆ ในทางจิตและใจ  ในทางสัญญาและจิตเจตสิกที่เกิดดับๆ อยู่  เพราะธาตุสังขาร-กาย-เวทนาและเบญจขันธ์  รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณยังมีอยู่  แต่เป็นผู้รู้แจ้งในสัญญานั้นๆ มากกว่าผู้ที่ยังมืดอยู่  เพราะผู้มืดอยู่หลงไปยึดให้จิตตนไปติดอยู่ในสิ่งที่เห็นได้  ได้ยินได้ฟังที่ตนได้ประสบการณ์มาในสิ่งนั้นๆ  ก็ไปยึดให้เกิดเป็นอุปาทานในสิ่งเหล่านั้น  เรียกว่า  ความมืดยังครอบงำจิตใจไว้อยู่  เพราะยังไม่รู้ซึ้งโลกนั้นเอง  ถ้าเรารู้ซึ้งโลกแล้ว  เราก็จะรู้เท่าทันสังขารและวัตถุสังขารนานาชนิด  ว่ามันเป็นไปตามโลกของเขาในภพทั้งสามนี้  จิตใจที่อยู่ในโลกนี้มันก็ต้องเกิดดับๆ อยู่อย่างนี้  โดยธรรมชาติของจิตใจ  ในธาตุสังขารและเบญจขันธ์ยังอยู่.....ให้รู้กันไว้บ้าง  ธรรมที่รู้แจ้งนี้เป็นธรรมทางพระอรหันต์โดยไม่มีอุปาทาน  ถึงได้มีความนึกคิดมากกว่าคนธรรมดาสามัญชน  สติความน้อมนึกได้ก็มากกว่าหลายเท่า  แต่ท่านไม่มีวิตกวิจารณ์ในอุปทานแต่อย่างใด  เพราะว่าโลกกามภพนี้มีความนึกคิดกันอยู่  อย่างนี้ก็รู้เท่าทันทั้งหมด  ในขณะนึกคิดนั้นๆ  ว่าเป็นความนึกคิดของโลกๆ  โลกคือสังขารของมนุษย์เราท่านนี้เอง  จะไม่ให้มันนึกคิดได้อย่างไรกันเล่าฯ

 

               หลักของการปฏิบัติจิตนี้  ต้องกระทำจิตของตนๆ ให้ว่าง-วางเฉย  เอาสิ่งไม่มี  เอาพระพุทธ-พระธรรม-พระอริยสงฆ์  ว่าเป็นสรณะที่พึ่ง.....ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์  ให้พิจารณาอยู่เนืองๆ ไม่ว่าอยู่ในทางพระนิพพานหนึ่ง  หรือพระนิพพานสองก็เช่นเดียวกันฯ

 

               นิพพานหนึ่งนี้เรียกว่า  หนึ่งไม่มีสอง  เรียกว่า “นิพพานัง  ปะระมัง  สูญญัง” แปลว่า  สูญจากการสะสม 1 ละจากความกำหนัด 1 ละจากความคลุกคลีหมู่คณะ 1  ละจากความเป็นมักใหญ่ 1  ละจากความเป็นผู้เลี้ยงยาก 1  ละจากห้าอย่างนี้ได้แล้ว  แปลว่าผู้ปฏิบัติอยู่ในเขตนิพพานหนึ่งเรียกว่า “สูญญัง” คือยังอยู่แต่เบญจขันธ์  คือ  รูปนอก-รูปใน-รูปในรูป 1  เวทนานอก-เวทนาใน-เวทนาในเวทนา 1   สัญญานอก-สัญญาใน-สัญญาในสัญญา 1  สังขารนอก-สังขารใน-สังขารในสังขาร 1 วิญญาณนอก-วิญญาณใน-วิญญาณในวิญญาณ 1  ยังอยู่ห้าอย่างนี้เรียกว่าเบญจขันธ์ยังอยู่  แปลว่าความทุกข์ความรำคาญยังมีอยู่ไม่ต้องสงสัย  ละได้ห้าก็ยังเหลืออยู่ห้าฯ

 

                นิพพานสองนี้เรียกว่า “นิพพานัง  ปะระมัง  สุขัง” มีแต่สุขอย่างเดียว  ความทุกข์ไม่มี  ความรำคาญก็ไม่มีแต่อย่างใด  นิพพานสองคือ  ดับเบญจขันธ์ทั้ง 5 สิ้นแล้ว  จะอยู่เป็นพระอรหันต์ในโลกนี้แต่เพียงวินาทีเดียวเท่านั้นก็เข้าสู่พระนิพพาน  เป็นจบกันเท่านั้น

 

               ผู้ปฏิบัติเสร็จแล้วจิตใจก็เสร็จแล้ว  แต่เมื่อยังครองธาตุสังขารกายเวทนาอยู่ในโลกนี้  เบญจขันธ์ก็ยังมีอยู่  ความทุกข์ความรำคาญใจก็ต้องยังมีอยู่  จึงพิจารณาให้รู้ซึ่งโลกและรู้ซึ่งธรรมว่าอะไรเป็นอะไร  ก็เพราะธาตุสังขารกายเวทนายังไม่ตายนั้นเอง  ความทุกข์ความรำคาญใจถึงต้องมีอยู่เป็นของคู่กับโลก  ถ้าโลกกายสังขารแตกดับเมื่อไร  ผู้ปฏิบัติก็ต้องละออกจากเบญจขันธ์เมื่อนั้น  เรียกว่าพ้นจากทุกข์ไปแล้ว  ภพหน้าภพหลังไม่มีอีกแล้วสิ้นจากทุกข์ทั้งปวงฯ

 

               ยังมีอีกอย่างหนึ่ง  เมื่อสังขารเราท่านยังอยู่เราต้องนึกคิดอยู่เนืองๆ  เราจะบิณฑบาตมาฉัน  เราจะครองห่มผ้าบังสุกุลที่โยมอุบาสกอุบาสิกา  นำมาถวายตามไทยทานต่างๆ เราจะอยู่โคนไม้หรือเป็นที่ญาติโยมสร้างถวาย  เราจะฉันยาดองด้วยน้ำมูตเน่าหรือยาที่ญาติโยมนำมาถวาย  เพื่อกันเวทนานักบวชชาย-หญิงสมควรนึกคิดอยู่เนืองๆ  สิ่งที่จะทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันนั้นมีอยู่ 5 อย่างด้วยกันคือ  อาหาร 1 การนุ่งห่ม 1 เครื่องใช้ 1 ที่อยู่อาศัยไปมา 1  เรื่องโจทย์กันในธัมมะที่ไม่อาจจะตกลงกันได้ 1  ห้าอย่างนี้  นักบวชชาย-หญิงสมควรพิจารณาอยู่เป็นเนืองๆ  เพราะเราอยู่ในโลกนี้  ต้องประสบพบเห็นไม่มากก็น้อย  เป็นเหตุให้เกิดทุกข์และเศร้าใจตนได้เพราะธรรมนอก 5 ประการนั้นเอง  ธรรมนอกที่กล่าวมานั้นเป็นเหตุให้เข้าไปสู่ธรรมในให้เกิดความเศร้าใจ  ให้เข้าไปสู่ธรรมให้เกิดเป็นเวร-รักก็เป็นเวร-เกลียดก็เป็นเวร  ติดต่อกันไปไม่มีทางจะจบลงได้แต่อย่างใด  ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงให้รู้ธรรมนอกด้วย  ให้รู้ธรรมในด้วย  ให้รู้ธรรมในธรรมด้วย  เหตุที่พอใจก็มีเหตุที่ไม่พอใจก็มี  เป็นเหตุให้ธรรมในเกิดขึ้นเข้าสู่ธรรมในธรรม  ถ้าจิตไม่เที่ยงธรรมทั้งหลายก็ไม่เที่ยงเช่นกัน  ธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นหลักเป็นมูลเรียกว่าธรรมนอก  ธรรมทั้งหลายเหล่านี้  ทำให้จิตใจของมนุษย์และสัตว์เวียนว่ายเกิดตายอยู่ในภพทั้งสามนี้ฯ

 

               ยังมีธรรมอีกเหล่าหนึ่ง  ตาเราเห็นหู ได้ยินนี้เป็นธรรมนอก  ตาเห็นเราก็รู้หูได้ยินเราก็รู้  อะไรๆ เราก็รู้เรียกว่าธรรมใน  ให้วางเฉยเสียได้เรียกว่าธรรมในธรรม  นักบวชทั้งหลายสมควรพิจารณาให้รู้แจ้งด้วย  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า...เธอพึงรู้ธรรมนอกด้วย  พึงรู้ธรรมในด้วย  พึงรู้ธรรมในธรรมด้วยว่าเป็นไฉน . ดังนี้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายให้สนใจพิจารณาให้รู้ให้เห็นว่าอะไรเป็นอะไรให้รู้ด้วยฯ

               มนุษย์และสัตว์ที่เกิดมาต้องมีกายเวทนาจิตธรรม  ถ้าเราท่านไม่มาเกิด  กายเวทนาจิตธรรมก็ไม่มี  เพราะกายเวทนาจิตธรรมนี้  เป็นแต่เพียงเหตุผลเท่านั้น  เหตุให้เกิดการกระทำผลเป็นการพลอยรับ  ในการกระทำขึ้นในสิ่งนั้นๆ  เหตุดี-ผลก็ดี  เหตุชั่ว-ผลก็ชั่ว  เพราะความเกิดนั้นเองท่านเรียกว่ามหาสติปัฏฐานสี่  เป็นธรรมก่อให้เกิดของมนุษย์และสัตว์ด้วยมูลต่างๆ  มิใช่ทางของผู้จะเข้าพระนิพพานแต่อย่างใด  มหาสติปัฏฐานสี่กายเวทนาจิตธรรมนี้  เป็นเหตุผลของเกิดพระนิพพานไม่มีเหตุผลของเกิด  เมื่อจะจำแนกไปมากๆ  ก็เกรงว่าผู้ปฏิบัติชาย-หญิงจะเดินผิดทางพระนิพพาน  เพราะไปหลงอยู่ในธรรมมหาสติปัฏฐานสี่  อันเป็นทางมนุษย์และสัตว์เวียนว่ายเกิดตายอยู่  เพราะเหตุผลของความเกิดนั้นเอง  พระนิพพานไม่มีเหตุผลให้เกิดแต่อย่างใดเรียกว่าดับสนิทนั้นเอง  ไม่มีเหตุผลของความเกิดแต่อย่างใด  ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะเหตุดับเพราะเหตุ  ผู้ปฏิบัติให้ดับเหตุนั้นเสีย  ผลจะเกิดขึ้นอีกนั่นย่อมไม่มีนะท่านชาย-หญิง  ให้พิจารณาไปตามทางโลกุตรธรรม  แปลว่าทำทางนิพพานให้แจ้งให้สว่างด้วยตนเอง  เรียกว่าหนึ่งไม่มีสองเป็นทางสายเดียว  เหตุจะเกิดเหตุจะดับก็ไม่มี  มีแต่ความสว่างอย่างเดียว  เหตุจะเกิดจะดับก็ไม่มีฯ

 

               ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งของผู้ปฏิบัติผู้สนใจ  จงพิจารณาในคนๆ เดียวหนึ่งไม่มีสองนี้เสียก่อน  ว่ามันดีอย่างไร  มันสุขอย่างไร   มันทุกข์อย่างไร  จงพิจารณาให้มันรู้ให้มันเห็นเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไร  ให้รู้ซึ้งในตนด้วยถึงจะจำแนกธรรมให้ผู้อื่นฟังได้  ให้รู้แจ้งในเหตุและผลไปตามตนด้วย  อีกอย่างหนึ่งผู้ปฏิบัติสมควรพิจารณาในทางพระนิพพาน  ให้แจ้ง-ให้สว่าง-ให้รู้-ให้เห็นให้ชัดเจน  ว่ามันสุขอย่างไร  สบายอย่างไร มันเพลิดเพลินอย่างไร   ให้รู้แจ่มแจ้งชัดเจนเสียก่อนว่าอะไร  ถึงจะแนะนำบอกทางให้ผู้อื่น  รู้ไปตามความรู้ความเห็นความสุขความสบายได้อย่างแท้จริง  ผู้หลงโลกผู้หลงสังขารตนและผู้อื่นอยู่นี้  เปรียบได้เหมือนคนตาบอด  เราจะนำพาหรือจะจูงไปสักแค่ไหน  ไกลแสนไกลก็ไม่มีแสงสว่างเห็นทางไปได้แต่อย่างใด  คนหลงโลกคนหลงสังขาร  จะไปเห็นทางนิพพานแก่ท่านผู้อื่น  ท่านเหล่านั้นก็ต้องกลับมาถกเราว่า  จะเอาตัวรอดแต่ผู้เดียวไม่ช่วยผู้อื่นเขาเลยดังนี้  หมู่ท่านเหล่านี้ร้ายยิ่งกว่าผู้ตาบอดที่กล่าวมานั้นเสียอีก  เพราะทางนิพพานเป็นทางคนๆ เดียว  ในท่านผู้ปฏิบัติที่ทำทางพระนิพพานยังไม่แจ้ง  ก็ต้องมีจิตใจหวั่นไหวต่อคำพูดของผู้มืดเป็นแน่นอน  เพราะความสามารถของตนยังไม่มี  เว้นไว้แต่ผู้ที่ทำพระนิพพานให้แจ้งแล้วเท่านั้น  ถึงจะไม่หวั่นไหวต่อคำพูดของหมู่ท่านเหล่านั้นแต่อย่างใด  แต่ผู้รู้จากการได้ยินได้ฟังตามคำพูดที่ท่านได้กล่าวมา  หรือได้เห็นได้อ่านตามตำรับตำราที่ตนได้อ่าน  จำได้หมายรู้ว่าพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง  เราก็ไปนึกเอา-เดาเอาไปตามอาการนั้นๆ แต่คนยังมิได้ปฏิบัติพิจารณาให้รู้แจ้งแห่งทางพระนิพพานแต่อย่างใด  ก็เป็นวิจิกิจฉาความสงสัยไม่แน่เป็นความจริงไปได้  อาจหลงไปตามคำพูดของผู้อื่นที่ยังจมอยู่ในตัณหาอวิชชา  ตามหมู่ท่านเหล่านั้นไปเสียก็เป็นได้  เพราะตนมิได้พิจารณาทำพระนิพพานให้แจ้งเสียก่อนนั้นเอง  พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ว่า  พระนิพพานนั้นไปได้แต่ผู้เดียว  เป็นคนคนเดียวดังนี้ฯ

 

               ผู้ปฏิบัติทั้งหลายชายหญิงก็ดี  ที่เราได้ยินได้ฟังมาก็ดี  ให้พิจารณาในทางคนคนเดียวหนึ่งไม่มีสองพรหมจรรย์นี้เสียก่อน  จนจิตใจเราเป็นหนึ่งให้ได้ชัดเจน  ให้รู้ว่าเรานี้เป็นคนๆ เดียวเดินทางสายเดียว-เดินทางจรคนเดียว  ข้ามโลกอุดรเป็นทางเปลี่ยวห่างไกลจากโลกภพทั้งสาม  ผ่านจากถิ่นกันดารด้วยความปราศจากของผู้ปฏิบัติเองทุกๆ ท่าน  มองเห็นเห็นด้วยจิตใจของตนเสียก่อน  ให้รู้แจ่มแจ้งว่าเราเป็นผู้ปฏิบัตินี้เป็นผู้เดินทางคนๆ เดียวอย่างแท้จริง  แม้แต่จะมองหน้ามองหลังก็ตามมิได้พบพานเห็นสิ่งใดใด  เป็นทางว่างห่างไกลเห็นได้แต่ตนผู้เดียว  เหมือนจิตใจเราปราศจากสังขารไปแล้วนั้นเอง  เรียกว่าผู้ปฏิบัติจากตัณหาไปแล้ว  จิตก็ห่างไกลจะรู้ได้ด้วยตนเอง  ท่านเรียกว่าจิตวิเวก  ข้ามจากโลกอุดรเข้าสู่นิพพานธรรมเรียกว่า “สังขตธรรม” เรียกว่าจิตออกจาก “ภังคะ”  คือความห่างไกล  ท่านเรียกว่ามัคคญาณ  เป็นความหยั่งรู้ว่า  นี้เป็นทางคนๆ เดียวหนึ่งไม่มีสอง  จะบังเกิดขึ้นแก่จิตของผู้ปฏิบัติเอง  จะเห็น-จะรู้-จะแจ้งแก่จิตด้วยตนเอง  ถึงได้แนะนำให้จิตผู้ปฏิบัตินักบวชชาย-หญิง  ให้มีสติสัมปชัญญะปัญญาให้รู้แจ้งถึงให้จิตใจของให้ว่างวางเฉย  เอาสิ่งไม่มีมาเป็นที่ตั้ง  ทางสายนี้เรียกว่าเป็นทางคนๆ เดียว  หนึ่งไม่มีสอง  ถึงได้ให้น้อมนึกเอาพระพุทธ  พระธรรม  พระอริยสงฆ์ว่าเป็นสรณะที่พึ่ง  ให้ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์  ให้พิจารณาทางพระนิพพานให้แจ้งให้ชัดเจนด้วยดังนี้  ญาณที่ 1. ก็จะเกิดขึ้นแก่จิตใจ  เรียกว่า “มัคคามัคคญาณ”  นึกรู้ด้วยตนเองว่าหนึ่งไม่มีสองเป็นสุขอย่างยิ่ง  มีจิตน้อมนึกถึงหนึ่งไม่มีสอง  เวลาใดความสว่างก็จะเกิดขึ้นอยู่ทุกขณะ  ญาณที่ 2. เป็นญาณภังคญาณ  มีจิตใจรู้ว่าเราวางเฉยได้แล้ว  เป็นญาณเอกัคคตาญาณ  รู้ในความรู้ว่าปลอดโปร่ง-โล่งเบา  ไม่เศร้าใจแต่อย่างใด  ญาณที่ 3. รู้แจ้งในสิ่งที่ไม่มีว่าเป็นทางสงบได้อย่างแท้จริง  สิ่งอันใดจะสงบยิ่งกว่าความไม่มีนั้นย่อมไม่มี  ญาณนี้เรียกว่า “ญาณวิมุตติญาณ” เกิดขึ้นแก่จิตของผู้ปฏิบัติเอง  ญาณที่ 4. เกิดขึ้นเพราะผู้ปฏิบัติจิตใจน้อมนึกเอาพระพุทธ  พระธรรม  พระอริยะสงฆ์  ว่าเป็นสรณะที่พึ่งสิ่งอื่นจะยิ่งกว่าย่อมไม่มี  เอานิพพานเป็นที่สุดเรียกว่าญาณเก้า  จะรู้พระนิพพานได้อย่างชัดเจน  จิตจะกลับเวียนว่ายเกิดตายนั้นย่อมไม่มี  รู้ได้ด้วยตนเองฯ

 

               ดูก่อนท่านชาย-หญิง  จิตที่ว่างที่นิ่งๆ นั้น  มิใช่สมาธิกรรมฐานวิปัสสนาในทางปฏิบัติ  ศีล-สมาธิ-ปัญญา แต่อย่างใดนะท่านชาย-หญิง  จิตนิ่งๆ นั้นเปรียบเหมือนปลาช่อนตัวใหญ่ที่เขากักขังไว้ในอ่าง  ธรรมชาติของปลานั้นมันก็อยู่นิ่งๆ  จิตของผู้ปฏิบัติชาย-หญิงจะไปกำหนดของตนนั้น  ให้มันนิ่งเหมือนปลาช่อนนั้นมันไม่ใช่ทางสมาธิ  ปลาช่อนกับจิตที่นิ่งๆ นั้น  เปรียบได้เหมือนกันกับปลาช่อนที่ถูกขังอยู่ในอ่างนั้นเอง  ถ้ากระทบทาง ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ เมื่อไหร่  ปลาช่อนที่อยู่ในอ่างนั้นก็จะกระโจนออกจากอ่างไปทันทีทันใด  จิตใจผู้ปฏิบัติชาย-หญิงที่ประสงค์จะให้จิตใจของตนอยู่นิ่งๆ  ก็ต้องเป็นไปเหมือนปลาช่อนที่อยู่ในอ่างนั้นเอง  เพราะความนึกคิดความหวังของตนว่าต้องเป็นไปอย่างนั้น  ถึงเป็นสมาธิกรรมฐานวิปัสสนา  ต้องทำจิตของตนให้นิ่งๆ  อันเป็นความนึกคิดของตัณหาพญามารที่เข้าแทรกแซงจิตใจของมนุษย์และสัตว์อยู่  เขาให้ความเห็นว่าเป็นไปอย่างนั้น  ถ้าไม่เชื่อพิจารณาดูให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  ที่ทำจิตให้นิ่งๆ ก็เหมือนเขาขังปลาช่อนตัวใหญ่ไว้ในอ่างที่มีน้ำพอหล่อเลี้ยงไว้  พอมีคนไปแตะต้องนิดหน่อย  ก็กระโจนออกจากอ่างไปเท่านั้น  ก็จะเดือดร้อนตนเอง  จิตนิ่งๆ นั้นมิใช่จิตสงบนะท่าน  จิตจะสงบนั้นต้องให้จิตเราเดินไปตาม  ศีล-สมาธิ-ปัญญา  เป็นทางตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่พระองค์วางสายทางไว้ให้แก่หมู่เราท่าน  ให้ปฏิบัติเดินตามไปให้ได้  ออกจากทุกข์สมุทัยเข้าสู่นิโรธมรรคเท่านั้น  ท่านจงพิจารณาไปมัคคญาณ  ให้เกิดความรู้แจ้งด้วยปัญญาญาณนิโรธคือความละเว้น  หนึ่งให้ละเว้นออกจากทุกข์สมุทัยให้ได้ 1  สองปราศจาก 1  ให้ปราศจากทุกข์สมุทัยให้ได้ 1  สามให้ส่งคืน 1 ให้ส่งคืนทุกข์สมุทัยให้ได้ 1  สี่อย่าอาลัยในสิ่งเหล่านั้น 1 เราอย่าไปอาลัยในทุกข์สมุทัย 1  ปฏิบัติจิตใจเราให้มีสติความน้อมนึกได้ 1  สัมปชัญญะความรู้ตัวอยู่ 1  ปัญญาที่รู้เท่าทันสังขาร 1  เดินเข้าสู่มรรค (มรรคคือทางศีลสมาธิปัญญานั้นเอง) ผู้ปฏิบัติชายหญิงนักบวชทั้งหลาย  จงกระทำจิตของตนให้ว่าง  ตาเราเห็นเราก็รู้  หูได้ยินเราก็รู้  อะไรๆ เราก็รู้ให้วางเฉย  ให้ยกจิตใจเราเข้าสู่เกาะธรรมคือ  เอาสิ่งไม่มี  ให้เอาพระพุทธ  พระธรรม  พระอริยสงฆ์ว่าเป็นสรณะที่พึ่งของจิตใจเรา  ให้ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์  เป็นสิ่งที่สุดไม่มีอีกต่อไป  ตัวตนของเราท่านคือจิตกับใจนั้นเอง  จิตเป็นไฟ ใจเป็นลม  เป็นความรู้แจ้งในดวงตาเห็นธรรม  เป็นญาณหยั่งรู้  รู้ธรรมอันไม่ตาย  ผู้ปฏิบัติในทางสายนี้ต้องเป็นผู้ละ สักกายะทิฐิวิจิกิจฉา  สีลัพพตปรามาส  ได้อย่างแท้จริงทางปฏิบัติสายนี้  เป็นทางพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์  พร้อมทั้งสาวกภิกษุ-ภิกษุณี  ทุกพระองค์นะท่านชาย-หญิง  เรียกว่าเข้าสู่พระนิพพาน  ในทางพุทธศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้า  คือนิพพานโดยสมบูรณ์ฯ

 

               มนุษย์ชาย-หญิงรูปที่ตายแตกดับไปก็มี  รูปที่ไม่ตายก็มี  รูปที่ตายนั้นคือธาตุสี่ ดิน 1 น้ำ 1 ไฟธาตุ 1 ลมในกองธาตุ 1 รวมกันเป็นรูปชาย-หญิงอย่างเราท่านอยู่ในโลกด้วยกันอย่างในทุกวันนี้เอง  รูปที่ไม่ตายนั้นคือ  ลมหายใจเข้าออก 1 ไฟที่เกิดความนึกคิด 1 จิต 1 เจตสิก 1 สี่อย่างนี้รวมกันเป็นรูป  เรียกว่าเป็นตัวจริงของเราท่านรูปนี้ไม่ตาย  คือรูปที่มาปฏิสนธิอยู่ในร่างกายของมนุษย์อีกต่อหนึ่ง  ท่านเรียกว่ารูปในรูปเป็นตัวตนเขา  รูปนี้ตายไม่เป็น สนธิอยู่ด้วยบุญกุศลที่เรากระทำไว้ดีหรือชั่ว  ติดที่ไหนสนธิที่นั่น  ถ้าไม่ติดก็คือความสุขนั้นเอง  

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:26:48

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom