-
ธรรมสามประการ
|
|
-
หมู่ท่านทั้งหลายชาย-หญิง ธรรมสามประการที่อาตมาจะกล่าวต่อไปคือ
|
|
-
-
1. ธรรมสมาธิกรรมฐานทางโลกียวิสัย
|
|
-
-
2. ธรรมสมาธิกรรมฐานทางโลกียธรรม
|
|
-
-
3. ธรรมสมาธิกรรมฐานแห่งทางโลกุตรธรรม
|
|
-
ธรรมสองประการแรกนั้น
เป็นธรรมของผู้ครองเรือน
ยังเป็นผู้ดำเนินตามตัณหาอยู่
ฝ่ายคฤหัสถ์ก็ต้องประพฤติปฏิบัติตามธรรมเหล่านี้ จึงจะไม่ขัดกับการครองเรือนเป็นความก้าวหน้าทางโลก
ธรรมนี้เป็นธรรมสะสม
เพราะเป็นธรรมของคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนโดยเฉพาะ ต้องอาศัยความรักความใคร่ความกำหนัด ย้อมใจอยู่เสมอไป
จึงจะไม่ขัดแย้งกับการพัฒนาของชาวโลก
|
|
-
ส่วนธรรมข้อที่สามนั้น
เป็นทางแห่งโลกุตรธรรม
เป็นทางของพระภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์ ผู้ทรงเพศพรหมจรรย์
เป็นผู้แสวงหาทางที่จะออกจากกามไม่สะสมกองกิเลส มีความปรารถนาที่จะออกจากความรัก-ความใคร่
ความกำหนัดที่ย้อมใจนั้นให้สิ้นสุดไป
จึงไม่มีความก้าวหน้าในทางโลก
แม้แต่จะมีท่านก็ไม่ยินดียินร้าย
ท่านทำกิจการงานเพื่อทำนุบำรุงไว้ในพระพุทธศาสนา
ให้ถาวรสืบต่อไปเท่านั้น
เป็นผู้ใกล้จะออกจากตัณหาอาสวะทั้งหลาย
จึงได้ชื่อว่า
สมณะผู้ทรงพรต
มนุษย์-เทวดา-มารและอินทร์พรหมถึงได้เคารพกราบไหว้
เพราะท่านที่ได้กล่าวนามมานี้
ไม่มีความสามารถที่จะออกจากตัณหาสามได้เลย ท่านทั้งหลายโปรดเข้าใจ
ตามที่กล่าวมานี้ด้วยว่า
ท่านจะเอาพระธรรม
พระวินัยของพระภิกษุ
สามเณรไปปฏิบัติในครอบครัว
ในสามี-ภรรยานั้นไม่ได้
สำหรับพระภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์
ผู้ทรงพรตก็เช่นกัน
ถ้ายึดถือเอาธรรมของผู้ครองเรือนไปประพฤติปฏิบัติ
ยังคิดอยากเสพความกำหนัดรักใคร่อยู่แล้ว
คงไปไม่รอดเป็นแน่แท้ดังประจักษ์อยู่ในทุกวันนี้ ตัณหานั้นมันรุนแรงมาก
ถ้าท่านไม่คิดที่จะเผามันมันก็ต้องเผาเรา
ทรงเพศมานานแล้ว
ก็ยังต้องลาจากเพศสมณะไป
เพราะอะไรท่านรู้บ้างไหม
สิ่งที่จะแก้ได้คือ
ธรรมปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน
อิทธิปหานทางโลกุตรธรรม
คือทางเจโตวิมุติ
หรือปัญญาวิมุติ
เท่าที่จะทำลายตัณหาสูญสิ้นไปได้
|
|