ผจญปีศาจ

 

                อาตมาจึงออกเดินทางนำหน้าบุกป่าผ่าดงต่อไป โดยให้นายน้อย นายเมฆและนายนุ เดินตามหลังเกรงว่าเขาจะทิ้งอาตมาเสีย ทางเดินเต็มไปด้วยก้อนกรวด ป่าหนาและหญ้ารก แต่ตัวอาตมารู้สึกว่าลอยไปเบาเหมือนสำลี เดินเหยียบย่ำไปก็ไม่รู้สึกเจ็บไม่รู้สึกปวดเลย จนกระทั่งมาถึงโคกด้วน มีน้ำลึกเป็นรูปคลอง นายนุน้องนายเมฆจึงพูดขึ้นว่า ที่แห่งนี้มีจระเข้ทำไมไม่มีรอยลากหาง พอพูดขาดคำก็เห็นรอยขึ้นมาจริงๆ แล้วก็เห็นทั้งสองคน อาตมาได้มองดูเหมือนกันแต่ไม่เห็นและไม่พูด เพราะคนโบราณท่านห้ามว่าเดินป่าอย่าพูดมากและทักทาย อาตมาเดินนำหน้าต่อไปอีกได้ประมาณ 15 วาเป็นบริเวณป่าละเมาะและหญ้าเพ็ก มีกระต่ายตัวหนึ่ง วิ่งสวนมาเลยไปข้างหลัง บุคคลทั้งสามผู้เดินตามจึงมองเห็น ได้วางของแล้ววิ่งขับไปแต่ไม่ทันจึงกลับมา กระต่ายได้วิ่งวนกลับหลังมา จนเลยไปข้างหน้าอีก ชายทั้งสามคนจึงไล่ต้อนไปข้างหน้าอีก จนกระต่ายหายไป พอคนทั้งสามกลับมายกหาบเดินต่อไป กระต่ายได้วิ่งมาอีก ทำอยู่อย่างนี้หลายครั้ง จนครั้งสุดท้ายกระต่ายหนีเข้าไปอยู่ในซอกหิน ถูกคนทั้งสามตีตายหิ้วมาหวังเป็นอาหาร เดินต่อไปอีกครู่ใหญ่ได้ยินเสียงดังครืน อยู่ในป่าข้างทางคล้ายเสียงช้าง ได้ชะงักการเดินทางหยุดอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นจะมีช้างเลย จึงพากันเดินต่อไปอีกจนมาถึงเขารัก ชาวบ้านเรียกว่า ล้มบก ขณะเดินทางจากลาดก่อนถึงพื้นดินประมาณครึ่ง กม. เป็นหนทางลงจากเขารัก อาตมาได้ยินเสียงร้องนายเมฆและนายนุว่า เฮ้ยๆ ใครมาฉุดข้าไว้อาตมาเหลียวไปดู จึงพบว่า สองพี่น้องกำลังตีกรรเชียงว่ายบกล้มลุกคลุกคลาน ยื้อยุดฉุดกันอยู่ ปากร้องว่า ไม่ไหวแล้วๆ อาตมารู้สึกแปลกใจจึงยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้เห็นตัวคนฉุดนายเมฆและนายนุเลย เขาทั้งสองร้องว่ามีคนฉุดอย่างไร อาตมานึกได้ว่าคงเป็นจำพวกปีศาจมาฉุดไว้แน่ กล่าวถึงนายน้อยผู้เป็นพ่อตานายเมฆได้วางหาบลง เปิดห่อข้าวปั้นเป็นก้อนได้แล้ว รีบเดินกลับไปหาคนทั้งสองที่หกล้ม ปากก็พึมพัมฟังไม่ได้ศัพท์เพราะได้ยินเสียงไม่ถนัด โบราณเขาว่า เอาข้าวปั้นไปถ่ายตัวนายเมฆกับนายนุมาจากปีศาจร้ายนั้นเอง ขณะนั้นเวลาบ่ายประมาณ 3 โมง อาตมาจึงบอกกับลุงน้อยว่าลุงๆ ฉันไม่ค่อยสบายจะขอเดินไปก่อน รอพบกันที่บ้านนายป๊อก เดินไปได้อีก 1 กม. ครึ่ง ก็ถึงบ้านนายป๊อก รู้สึกจับไข้ขึ้นมาทันที ได้ร้องขอให้แม่ยายนายป๊อกต้มน้ำร้อนใส่ใบตะไคร้มาให้ เมื่อได้น้ำร้อนแล้ว ก็รับประทานกับยาทันใจนอนหลับไป ประมาณ 1 ชั่วโมงตกใจตื่นขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงร้องของนายเมฆและนายนุว่า ไม่ไหวเสียแล้วๆ กลับบ้านไม่ถึงแน่แล้วขอพักที่นี่สัก 1 คืนก่อนเถิด อาตมาได้ยินจึงพูดว่าพักไม่ได้ พวกท่านไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ฉันเป็นคนเจ็บป่วยจะขอกลับในวันนี้ให้จงได้ ถ้าไม่มีใครกลับ ฉันจะกลับคนเดียว พูดแล้วจึงลาเจ้าของบ้านออกเดิน เพราะเวลานั้นประมาณ 17 นาฬิกาแล้ว หนทางจะกลับบ้านก็อยู่อีกประมาณ 5.. เท่านั้น ฉะนั้นนายน้อย นายเมฆและนายนุ จึงจำใจยกหาบขึ้นบ่า เดินตามอาตมาต่อไป พอถึงบ้านมะเอ ตกค่ำพอดีประมาณหนึ่งทุ่ม คนหาบทั้งสามก็ลงนอนครวญครางไม่ยอมเดินต่อไปอีก ร้องโอยๆ อยู่ตรงนั้นเอง บอกว่าหิวน้ำไปไม่ไหว อาตมาเลยต้องเดินฝ่าความมืดไปเอาน้ำจากบ้านนายมีมาให้กิน ซึ่งก็อยู่ไกลมิใช่น้อย นายมีนี้เคยเป็นเพื่อนกับอาตมามาก่อนตั้งแต่เด็กๆ ได้ช่วยเอาน้ำมาส่งให้ถึงที่ซึ่งคนทั้งสามรออยู่ ได้ดื่มกินพักอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อลานายมีแล้วจึงชวนกันเดินต่อไปจนถึงบ้านในคืนนั้น ถึงบ้านนายเมฆและนายนุก่อน เห็นมีญาติพี่น้องออกมารับ อาตมาเดินต่อไปจนถึงบ้านและสั่งทุกคนในบ้านไว้ว่า ถ้าคนทั้งสามคนเอากระต่ายมาให้อย่ารับไว้ ให้ส่งคืนเขาไป สมจริงอย่างว่าต่อมาพวกนั้นเอากระต่ายมาให้ 1 ขา ได้ส่งกลับคืนไป แล้วอาตมาได้เล่าเรื่องกระต่ายให้ญาติพี่น้องฟังทุกคน เพราะกระต่ายตัวนั้นมันไม่ชอบมาพากลอยู่ เสร็จแล้วอาตมาได้บอกให้ภรรยาและญาติพี่น้อง ช่วยกันเย็บกระทงปากหนามห้ากระทง เพื่อใส่ข้าวตอกดอกไม้ ฟั่นเทียนหนักเล่มละ 1 บาทห้าเล่ม ครบจำนวนแล้วอาตมาได้นำไปบูชาพระ อาราธนาด้วยปิติห้า พร้อมด้วยอธิษฐานขอบารมีพระพุทธคุณ ฯลฯ คุณศีล คุณทาน ดังกล่าวแล้วในบทต้น ให้ช่วยกันคุ้มครองรักษาก่อนนอนได้ปฏิบัติเสมอมามิได้ขาดจนบัดนี้ อีกห้าวันต่อมานายอั้นชาวเขาซึ่งอยู่บ้านคลองกระตุก ได้มาหาอาตมาถึงบ้านสมดังคำที่เขาเคยลั่นวาจาไว้ ตกเย็นวันนั้นนายเมฆก็เป็นไข้เพราะปีศาจนางไม้ได้เข้าสิง นายเมฆพูดว่าคนขาวๆ นั้นฉันอยากเอาไปเป็นผัวแท้ๆ จะเข้าใกล้ตัวเขาไม่ได้ เพราะมีพระล้อมอยู่ พระเผลอเวลาใดเราจะเอาไปให้ได้ พูดขาดคำนายเมฆก็ขาดใจตายทันที ต่อมาอีกสองวัน ปีศาจได้เข้าสิงนายนุเจ็บป่วยไปอีกคน และก่อนจะล้มลงขาดใจตายได้พูดเช่นเดียวกับนายเมฆอีก นายเมฆกับนายนุเป็นคนผิวดำ ฉะนั้นคนผิวขาวจึงมีแต่อาตมาคนเดียว ญาติพี่น้องของอาตมาทราบเรื่องตั้งแต่นายเมฆตาย จึงพากันมานอนเฝ้าอาตมามิได้ขาด เรื่องนี้ทำความหวั่นเกรงให้คนในหมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งมีอยู่ประมาณห้าสิบหลังคาเรือน กลัวกันจนขวัญหนี คงมีแต่ความเงียบสงัด ตกเย็นดับไฟนอนกันหมดเหมือนไม่มีคนอยู่ ดูเถิดท่านทั้งหลายอำนาจวิญญาณปีศาจร้ายซึ่งพูดกันว่า ไม่มีตัวตนมองหาตัวไม่เห็น เวลามันอาละวาดมันร้ายกาจแค่ไหน บารมีคุณพระ บารมีคุณบิดามารดา ครูอาจารย์ บารมีศีลทาน ฯลฯ ที่กล่าวแล้วก็ดีเป็นสิ่งเรามองไม่เห็นเหมือนกัน สิ่งที่มองไม่เห็นกับสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นแหละคุ้มกันได้ อาตมาจึงนึกรู้ว่าที่เราทำพิธีขึ้นต่อคุณพระรัตนตรัย และปิติห้าที่เราเคารพกราบไหว้นี้แหละท่านมีตัวตน ปีศาจเขามองเห็นแต่เรามองไม่เห็น ทั้งนี้เพราะพระรัตนตรัยท่านอยู่คนละภพละชั้นกับมนุษย์เรา พระธรรมหรือพระธรรมมานุภาพ ท่านมีวิญญาณคล้ายกับพระบรมศาสดา พระอริยสงฆ์ท่านก็มีวิญญาณเหมือนกับพระธรรมดังนี้ ถ้าพระไม่มีวิญญาณ และวิญญาณพระไม่ได้รักษาอาตมา อาตมาก็คงจะตายเสียบนเขาตั้งแต่แรกแล้ว อาตมาคิดได้เช่นนี้ แต่ดวงตาของอาตมายังคงมองไม่เห็น ตอนนั้นดวงตาของอาตมายังคงมืดยังหลงอยู่แต่ก็เชื่อคำพระพุทธองค์ที่ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" พระพุทธองค์ท่านเคารพกราบไหว้พระธรรม เพราะพระธรรม เป็นผู้นำให้พระองค์ตรัสรู้ ฉะนั้นเราเคารพกราบไหว้พระพุทธไม่ใช่ไหว้ปูนซีเมนต์ ไม่ใช่ไหว้ทองเหลืองทองแดง ไหว้พระธรรมมิได้กราบไหว้ใบลานตำรับตำรา ไหว้พระสงฆ์ไม่ใช่ไหว้คนธรรมดา เหล่านี้ผู้รู้ท่านกล่าวว่า เป็นเส้นผมบังภูเขาอยู่ ผู้ปฏิบัติทั้งหลายอย่าประมาทตนและผู้อื่น ปฏิบัติให้จนรู้จนเห็น ปฏิบัติจนสว่างแจ่มแจ้งเสียก่อนนั้นแหละจึงรู้ว่าตัณหาคืออะไร พระธรรมพระวินัยคืออะไร อย่าได้นึกเอาตรองเอา อย่าได้คาดคะเนเอา เพราะพระธรรมนั้นมีถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ในครั้งนั้นอาตมาล้มป่วยอยู่สองเดือนจึงหายปกติดี 

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:28:46

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom