การปฏิบัติกรรมฐานห้า

 

เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ

 

ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา

 

               กรรมฐานห้าของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่ท่านได้กำหนดไว้ในพระพุทธศาสนา ได้ตกทอดมาตามอุปัชฌาย์ทุกๆ องค์ เป็นมรดกอันล้ำค่ายิ่งหาที่เปรียบไม่ได้ เพื่อมอบต่อให้พระภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์-อุบาสก-อุบาสิกา ตราบกระทั่งทุกวันนี้ ท่านผู้ทรงศีลทุกๆ ท่านที่ได้รับมาแล้ว บางท่านก็สนใจ บางท่านก็ไม่สนใจเลย ผู้ไม่สนใจก็คงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  อุปมาอุปไมยเหมือนไก่ได้เพชร-พลอยที่มีค่าสูง แต่ไม่ยอมรับรู้ในคุณค่าของเพชร-พลอยนั้นเลย คงจะกล่าวประมาทว่า “เพชร-พลอย นี้หาประโยชน์อันใดมิได้เลย สู้ข้าวเปลือกเพียงเมล็ดเดียวก็ไม่ได้“ เปรียบเหมือนคนตาบอดที่ไม่สามารถมองเห็นตนเอง เพียงแต่ใช้มือคลำๆ ดูจะไปรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ความหมายนี้คงเหมือนกับชีวิตของอาตมาในอดีต ซึ่งได้เป็นผู้ที่สนใจในทางปฏิบัติมาหลายสิ่งหลายอย่าง  บางท่านก็กล่าวว่า กรรมฐานอย่างโน้นดีอย่างนี้ก็ดี อาตมาก็ได้เพียรฝึกหัดมาด้วยกันทั้งนั้นเช่น  กสินกรรมฐาน  อสุภกรรมฐาน  ญาณสี่กรรมฐาน  แต่ก็ไม่บรรลุอะไรเลยในทาง “นิพพิทา“ เพราะไปเชื่ออย่างโน้นอย่างนี้ ตามที่มีผู้ที่ได้บอกกล่าวไว้ลูบๆ คลำๆ ไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจะเอาวิธีไหนกันแน่

 

               อาตมาได้เริ่มปฏิบัติกรรมฐานมาตั้งแต่อายุได้ 20 ปี แต่มิได้บรรลุในธรรมอะไรเลย ดังได้กล่าวแล้ว กระทั่งอาตมามีอายุได้ 45 ปี จึงได้เข้าสู่เพศพรหมจรรย์ จนเวลาได้ล่วงเลยมาแล้วถึง 4 ปีเต็ม ความสว่างในดวงธรรมก็ไม่เกิดขึ้นเลย จึงได้พิจารณาในตนว่าเรานี้ยังขาดตกบกพร่องอะไรอยู่อีก อันเป็นเหตุที่ทำให้ไม่เกิดความสว่างในดวงธรรม ไม่เกิดนิพพิทาเบื่อหน่ายอะไรเลยแม้แต่เพียงอย่างเดียว การพินิจพิจารณาภายในตัวของตัวเองจึงพบว่า “ศีล“ นี่เอง เพราะเราไม่เอื้อเฟื้อในศีลสิกขาบทเลย เมื่อเราได้พบสิ่งที่บกพร่องภายในตัวของเราแล้ว ถ้าไม่คิดแก้ไขเสียให้เรียบร้อย เรานี้คงจะไม่พบแสงสว่างเปรียบเหมือนคนตาบอดเป็นแน่ จึงได้คิดตั้ง “สัจธรรม“ ขึ้นใหม่อีก โดย “สมุจเฉทวิรัติ“ เอาศีลมาเป็นหลัก อาตมานี้จะขอละตามศีลสิกขาบทให้ได้เป็นเด็ดขาด แม้แต่สังขารเลือดเนื้อของอาตมาจะต้องแตกดับไปก็ตาม เมื่อได้อธิษฐานจิตเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าทำสมาธิกรรมฐานห้าต่อไป เพื่อจะนำจิตใจออกจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ห้ามไว้ในศีลสิกขาบท 10 ประการนี้ ทุกอิริยาบถคือ ยืน-เดิน-นั่ง-นอน ก็ให้อยู่ในสมาธิเสมอไปมิได้ขาด ได้ปฏิบัติอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาถึงหนึ่งปีเต็มจิตใจจึงเกิด “นิพพิทา“ ขึ้นในกิเลสกาม ต่อมาอีก 3 ปีจิตใจจึงไม่ยินดียินร้ายในกิเลสกามและวัตถุกาม ความสว่างก็บังเกิดขึ้นภายในกายของอาตมา เป็นเหตุให้รู้แจ้งเห็นจริงในกองสังขารของตน และของผู้อื่นอย่างชัดเจน ความสว่างหรือความแจ่มแจ้งนั้นมิได้สูญหายเลยแต่ประการใด ถ้า “ศีล“ ได้บังเกิดขึ้นภายในจิตใจของผู้ปฏิบัติแล้ว ความมืดในตัณหาย่อมไม่มีแก่ท่านผู้นั้นเลย

 

               ผู้ปฏิบัติในกรรมฐานห้าโลกุตรธรรม ตามศีลสิกขาบท 10 ประการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ การบังเกิดความสว่างไสวนั้นมีอยู่หลายประการด้วยกัน สุดที่จะพรรณนาให้ทั่วถึงได้ สิ่งที่บังเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติแต่ละท่าน ย่อมไม่เหมือนกันหรืออาจจะเหมือนกันก็ได้ แต่จุดหมายปลายทางคงเหมือนกันคือ “พระนิพพาน“ นั่นเอง.

 

               อาตมานี้เป็นผู้เห็นชอบในกรรมฐานห้า ศีลสิกขาบท 10 ประการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้รับประโยชน์ที่เกิดขึ้นในพระธรรม-พระวินัย อาตมานี้เป็นผู้ที่มีความเชื่อในครูบาอาจารย์อย่างยิ่ง   ซึ่งท่านได้แนะนำไว้ว่า “ท่านอย่าไปเล่าเรียนตามตำราก่อน ในเมื่อกรรมฐานการปฏิบัติยังไม่บังเกิด“ ถ้าเราได้เรียนรู้ตามตำราเสียก่อนแล้ว มันจะเกิดความยึดมั่นถือมั่นใน “อุปาทาน“ จากธรรมที่ตนได้เล่าเรียนมาและจะเดาเอาว่าตนนั้นได้มีความรอบรู้ในพระธรรม-พระวินัย ได้บรรลุในสมาธิกรรมฐาน เลยเกียจคร้านไม่ปรารภความเพียรในสมาธิกรรมฐาน ความรู้เช่นนั้นมันปิดบังไว้มิให้เกิดความสว่าง รู้แจ้งเห็นจริงในสังขารของตนและผู้อื่น มันเป็นธรรมจริต ในที่สุดเลยกลับกลายเป็น “อวิชชา“ คือความมืดแห่งตัณหาทั้งปวง ไม่เกิดความบีฑาเบื่อหน่ายในกายาว่าเป็นทุกข์ พระพุทธองค์ท่านได้ทรงบัญญัติสมาธิกรรมฐานห้าไว้ให้แก่พระภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์ ผู้ทรงศีลจะได้สำรวมกายวาจาและใจให้รู้เท่าทันสังขารว่า  ความเกิดก็เป็นทุกข์  ความแก่ก็เป็นทุกข์  ความเจ็บก็เป็นทุกข์  และความตายจะมาถึงก็จะเป็นทุกข์เช่นเดียวกัน ความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาจากตำรานั้นเป็นความรู้ที่ได้จดจำมาและบางครั้งก็อาจจะหลงลืมได้ง่ายๆ เพราะเป็นความรู้อย่างผิวเผิน ย่อมไม่มีความรู้แจ้งเห็นจริงในอนิจจัง อนัตตา เมื่อสังขารกายาแตกดับแล้ว ในที่สุดก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกอย่างน่าสงสารแท้  

              กรรมฐานห้านี้มีประโยชน์มากมายมหาศาล ผู้ประพฤติปฏิบัติได้ย่อมรู้ทุกข์ทั้งปวง สามารถออกจากทุกข์ได้เป็นเด็ดขาด เพราะความสว่างในทางปฏิบัตินั้นมีอยู่ พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงมอบสมบัติอันล้ำค่านี้ไว้แก่ ท่านอุปัชฌาย์เพื่อให้แนะนำสั่งสอนพระภิกษุ-สมาเณรผู้ทรงศีล จะได้พินิจพิจารณาหาทางหลุดพ้นเสียจากกองทุกข์มุ่งลัดตัดตรงข้ามภพทั้งสาม ( กามภพ รูปภพ  และ  อรูปภพ ) เข้าสู่เมืองแก้วคือพระนิพพาน ย่อมเป็นสุขอย่างยิ่ง ตรงกับคำว่า นิพานํ ปรมํ สุขํ

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:28:50

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom