-
ศีลสิบกับพระวินัยที่แยกกันไม่ได้
|
|
-
อาตมาเป็นผู้ปรารถนาจิตอย่างแรงกล้า
ที่จะปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่จะทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงศีลอย่างแท้จริง
เพราะพระภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์-อุบาสก-อุบาสิกา
จะอุบัติขึ้นได้ก็เพราะ
ศีล
ถ้าศีลขาดแล้วจะมีโอกาสต่อได้ที่ไหนบ้าง
เพราะศีลเป็นข้อห้ามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงบัญญัติไว้
พร้อมด้วยพระวินัยอีก
227 ข้อ
ส่วนพระวินัยทั้งหมดนั้น
บางข้อก็ยังปลงอาบัติหรือแสดงอาบัติได้อยู่
ความหมายของการปลงอาบัติมีดังนี้คือ
|
|
-
ผู้รับอาบัติกล่าวว่า
ต่อไปห้ามมิให้นึกคิดและให้พิจารณาละทางกาย
ทางวาจา ทางใจ
ต่อไปอย่ากระทำผิดอีก
|
|
-
ผู้แสดงอาบัติรับว่า
จะไม่กระทำอีกต่อไป
จะขอระมัดระวังทางกาย
ทางวาจา
ทางใจ
ให้บริสุทธิ์
|
|
-
ผู้รับอาบัติโมทนาว่า
ดีแล้ว
(สาธุ)
|
|
-
ผู้ประมาทอยู่นั้นยังล่วงอาบัติอยู่เสมอ
ๆ
ด้วยการเข้าใจผิด
หรือ รู้เท่าไม่ถึงการณ์
และยิ่งกว่านั้นยังไม่ทราบอีกด้วยว่าตนนั้นต้องอาบัติอย่างไร
ต้องทำการปลงอาบัติอยู่เป็นนิจโดยไม่มีที่สิ้นสุด
ตามความหมายนี้แสดงว่าเป็นพระภิกษุ-สามเณรที่ว่ายาก
สอนยาก
แม้ว่าเราได้แสดงอาบัติก็จริงอยู่
แต่ถ้าศีลขาดแล้วนั้นไม่สามารถจะต่อได้อีก
เพราะศีลนั้นพระอุปัชฌาย์ท่านได้ให้เราไว้เพียงครั้งเดียวในตอนที่เราอุปสมบทเท่านั้น
ตามที่กล่าวมานี้
ศีลกับพระวินัยจึงเป็นของคู่กันจะแยกกันไม่ได้เลย
ต่อไปนี้จะยกตัวอย่างไว้พอสังเขป
|
|
-
1. ศีลข้อที่ 6
คือ วิกาลโภชนา
เวรมณีฯ
ถ้าภิกษุบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
ทางพระวินัยท่านปรับเป็นอาบัติ
ปาจิตตีย์
การแสดงอาบัติยังคงกระทำได้อยู่
แต่ศีลข้อนี้ได้ขาดแล้วและจะต่ออีกก็ไม่ได้
|
|
-
2. ศีลข้อที่ 7
คือ นัจจะคีตะวาทิตะ
วิสูกะทัสสะนา
เวรมณีฯ
ถ้าภิกษุดูการเล่น
ฟ้อนรำฟังขับร้องต่างๆ
เล่นหมากรุก
ฟังเครื่องเล่นเทปโทรทัศน์
ฯลฯ
ในพระวินัยท่านปรับเป็นอาบัติ
ทุกกฎ
หรือ ปาจิตตีย์
การแสดงอาบัติยังคงกระทำได้อยู่
แต่ศีลข้อนี้ขาดแล้วก็คงต่อไม่ได้อีกเช่นกัน
|
|
-
3. ศีลข้อที่ 10
คือ ชาตะรูปะ
ระชะตะปะฏิคคะหะณา
เวรมณีฯ
ถ้าภิกษุจับต้องเงินทองซื้อขาย
แลกเปลี่ยนที่เป็นกระดาษหรือวัตถุก็ตามที่เขาใช้แทนเงินและทอง
เช่น
เช็ดธนาคาร
เงินตราต่างๆ
ล๊อตเตอรี่ที่ยังไม่ถึงกำหนดออกรางวัล
เพราะมันใช้แทนเงินและทองได้อยู่
พระวินัยท่านปรับเป็นอาบัติ
นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์
แต่ศีลข้อนี้ขาดแล้วและคงต่ออีกไม่ได้อีกเช่นกัน
|
|
-
แต่บางท่านอาจเข้าใจว่า
สมัยนี้คงอนุโลมได้
ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการเดินทางหรือเหตุผลอื่น
ๆ
มากมาย
แต่เรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านมิได้อนุโลมไว้เลย
จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดและพิจารณาไม่น้อย
ท่านผู้แสวงหาทางพ้นทุกข์ทั้งหลาย
ถ้าปรารถนาจะเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าของเราได้วางเอาไว้
โปรดอย่าล่วงละเมิดอยู่เลย
เราจะไม่พบทางพ้นทุกข์
กิเลสตัณหามันจะหัวเราะเยาะเรา
พูดแล้วพูดเล่าก็เข้าตนเองว่าเป็นสมมุติสงฆ์อยู่เสมอไป
แล้วเมื่อไรจะได้พบพระ
จะได้ละจากแว่นแคว้นแดนสงสาร
|
|