ปัญญา

 

               คือจิตที่สงบเป็นสมาธิแล้วเจ้าของตัวตนของตนประคองให้คงที่สม่ำเสมอแล้ว เป็นธรรมชาติที่อ่อนโยนควรแก่การน้อมนำไปเพื่อให้เกิดการเห็นภาพปัจจุบัน   ในสิ่งที่เราต้องการจะเห็นภาพนั้นคือ มโนภาพที่ใจเราเพ่งไปอย่างแรง จนเกิดขึ้นได้ตามต้องการตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่า  อยากต้องการเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ด้วยการน้อมใจไปอย่างแรงกล้าด้วยองค์สมาธิ  ภาพนั้นย่อมปรากฏตามความเป็นจริง ที่ตนเคยรู้เรื่องมาก่อนหรือมิฉะนั้นก็ตามที่ตนเชื่อว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ ในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น โดยไม่ให้เกิดวิจิกิจฉาขึ้นแก่ตัวเอง  มโนคติภาพต่าง ๆ  นั้นเป็นเพียงสิ่งที่เราต้องการจะเห็น แล้วใจก็สร้างให้เท่านั้นเอง แต่เป็นการสร้างของจิตที่ประณีตเพราะเป็นจิตที่เป็นนามธรรม  เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรเลย  นอกจากสิ่งที่ไม่ได้สร้างขึ้น คือใจเป็นผู้รู้ผู้เห็น  ถ้าไม่มีใจเสียอย่างเดียวเท่านั้น   โลกนี้หรืออะไรๆ   ก็ไม่มีสักอย่างเดียว   มโนคติภาพนั้น เป็นภาพที่ประณีตทำนองเดียวกับภาพในความฝัน  ในเมื่อผู้นอนฝันยังไม่ตื่นเป็นแต่ประณีตกว่ากันหลายเท่าเท่านั้นเอง ปัญญาย่อมทำลายอนุสัยกิเลส สามารถหยั่งรู้สภาพธรรมทั้งปวง  ทำลายกิเลสที่นอนเนื่องในสันดานมาแต่ในอดีตให้หมดไป  โดยควรแก่กำลังของจิต และปัญญาของตนที่อบรมมากหรือน้อยตามส่วน  พระพุทธองค์จึงตรัสว่า  “ปัญญา สมิโชติทะ”  ความสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี ผู้ปฏิบัติได้ครบถ้วนถึงพร้อมแล้วด้วยศีล-สมาธิ-ปัญญา ผู้นั้นถึงพร้อมแล้วซึ่งธรรมอันวิเศษฯ

 

               การเจริญปัญญาภาวนา  ที่ไม่เป็นในทางอภิญญาหรือแสดงฤทธิ์นั้น เป็นความประสงค์อันแท้จริงในทางพุทธศาสนา  เป็นการปฏิบัติธรรมขั้นสูงในแนวทางโลกุตรธรรม การแสดงฤทธิ์เป็นความสามารถอันพิเศษอย่างหนึ่งเท่านั้น  ซึ่งไม่จำเป็นแก่ผู้มุ่งแสวงหาความหลุดพ้นทุกข์ อันจะเป็นเครื่องกังวลให้เนิ่นช้า  ปัญญาที่แท้จริงก็คือ   การบำเพ็ญภาวนาให้เห็นแจ้งในความเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ความน่ากลัวของสิ่งที่เกิดดับไม่รู้จักสิ้นสุด ความเบื่อต่อสิ่งที่ตนเคยหลงใหลมาก่อน  ความอยากจะใคร่พ้นไปเสีย ความพบทางพ้นทุกข์และการวางเฉยต่อร่างกายอย่างแรงกล้า  จนกำลังจิตทั้งหมดพร้อมที่จะทำลายกิเลส อาสวะเครื่องเศร้าหมองที่นอนเนื่องในสันดานให้หมดไป  ขจัดอวิชชาที่มีชื่อว่ามืดบอดความไม่รู้ ฯลฯ เป็นตัวเหตุซึ่งนำมาแห่งความเกิด  เมื่อขจัดอวิชชาเสียได้ก็จะเกิดวิชชาคือ  ปัญญา  แสงสว่างคือตัวรู้ เป็นผู้รู้อยู่เหนือกฎหมายแห่งกรรม  อยู่เหนือบุญและบาปหมดอาสวะกิเลสทั้งปวง  จิตลอยสูงบริสุทธิ์ปราศจากความยึดมั่น ไม่ถือมั่นด้วยสัญญาและอุปาทาน เอาความสุขสุดยอดอันไม่มีเหยื่อเรียกว่า พระนิพพาน

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:32:01

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom