อาสวะคยฌานทางปัญญา

 

               ต่อไปนี้จะจำแนกธรรม  ในทางสมถะตามพระพุทธบัญญัติผู้ปฏิบัติในทางสมถะ  จะรู้  นรก  สวรรค์ พรหมสุทธาวาส  นิพพาน  ว่ามีอยู่จริง  ต้องรู้ต้องเห็นด้วยสมถะ  ในทางปฏิบัติเจตสิกของตนให้เหมือนรัศมีของไฟ หรือรัศมีแสงสว่างของพระอาทิตย์  ให้บังเกิดขึ้นแห่งจิตของตนเอง  ผู้ปฏิบัติจะรู้จะเห็นด้วยตนเอง จะนำเอามาพูดมาเล่าให้ฟัง  แก่ผู้ไม่ปฏิบัติเข้าถึงความสว่างแห่งจิต  จะพูดจะเล่าว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะพูดสักเท่าไรก็ไม่เข้าใจชัดเจนไปได้  มันเป็นทางรู้จำเพาะตนเอง  เปรียบได้จิตเรานึกรักนึกเกลียดนั้นเอง ไม่มีท่านเหล่าใดรู้กับเราได้  เราก็รู้เฉพาะเราเองมิใช่หรือ  ถ้าเราไม่แสดงออกมา  ผู้อื่นจะรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ว่าท่านเป็นอย่างไร  ไม่รู้เรื่องรู้ราว  โดยความมืด  ความสว่างก็เช่นกัน

 

               อาตมาเขียนไว้ให้อ่าน  พอให้หมู่ท่านชาย-หญิง  ให้พิจารณาให้รู้ในเรื่องของตนเอง ไม่ต้องไปเข้าใจกันผิด ๆ  เดา ๆ  กันไป  อยากจะรู้ให้นั่งฟังท่านผู้ปฏิบัติมาแล้ว  ได้รับธรรมสว่างแล้วโดยที่ไม่กล่าวอ้างตำรา ผู้ท่านปฏิบัติมา  จิตท่านเข้าสู่ธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว  ท่านก็เอามาแนะนำให้รู้บุญรู้บาป ผู้ท่านจะรู้บุญและบาปได้ชัดเจนนั้น  ก็รู้ด้วยในทางปฏิบัติจิตทางสมถะ  รู้ในทางวิญญาณตนและผู้อื่น เพราะวิญญาณนี้เข้าไปในทางนรก  สวรรค์  นิพพานได้  เมื่อจะจุติปฏิสนธิเกิดอีก  เป็นสัตว์อะไร  วิญญาณเขารู้ได้ดี ผู้ปฏิบัติจิตทางสมถะรู้ได้ทางวิญญาณของตน  ที่มาปฏิสนธิอยู่ในร่างกายสังขารของท่านนั้นเอง  ถ้าเราไม่รู้ทางวิญญาณ เราจะเอาศีลเอาธรรมเอาพระวินัยมาจากที่ใดกันเล่า  นอกจากวิญญาณของท่านแล้ว  มีหมู่ตัณหาพญามารนั่นแหละ เขาจะเข้ามาแนะนำจิตใจของท่าน  ให้รู้ไปในทางงมงาย  ไม่ใช่ทางพุทธบัญญัติ ทางตัณหาพญามารนั้นเขาย่อมกระทำจิตใจของท่านชาย-หญิง  ให้นึกผิด  คิดผิดไปผิดๆ  ไม่ตรงความเป็นจริง ทำให้มนุษย์และสัตว์เข้าใจผิด  เพราะท่านขาดจากความพิจารณาในทางเกิด ทางตายของสังขารกายเวทนาตนและผู้อื่นนั้นเอง  เลยคิดผิด ๆ  ไปว่าตายแล้วก็สูญไปเท่านั้นนี้อย่างหนึ่ง และว่ามนุษย์และสัตว์เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกนี้แหละ  มิได้ไปทางไหนหรอก  นี้อย่างหนึ่ง เพราะจิตใจของเดิมตามตัณหาพญามารอยู่  นึกคิดว่า  นรก  สวรรค์  นิพพาน  ภพชาติไม่มี  ตายแล้วก็สูญไปเท่านั้น เพราะตัณหาพญามารมันนำจิตใจของท่าน  ให้หลงไปตกอยู่ในสะสมกิเลสกามรักใคร่ ทำให้จิตใจของท่านเกิดความกำหนัดติดอยู่ไม่รู้หาย  ตายแล้วตายอีกก็ไม่สิ้นสุด  รู้แต่ว่าเกิดดับๆ เหมือนอะไรเลยไม่รู้ว่าภาษาความหมายว่าอะไร  หมู่ท่านเหล่านี้ปล่อยจิตใจของท่าน  ให้เดินไปตามตัณหาอุปทาน จะพูดในเรื่องอุปทานที่คิดนึกอยู่นั้นไม่ถูก  เลยค้านพระธรรมพระวินัยด้วยตนอง  อุปทานนั้นมันเกิดเพราะสัญญา เป็นสิ่งที่จำได้หมายรู้ที่ท่านเรียน  ท่องบ่นจำได้ว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้ไม่ปล่อยวาง  เลยติดอยู่ในอวิชชาความมืด

 

               ผู้ปฏิบัติทั้งหลายชาย-หญิง   ให้พิจารณาในธรรมข้อนี้ให้มากที่สุด  ถึงจะปฏิบัติทางสมถะไปได้ เพราะสมถะเป็นทางเปลี่ยนแปลงของจิตเจตสิก  ให้จากอุปทานความมืดอยู่ นำจิตออกจากอุปาทานเข้าสู่ความสว่างแห่งกสิน  นิมิต  รูปฌานสี่  อรูปฌานสี่  วิชชาสาม  อภิญญาหก ปริญญาศิลปะจิตวิทยา  ถึงจะบังเกิดขึ้นได้  ถึงจะรู้ได้ชัดเจน  ในทางโลกว่าเป็นทุกข์หรือเป็นสุขรู้ได้อย่างแท้จริง ไม่มีท่านเหล่าใดในภพทั้งสามนี้จะมาโกหกให้หลงไปเชื่อ  ตามท่านที่กระทำผิดนั้นย่อมไม่มี  และรู้ธรรมได้อย่างแท้จริง   มิได้ถืองมๆ งายๆ หลงเลี้ยงสังขารตนและผู้อื่น  อย่างโลกียวิสัยสามัญชนที่หลงเสพกาม วัตถุกามเหมือนบุคคลหินชาติอย่างนี้หาได้ไม่

 

               อาตมาภาพ  จะจำแนกธรรมปฏิบัติจิต  จะเปิดเผยให้ชัดที่สุด  หวังว่าให้หมู่ตัณหาพญามาร ได้ยินได้ฟังแล้ว  ให้สะดุ้งให้ตกใจ  กระสับกระส่าย  ให้สะเทือนทุกเส้นขน  ให้หมู่มารตัณหาทนอยู่มิได้ เว้นไว้แต่จำพวกบ้าเท่านั้น  ถึงไม่สะเทือนในพระธรรมเหล่านี้  จงอ่านให้ดำเนินต่อไป

 

               ผู้ท่านมีสัจจะธรรมดำเนินตามพระธรรมพระวินัยอย่างแท้จริงแล้ว  เป็นผู้ดำเนินไม่มีวิจิกิจฉา ความสงสัยในเรื่องกิเลสกาม  วัตถุกามนั้น  ย่อมไม่มีแก่ท่านเหล่านั้น  เป็นผู้ละบาปกรรมเวรแล้วเป็นผู้เลี้ยงง่าย ไม่เป็นผู้งม ๆ  งาย ๆ  เหมือนผู้หลงตาย  กายของตนก็ยังไม่รู้  จะไปรู้กายคนอื่นได้อย่างไร เรียนวิชาความรู้มาบำเรอกามชีวิตสังขารตนและผู้อื่น  โดยไม่มีมรรคผลลืมตนจนวันตาย ไปนึกคิดว่าบุคคลในปัจจุบันนี้ปฏิบัติไม่ได้  มีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นปฏิบัติได้  นอกจากนั้นไม่มี  ท่านผู้คิดเช่นนี้ ท่านเหล่านั้นยังจมอยู่ใต้น้ำปลักตมแห่งน้ำกามกิเลสตัณหาสามโลกธรรมแปดประการอยู่ จะไปรู้ทางพระธรรมพระวินัยได้อย่างไรกันเล่า  แม้แต่แสงพระอาทิตย์  สว่างขึ้นครอบจักรวาลโลกนี้อยู่ทุก ๆ  วัน ก็ยังไม่รู้เหตุและผลประโยชน์ของพระอาทิตย์นั้นว่ามีคุณอย่างไรบ้าง ความสว่างของพระอาทิตย์ในเวลากลางวันนั้นมีประโยชน์มหาศาล  แก่ผู้มีศีลและธรรมเป็นอันมาก หมู่ท่านรู้กันแล้วหรือยัง  ไม่ได้เสียทรัพย์สินเงินทองแก่ท่านชาย-หญิงทั้งสิ้น ความมืดกลางคืนนั้นเป็นประโยชน์แก่พวกหมู่โจรที่ดุร้าย  ย่อมกระทำให้ผู้มีศีลธรรมเดือดร้อนอยู่เสมอ ๆ  ไปมิใช่หรือ อันนี้เป็นความมืดของกลางคืนธรรมดา  ของโลกภายนอกเท่านั้น ก็ยังเห็นเพียงนี้ ความมืดของตัณหาแห่งกามความรักความอยากสัมผัสถูกต้องชาย-หญิงนั้น  มันมืดไปแค่ไหน  หมู่ท่านรู้กันหรือไม่ ตัณหาสามโลกธรรมแปดประการนั้น  มันมืดอยู่ในจิตใจเจตสิกของหมู่ท่าน  ยิ่งกว่ากลางคืนที่กล่าวมานั้นเป็นแสน ๆ  เท่า หมู่ท่านนักบวชชาย-หญิง  ความมืดของตัณหานั้นแหละเป็นโจรใหญ่มหาศาล  จะหาความมืดภายนอกนี้เอามาเปรียบ ให้หมู่ท่านดูได้นั้นย่อมไม่มี  เพราะความมืดของตัณหานั้นสุดตาเห็น  อาตมาก็พรรณนาไม่ไหว ให้หมู่ท่านชาย-หญิงพิจารณาเอาเอง  มันอยู่ที่ตัวของท่านนั้นทุก ๆ  คนนั้นแหละ  มันเป็นทุกข์หรือเป็นสุข เราจะเอาอันใดมากำจัดความมืดอันที่กล่าวมานี้  ขอให้หมู่ท่านพิจารณาเอาเองกันบ้าง  อย่าเป็นผู้มืดมามืดไป หาประโยชน์มิได้  พวกโจรนั้นต้องการความมืดมิใช่หรือ ไม่ต้องการความสว่างผู้ปฏิบัตินักบวชชาย-หญิงต้องการความสว่างแห่งศีลและธรรม  ไม่ต้องการความมืดไม่ใช่หรือ เพราะมีมืดก็ต้องมีสว่างต่อไปวันหนึ่งจงได้  ถ้าหมู่พวกโจรหนีออกจากจิตใจเจตสิกท่านแล้ว ท่านต้องพบความสว่างแห่งศีลและธรรม ไม่ต้องการความมืดไม่ใช่หรือ เพราะมีมืดก็ต้องมีสว่างต่อไปวันหนึ่งจงได้  ถ้าหมู่พวกโจรหนีออกจากจิตใจเจตสิกท่านแล้ว  ท่านต้องพบความสว่างแห่งศีลและธรรมในวันหนึ่งจนได้  ไม่ต้องสงสัย  ความสว่างแห่งศีลและธรรมนั้น ยิ่งกว่าความสว่างของพระอาทิตย์ร้อยเท่า  หมู่ท่านต้องการความมืด  หรือต้องการความสว่าง ให้เลือกเอาตามความชอบใจ  ความมืดเป็นอย่างไร  ให้พิจารณาในความมืดนั้น   มีมรรคผลอย่างไรบ้าง ไม่คิดไม่รู้ไม่ดูไม่เห็น ความสว่างเป็นอย่างไร  ให้พิจารณาในความสว่างนั้นมีมรรคผลอย่างไรกันบ้าง ไม่คิดไม่รู้  ไม่ดูไม่เห็น  กรรมเวรอยู่ที่ไหน  เราจะรู้ทุกข์กรรมเวรนั้น  จะรู้ได้อย่างไร  เมื่อเราท่านจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ก็จะรู้ได้ในทางวิญญาณนอก  วิญญาณใน  วิญญาณในวิญญาณ  ของเราท่านมิใช่หรือ  เมื่อจะรู้บุญรู้บาป รู้กรรมรู้เวร  รู้นรก  สวรรค์  นิพพาน  ก็เพราะวิญญาณเราท่านนั้นเอง เพราะวิญญาณนั้นเขาไม่ตายแตกดับสูญไปเหมือนสังขารกายเวทนา  ของมนุษย์และสัตว์น้ำดินแห่งธาตุสะสมที่ปรุงขึ้นนี้ ต้องแตกดับสูญไปในท้ายที่สุด  วิญญาณที่รู้นั้นยังอยู่  วิญญาณที่มาปฏิสนธิมาเกิดเป็น  มนุษย์และสัตว์อยู่ที่นี่ วิญญาณเหล่านี้มีจิตเดินอยู่ในทางที่มืด  มักชอบเป็นโจรบังเบียดตนและผู้อื่นอยู่เสมอ ๆ   ชอบสัมผัสเบียดเบียนกายเวทนาตนผู้อื่นอยู่เสมอๆ  โดยไม่รู้ตัว  เพราะความมืดที่ตนมีอยู่นั้นเอง

 

               โจรที่กล่าวมานี้  มันเป็นโจรกามวิตก  มหิงสาวิตก  โมหะวิตก  ถึงได้เกิดมาเป็นมหาโจร ทำลายจิตใจนักบวชให้หลงลืมศีลและธรรม  ทำจิตใจให้ขาดจากเพศพรหมจรรย์ของตนไป สนใจเล่าเรียนเพื่อประกอบเลี้ยงชีวิตสังขารตนและผู้อื่น  คิดอยู่ในกามที่มืดอยู่เสมอ ๆ  ไป เลยกลายเป็นผู้หลงใหลเข้าไปสู่อบายมุข  เพราะความโลภแห่งวัตถุกาม  เป็นภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์แล้ว ไม่ควรในสิ่งที่ไม่ควร  คือการเล่นต่างๆ  ไม่ควรดูไม่ควรฟัง  ไม่ควรซื้อไม่ควรขายหวยเบอร์ และสิ่งของต่าง ๆ  ด้วยตนเอง  หรือใช้ผู้อื่นก็ดี  ไม่ควรทำสิ่งเหล่านี้เป็นความมืดทั้งสิ้น มันเป็นเครื่องบังศีลและธรรมพระวินัย   ในหลักการปฏิบัติทุกอย่าง  แต่เพียงว่าเรานึกคิดอยู่เท่านั้นก็ยังมืดอยู่แล้ว ขอให้นักบวชชาย-หญิงเลิกละเสียในธรรมเหล่านี้  หมู่ท่านถึงจะสว่างในศีลและธรรมอย่างแท้จริงไปได้ ตนไม่ละจะเอาชนะความมืดได้อย่างไรกันเล่า

 

               อนึ่งนักบวชชายหญิง ความประมาทตนและผู้อื่นโดยทำลายศีลและธรรมพระวินัย ออกจากจิตใจของตนยังไม่รู้สึกตัว พวกเหล่านี้ไม่ยอมละกรรมเวรเห็นผิดเป็นชอบ เพราะความพยาบาท โลภ โกรธ หลง ที่ติดตามตนอยู่ ท่านเหล่านี้มีกรรมมาแต่อดีตชาติ ไม่ยอมละปล่อยวางชอบพูดแต่เรื่องนอกศีลนอกธรรมอยู่เสมอๆ เพราะกรรมเวรตัณหาให้ก่อกรรมติดตามมา จนเกิดเป็นนิสัยนอนนิ่งอยู่ไม่รู้สึกตัว รักกันรักมาก ไม่รู้จักความเสียหาย เกลียดก็เกลียดมาก ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว พูดได้ก็พูดไป ไม่รู้ในสิ่งเหล่านั้น มันจะทำลายตนและผู้อื่นหรือไม่ ขาดความนึกคิด ขาดจากสติความน้อมนึก ขาดจากสัมปชัญญะความรู้ตัว ขาดจากปัญญาความรู้เท่าสังขารตนและผู้อื่น ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร สร้างกรรมเวรใส่ตนเองโดยไม่รู้สึกตัว ธรรมที่ตนจะก่อให้เกิดขึ้นนั้น มีอยู่สองอย่างโดยลับๆ มีดังต่อไปนี้

               ข้อนึกคิดกล่าวว่า ไม่ได้ไม่เอา คำกล่าวเช่นนี้หนักมาก ทำให้ตนขาดจากสติ ไม่บรรลุในธรรมไปได้ ให้เลิกละเสียเถิด ผู้มีธรรมเหล่านี้ประจำจิตใจท่านอยู่ เราอย่าไปพูดไปคิดเสียดีกว่า ให้ธรรมเหล่านั้นให้มันหลงมันลืม ให้มันหนีไปไกล ๆ เราไม่นึก ไม่คิด ไม่พูด ถึงเสียซึ่งสิ่งเหล่านั้น  มันก็ติดตามเราไม่ทัน  มันต้องหลงทางกับเรา แปลว่ามันตามเราไม่ทันนั้นเอง ถ้ามันไม่ทันเราแล้ว  มันก็หลงลืมเราไป  แล้วเราก็จะออกจากความทุกข์ไปได้เท่านั้น ถ้าเราเป็นผู้สนใจจะละ  เราต้องชนะตัณหาเหล่านี้วันหนึ่งข้างหน้าจนได้  อันนี้ไม่ต้องสงสัย  คำที่กล่าวมาในธรรมข้อที่ 1 นี้ ท่านตรัสไว้ว่า  โทสะทุจริต  เกิดขึ้นเพราะโทสะของตน  ท่านเปรียบได้จิตใจเป็นมัจฉา หน้าเป็นคนหางเป็นปลา ใช้การอะไรไม่ได้ทั้งนั้น  แม้แต่มนุษย์เราผู้มีศรัทธาแล้ว  ก็ทำจิตใจของตนให้เสื่อมคลายไปจากความดี ของตนไปกันได้ง่าย ๆ  เลยเกิดความนึกคิดขึ้นในจิตของตน  ผลักเอาศีล-สมาธิ-ปัญญา  ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กระเด็นออกจากจิตใจของตนไปทั้งหมด  ขนเอาตัณหาพญามารเข้ามาไว้ในจิตใจของตนโดยไม่รู้สึกตัว เลยเกิดความนึกคิดอีกเพราะพญามารบันดาลจิตใจให้พูดออกมาว่า  ถ้าอยู่ได้ก็จะอยู่ไป ถ้าอยู่ไม่ได้ก็จะสึกหาลาเพศจากพรหมจรรย์ไป  คำที่กล่าวนี้  เป็นคำของพญามารที่น้อมนำจิตใจของท่านเหล่านั้น ให้นึกคิดพูดออกมาเป็นสิ่งทำลายตนและผู้อื่น  ให้เกิดจิตหันเหออกไปจากศีลธรรมวินัย ถ้านานไปไม่เอาปัญญาเข้ามาแก้ในความนึกคิดที่กล่าวมานี้  ก็จะเกิดความฟุ้งซ่าน  วุ่นวายแก่ตนและผู้อื่น โดยเราไม่รู้เท่าทันตัณหาพญามารนั่นเอง  เลยเป็นขี้ข้าสังขารตนและผู้อื่นอยู่จนวันตาย  หาประโยชน์อันใดมิได้เลย กลายเป็นผู้ตาบอดหลงทาง  ไม่ยอมไต่ถามผู้อยู่ในศีลและธรรมนั้น  ที่เป็นผู้พยามยามละออกจากกามอยู่เสมอๆ ไปที่ไม่เอาดี  ไม่แข่งดี  มีแต่พิจารณาแยกจิตใจของตน  ให้ออกจากกามความมืดให้หายไป  ให้ขาดจากความสัมผัสต่าง ๆ อยู่เสมอ ๆ เท่านั้น

 

               ข้อ 2  อย่าไปนึกคิดพูดออกมาว่า  ไม่มีท่านเหล่าใดจะบรรลุธรรมได้หรอก  ในสมัยคนเราทุกวันนี้ คำกล่าวหรือนึกคิดเช่นนี้  ท่านกล่าวก็ดี  หรือนึกคิดก็ดี  ท่านเรียกว่า  ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ประมาทตนและผู้อื่น นึกคิดว่าท่านเหล่าใดคงจะออกจากความกำหนัดมิได้แม้แต่คนเดียว  แปลว่าท่านเหล่านั้น  ประมาทตนและผู้อื่นอยู่นั่นเอง ไปนึกคิดพูดออกมาโดยมิใช่ธรรมมิใช่วินัย  กลับไปประมาทธรรมวินัย  เพราะท่านเหล่านั้นไม่เอื้อเฟื้อเอาจิตใจของตน ให้ออกจากศีลและธรรมอยู่เสมอ ๆ  ไม่ปรารภความเพียรเพื่อจะออกจากกามเลยหนอ

 

               ดูก่อนผู้ปฏิบัติ  อย่าไปนึกคิดไปบ่น  ไปพูดโดยงม ๆ  งาย ๆ  โดยไม่รู้ทางทุกข์ทางสุข โดยไม่รู้เหตุและผลนั้นเอง  กายเวทนาสังขารนี้อย่างหนึ่ง  จิตใจนี้อย่างหนึ่ง  เปรียบได้ให้เห็นโดยชัด  ผู้ยังไม่รู้ ผู้เขลาอยู่ก็จะรู้จะเห็น  ทำให้เกิดปัญญาออกจากตัณหาอาสวะได้  โดยท่านผู้อ่านแล้วได้พิจารณาติดตามในธรรมเหล่านี้ จะเปรียบธรรมนอกให้รู้ให้เห็นเป็นความจริง  กายเวทนาสังขารเป็นส่วนหนึ่งของเขา เปรียบได้เหมือนกับเสื้อผ้าที่เรานุ่งห่มบังกาย-เวทนา-สังขารไว้นั้นเอง  เราจะฉีกทิ้งหรือโยนทิ้งออกไป หรือเราจะฆ่าฟันให้ย่อยยับดับไป  เผาไฟหรือฝังดินทิ้งก็ตาม  กายเวทนาสังขารนี้เขาไม่มีว่ากระไรกับเราแม้แต่นิดเดียว แม้แต่เรามิได้ทำอะไรกับกาย-เวทนา-สังขารเลย   เขาก็ต้องอันตรายแตกดับไปวันหนึ่งจนได้  ไม่ฆ่าก็ต้องตายอยู่แล้ว เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์และสัตว์  ที่ครองอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น  อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของกายเวทนาของเราท่าน ให้พิจารณาเป็นของไม่เที่ยง  มันอยู่ในกองทุกข์   หมู่ท่านอย่าเข้าใจผิด  มันติดตัณหาปรารถนาจะให้สุขล้วนๆ นั้นย่อมไม่มี  ให้พิจารณากัน

 

               อนึ่งว่าศีลขาด  ศีลด่าง  ศีลพร้อยและศีลทะลุนั้น สี่อย่างนี้ได้แก่จิตเจตสิกที่คิดไปในสิ่งไม่สวยไม่งามนั่นเอง

 

               ศีลขาด แปลว่าประมาทศีลนั่นเอง  อยากกระทำอะไรก็ทำไปด้วยกาย-วาจา-ใจ  เราอยู่ได้ก็จะอยู่ อยู่ไม่ได้ก็สึก  ลมของจิตคิดเช่นนี้แหละ  ทำให้ศีลขาดได้ทุกขณะ  จงจำไว้นักบวชชาย-หญิง

 

               ศีลด่าง  แปลว่าได้แก่จิตเจตสิก  คิดติดตัณหาแห่งกาม  ส่งเสริมในสิ่งเสพกาม  จิตนั้นจะด่าง อันว่าด่างนั้นก็คือ  จิตเจตสิกไม่ดีนั่นเอง  มันไม่ดีแล้วมันก็ไม่มีผลอะไรทางธรรม  ท่านว่าไม่สวย ทางโลกท่านว่ามันเกิดจัญไรไฟไหม้มันถึงจะด่าง  นักบวชชาย-หญิงจงจำไว้ไม่ว่าอะไรทุกอย่างทั่ว ๆ  ไป ถ้ามันด่างหรือตกสีไปแล้วมันไม่ดีทังนั้น  จิตเจตสิกมนุษย์และสัตว์ก็เช่นกัน

 

               ศีลพร้อย  ก็ได้แก่จิตเจตสิกนั่นเอง  มันคิดไปในศีลและธรรมบ้าง  ในโลกแห่งกามบ้าง เป็นจุดๆ มืดบ้างมัวบ้างเหมือนผีเข้าผีออกหลอกตนเอง  เพราะจิตพร้อยคิดออกนอกศีลนอกธรรม  ท่านถึงเรียกว่าศีลพร้อย เพราะจิตเจตสิกคิดนอกศีลและธรรมเป็นครั้งคราว  จึงเป็นจุด ๆ  นักบวชชาย-หญิงจงไตร่ตรองดูกันบ้าง  

 

               ศีลทะลุ  นั้นแปลว่าจิตเจตสิกความนึกคิดของผู้ปฏิบัติทั้งหลาย  ไม่อยู่ในศีลและธรรมวินัย คิดนอกศีลและธรรมนั่นแหละเรียกว่าศีลทะลุ  แต่ท้ายที่สุดศีลนั้นไม่มีทะลุ  การทะลุนั้นคือ เจตสิกของภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์  คิดนอกศีลนอกธรรมกันไปนั่นเอง  เรียกว่าทะลุ ธรรมเหล่านี้แหละท่านเรียกว่าผู้ละเมิดศีลและธรรมและวินัย  ด้วยกาย-วาจา-ใจ สิ่งที่บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ในพระธรรมพระวินัยรู้ได้เฉพาะตน  ผู้ปฏิบัติถูกต้องตามพระธรรมพระวินัย สามารถรู้ในทางดีและทางชั่วแห่งจิตเจตสิกตนและผู้อื่น  เห็นว่าศีล  พระธรรมพระวินัย นี้จะประพฤติปฏิบัติได้เดินตามได้ทุกเพศทุกวัย  ไม่ว่าท่านชายและท่านหญิง  ความบริสุทธิ์มีดังต่อไปนี้

               คือจิตของผู้ปฏิบัติ  บรรลุเข้าถึงความบริสุทธิ์ศีลธรรม  พระวินัย เข้าสู่จิตโสดาบันแล้วถึงจะรู้จิตของผู้โสดาบันด้วยตนเอง  สามารถรู้จิตโสดาบันได้ทุกชั้น-ทุกภูมิ-ทุกภพ จิตผู้ปฏิบัติชาย-หญิงเข้าสู่ศีลธรรมพระวินัยได้บริสุทธิ์  จิตเข้าสู่พระสกิทาคามี  สามารถรู้จิตของตนและผู้อื่น ที่เข้าสู่พระสกิทาคามีได้ทุกชั้น-ทุกภูมิ-ทุกภพ  ผู้ปฏิบัติทั้งหลายชาย-หญิง  ทุกเพศทุกวัย  ทุกภพทุกชาติ  ทุกชั้นทุกภูมิ มีจิตดำเนินเข้าสู่ศีลธรรมพระวินัยโดยบริสุทธิ์  จิตเข้าสู่พระอรหัตอรหันต์ได้แล้ว สามารถรู้จิตเจตสิกของพระอรหัตอรหันต์  ด้วยตนเองและผู้อื่น  ว่าปฏิบัติได้ทุกเพศทุกวัย ผู้ปฏิบัติจิตเข้าสู่พระสกิทาคามี  พระอนาคามี  พระอรหัตอรหันต์ได้แล้วนั้น  ย่อมรู้แจ้งรู้บุญรู้บาป  รู้ทุกข์รู้สุข รู้กรรมรู้เวร  รู้ชั้นรู้ภูมิ  รู้ภพรู้ชาติ  รู้นรก  สวรรค์  พระนิพพาน  ที่จิตจะไปปฏิสนธิในการกระทำนั้น ๆ  รู้สิ่งที่เกิดพาเวียนวนอยู่ในภพทั้งสาม  รู้ในทางปัญญาว่าละออกได้ทุกเพศทุกวัย  ดับเชื้อสิ้นสุดเข้านิพพานท่านเรียกว่า “มรรคแห่งตัวรู้” สิ่งตัวรู้นั้นมีอยู่ทุกตัวคนเราติดอยู่ก็รู้  เราไม่ติดก็รู้  เราอยู่ในตัณหาก็รู้  เราออกจากตัณหาได้แล้วก็รู้ สิ่งที่รู้ไม่ติดอยู่ในธรรมทั้งปวง  สิ่งนั้นแหละเข้าสู่นิพพาน  ไม่มีสิ่งดึงดูดให้เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า  “นิพพานัง ปรมัง สุขขัง”  สุขอื่นใดยิ่งกว่านิพพาน  ย่อมไม่มี

 

               ความนึกคิดนอกศีลและธรรม  มันเป็นอารมณ์ของจิต  เราไม่ได้คิดอยู่ในอารมณ์นั้นว่า เป็นสิ่งที่ชอบใจหรือพอใจ  ให้เกิดเป็นอุปาทานในสิ่งตัณหาเหล่านั้น  เราปล่อยวางในอารมณ์เหล่านั้นทั้งสิ้น ความนึกคิดเป็นจิตวิทยา  ความคิดนั้นเป็นเหตุ  ไม่คิดไม่มีผลอย่ากังวลว่าเป็นทุกข์ว่าคิดนั้นไม่ดี ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะเหตุที่นึกถึง  ไม่มีเหตุ  ไม่มีผล  ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะเหตุ  ดับไปก็เพราะเหตุ อย่าใยดีในสิ่งเหล่านั้น 

 

(จบเหตุและผลที่คิดอยู่ไม่ให้รู้ธรรม

 

(สติธรรมนำออกให้พ้นจากทุกข์) 

 

               กามนั้นแล  ทำให้มนุษย์ก่อเกิดไม่หยุดหย่อน  กามเป็นเชื้อรากแก้วให้ก่อเกิดเป็นกรรม นำให้เกิดเป็นกรรม  นำให้เกิดกองทุกข์  กามเป็นบ่อเกิดของสมุทัยแห่งทุกข์ทั้งปวง  กามเป็นมหาสมุทรใหญ่ คือน้ำที่ทำให้มนุษย์และสัตว์ชาย-หญิง  ล่องลอยอยู่ในกองทุกข์  กามคือ  ความกำหนัดถูกต้องสัมผัสเพศตรงข้ามเสมอ ๆ  นั่นแหละท่านเรียกว่ากาม  กามคือกรรมนั่นเอง  ท่านเหล่าใดเสพกามไว้แล้วย่อมมีกรรมติดตามเสมอ ๆ   เพราะกรรมเก่าเราทำไว้แล้ว  ต้องได้รับไม่มากก็น้อย  เพราะการกระทำของตนโดยไม่รู้เท่าทันแห่งกาม ว่าเป็นธรรมชาติมีมาอย่างนั้นก็ทำตาม ๆ  กันไปโดยไม่รู้เท่านั้นเอง  เพราะกามนั้นมันเป็นไฟ ติดที่ใดฉิบหายที่นั่นไม่มากก็น้อย  ความฉิบหายนั้น  คือความทุกข์ที่ติดตาม . ภายหลังนั่นเอง คือกามเป็นบ่อเกิดแห่งการกระทำของตนเองทุกเพศทุกวัย  กามเป็นบ่อให้มนุษย์และสัตว์เกิด เพราะเกิดขึ้นแล้วก็เป็นทุกข์  เพราะกายเวทนาเจ็บปวด  จึงทำให้เกิดเป็นทุกข์  แก่เป็นทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นทุกข์ ตายไปแล้วก็เป็นทุกข์  เพราะกามความกำหนัดรักใคร่  สัมผัสถูกต้องชาย-หญิงนั่นเองให้เกิดเป็นเวร เวรนั้นให้เกิดเป็นกังวลทุกข์โศกในตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอ ๆ  ไป  เพราะจิตใจตนของตนคิดอยู่ นั่นแหละท่านเรียกว่าเวร  เวรนั่นแหละทำให้จิตใจของท่านชาย-หญิงวนเวียนอยู่  โดยไม่รู้สึกตัวซึ่งกันและกัน ว่าเป็นที่พึงซึ่งกันและกัน  ว่าเป็นที่พอใจของตน  ไม่รู้ในทางช้ำใจหรือหนำใจ  ที่กระทำในใจใครมัน  ที่เกิดให้ก่อกรรม จิตใจเกิดเป็นเวรโดยไม่รู้สึกตัว  กามนั่นแหละย่อมกระทำใจของท่านชาย-หญิง  ให้เกิดกระทำผิดติดอยู่ในการกระทำ ย่อมติดอยู่ในกองสังขารที่ตนกระทำ  นำติดให้เกิดเป็นเวรติดเนื่องกันไป  เพราะกามนั้นคือกรรมเวร เป็นสิ่งปิดทางไม่ให้รู้ทางพระธรรมพระวินัย  หลงไปตามผู้เสพกาม  หลงไปตามชาวบ้าน กลายเป็นผู้สะสมวัตถุกาม หลงเลี้ยงสังขาร หลงบำเรอกายตนและผู้อื่นอยู่เสมอไปไม่ยอมละ  เพราะกามให้ก่อเกิดกรรมนะท่านทั้งหลาย ให้พิจารณาตรองกันดูบ้าง

 

(ธรรมนี้เป็นธรรมของธรรมจักรกัปปวัตนสูตร

 

               ภิกษุ-สามเณร-ชี  พราหมณ์ผู้ทรงเพศพรหมจรรย์  ต้องละ  ต้องเว้น  ต้องปราศจาก  ต้องส่งคืน อย่าอาลัยใยดีในสิ่งเหล่านั้น  เป็นผู้เลิกจากบาป  บำเพ็ญบุญแล้ว  ผู้จะเลิกจากบาปให้เลิกจากกามนั้นเสีย กามนั้นแหละทำให้เกิดก่อกรรมสร้างเวร  ท่านเหล่าใดว่า  ตนเลิกจากบาปกรรมแล้ว  แต่คิดเสพกามอยู่  จะไปหาว่าตน เลิกจากบาปกรรมแล้วเช่นนี้  หาทางเลิกมิได้  เพราะกามทำให้ก่อกรรมจองเวร  ดีบ้างชั่วบ้าง  กายกรรม  วาจากรรม มโนกรรมก็เพราะกามนั้นเอง  ผู้ท่านเลิกออกจากกามแล้ว  บาปกรรมเวรย่อมไม่มีแก่ท่านเหล่านั้น มีแต่กรรมเก่าที่ท่านได้กระทำไว้  กรรมใหม่ย่อมไม่มีอีกต่อไป

 

               กรรมที่เราสร้างขึ้นเป็นรูปและนามมนุษย์และสัตว์นี้ร้ายนัก  หาดีได้ยาก  แม้แต่เราท่าน จะให้ศีลและธรรมปสาทะแผ่เมตตา  เป็นที่ดีมีราคาหาอันจะเปรียบมิได้ในโลกเรานี้ไม่มี  พวกกรรมไม่ยอมรับไป กลับว่าไม่ดี กรรมเวรเหล่านั้นกลับไปต้องการทรัพย์วัตถุกาม  คือเงินทองเรือกสวนไร่นาว่าเป็นเลิศ เพราะกามที่เรากระทำไว้แล้วนั่นเอง  กรรมเหล่านี้  ย่อมนำติดตามก่อกวนอยู่เสมอ ๆ  ไม่มากก็น้อย ท่านเหล่าใดไม่เคยถูก  ไม่เคยกระทำกามกรรมเหล่านี้  ก็คงไม่รู้ว่ามันหนักไปแค่ไหน  ไฟของกามที่เรากระทำไว้แล้วนั้น มันติดต่อกันไปอยู่เสมอ ๆ  ไม่รู้จักจบ  แม้แต่สลบตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมา  กรรมนั้นก็ยังติดตามเผาลนเราอยู่ ไม่รู้สร่างซา  เพราะกามตัณหาที่เรากระทำไว้โดยเราไม่รู้เท่าทัน  เพราะความกำหนัดประเพณีที่สืบ ๆ  กันมานั่นเอง อาตมาถูกมาแล้วถึงได้มาจำแนกธรรมไว้ในที่นี้  เพื่อผู้ปฏิบัติทั้งหลายตลอดจนถึงภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์ ผู้นึกคิดงมงายอยู่  จะได้รู้กรรมเวร  ทุกข์สุขโดยชัดเจน  อย่าเห็นว่าเป็นของสนุก ทุกข์กรรมเวรบังอยู่เบื้องหลังนะท่านชาย-หญิง  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  อพรัหมจริยาเวรมณี ห้ามภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์  ประพฤติอัศธรรม  มันเป็นกรรมเวรของข้าศึก ติดตามรบกวนคอยประหัตประหารซึ่งกันและกันอยู่เสมอ ๆ  ไม่คิดไม่รู้  ไม่ดูไม่เห็น กรรมเวรมีอยู่ที่กามตัณหาสามโลกธรรมแปดประการ  ก็เกิดขึ้นเพราะกามนั้นเอง  ปาราชิก  สังฆาทิเสส ถุลลัจจัยหรืออาบัติทั้งหลายที่มีอยู่เป็นข้อห้าม  อพรัหมศีลสิกขาบทที่สามนี้เป็นส่วนมากนะท่าน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงได้กล่าวไว้โดยชัดเจน  ท่านกลัวภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์ลูกของท่านไปตกอยู่ในหลุมกาม ที่เป็นกรรมเป็นเวรแห่งอบายมุขเป็นทุกข์แสนเข็นนะท่าน  กามนั้นเป็นการสะสมด้วยความกำหนัด  ก่อกรรมหึงหวง ให้เกิดเป็นเวรเป็นกรรมในตนและผู้อื่น  กามนั้นให้เกิดการสะสมวัตถุต่าง ๆ  มาไว้ว่าเป็นของตนถาวร ทำให้เกิดความหลง  เกิดเกรงกลัวไปต่าง ๆ  หลงเลี้ยงสังขารตนและผู้อื่น  หลงเลี้ยงชีวิต  หลงเลี้ยงจิตใจด้วยกาม เลยเกิดเป็นความโลภ  อยากสัมผัสถูกต้องทางกายตนและผู้อื่น  อยากพูดจาในเรื่องสะสมแห่งกามอยู่เสมอ ๆ  อยากนึกคิดอยู่แต่ในเรื่องเสพกามอยู่เสมอ ๆ  ไป

               ธรรมเหล่านี้แหละปิดทางจิตใจ  ไม่ให้มีความสว่างแจ่มแจ้งในพระธรรมพระวินัย  ไม่ให้รู้บุญบาป ไม่ให้รู้ทุกข์รู้สุข  เพราะความเมาหลงเลี้ยงอยู่แต่สังขาร  จะเอาทางสว่างพระนิพพานมาจากที่ใดกันเล่า ธรรมที่อาตมาภาพที่ได้จำแนกมาไว้ในที่นี้  หารู้ซึ้งได้ยาก  เพราะเป็นทางปราศจากหมู่กามญาติวงศ์ตระกูลบ่อเกิดของสัตว์  เป็นทางลัดหนีจากหมู่มารแห่งกายา เป็นทางหนีออกอาสวะลูกหลานเหลน  ไม่มียินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น  ถึงได้ปรารภว่า  หาคนรู้ซึ้งได้ยาก เพราะเราปราศจากกามตัณหาไม่เป็นนั่นเอง  ธรรมเหล่านี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ไปจำแนกให้เบญจวัคคีย์ทั้งห้าพระองค์  จนได้บรรลุพระอรหันต์กันทั้งหมด พอได้ยินได้ฟังเท่านั้นก็รู้จักทุกข์แห่งกาม  รู้ทุกข์แล้วก็ปล่อยวาง  ไม่เอามาเป็นอารมณ์นึกคิดอีกต่อไป แปลว่าผู้ล่วงทุกข์ได้แล้ว  คือเป็นผู้ลอยบาปไปเสียแล้ว  ในขณะที่พระพุทธเจ้าเทศนาธรรมเรื่องกามนี้ โกณฑัญญะก็รู้เท่าทันแห่งกาม  ว่าเป็นกรรมเป็นเวรเพราะกามนี้เอง  ก็ปล่อยวางเสีย ยกจิตใจคว้าติดเอาพระไตรสรณาคมน์เป็นที่พึ่งที่อาศัย  ไม่ใยดีในกามอีกต่อไป ถึงได้เปล่งวาจาออกมาต่อหน้าพระพุทธองค์  ซึ่งกำลังแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ว่า  “รู้แล้วพระพุทธเจ้าข้า ธรรมเหล่านี้มิได้เคยได้ยินได้ฟังเลย  ไม่รู้ว่าธรรมเหล่านี้เป็นธรรมประกอบทุกข์  รู้แล้ว  รู้แล้ว ไม่เป็นน่าปรารถนาเลยหนอ  ต่อนี้ไปไม่ปรารถนาอีกต่อไปแล้ว ” พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “อัญญาสิ วตโภ โกณฑญฺโญ” โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ  รู้แล้วหนอ  จิตท่านก็บรรลุในธรรม  ไม่กลับเข้าไปสู่กามอีกต่อไป ดังนี้ท่านเรียกว่าบรรลุธรรมทั้งปวง  เบญจวัคคีย์ทั้งห้าก็ได้บรรลุตาม ๆ  กันไปทั้งห้าพระองค์ เทวบุตร  เทวดา  อินทร์  พรหม  พอได้ยินได้ฟังแล้วก็บรรลุโสดาบัน  บรรลุสกิทาคามี  ออกมากมาย ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมในคราวนั้น

 

               ในคราวนี้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แสดงในคราวนั้น ในเวลานี้ธรรมพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีอยู่  ยังได้รู้ได้อ่านได้ฟังกันอยู่  รู้สึกนึกคิดกันบ้างไหม ภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์ในสมัยนั้น  ท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเราทุกวันนี้แหละ หมู่เราท่านก็เป็นมนุษย์ด้วยกันมิใช่หรือ  มันไม่แตกต่างกันไปเลย  เราปล่อยวางละได้ทุกตัวคนนั่นแหละ สมัยนั้นกับสมัยนี้มันไม่ต่างกันดอกท่าน  เปรียบได้เหมือนเราพลัดจากบ้านเมืองเราไปสู่ถิ่นแดนไกล เราจากไปไม่ไยดีในถิ่นฐานเดิม  เพื่อแสวงหาความรู้อันประเสริฐ  เพื่อความสุขมิใช่หรือ ทางปฏิบัติให้เดินตามพุทธบัญญัติก็เหมือนกัน  เพื่อหาทางพ้นออกจากความทุกข์  เพื่อออกจากความเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์  เจ็บเป็นทุกข์  เมื่อตายก็เป็นทุกข์เช่นนี้  เรารู้แล้ว  ก็ต้องจากไปให้พ้นจากความเป็นทุกข์  ในกามภพ  รูปภพ อรูปภพ  ภพทั้งสามนี้มิใช่หรือ  ถึงได้ออกเดินไปจากถิ่นฐานทางไกล  เพื่อปราศจากความเป็นทุกข์ให้พ้นไปดังนี้ นักบวชทั้งหลายชาย-หญิง  ก็เล่าเรียนปฏิบัติเพื่อหาทางไม่เกิดอีกต่อไปไม่ใช่หรือ  ถ้าเราไม่เกิดอีกแล้วกรรมเวรนั้น ย่อมไม่มีแก่ท่านเหล่านั้น  มนุษย์และสัตว์จะเกิดได้หรือเกิดอีก  ก็เพราะกามความกำหนัดรักใคร่กายตนและผู้อื่น คิดติดอยู่เนือง ๆ  ก็เพราะกาม  เราท่านทั้งหลายให้ละจากกามนั้นเสีย  ถึงจะไม่วนเวียนเกิดอีก กามเราท่านที่จะละนั้นมีอยู่สองอย่างคือ

 

               กามที่สะสมอยู่ในความกำหนัดนี้อย่างหนึ่ง  วัตถุกามความสะสมในวัตถุต่าง ๆ  แก้วแหวนเงินทอง เพื่อมาบำเรอกายตนและผู้อื่นนี้อย่างหนึ่ง

 

               สองอย่างนี้แหละภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์  เป็นหน้าที่ละเว้น  ปราศจากส่งคืนอย่าอาลัยในสิ่งเหล่านั้น เราเป็นผู้ละในธรรมสองประการแล้ว  กรรมเวรนั้นย่อมไม่มีอีกต่อไป  เพราะเราเกิดมา  วิบากกรรมนั้นย่อมมีอยู่ทุก ๆ ท่าน วิบากกรรมนั้นคือ  ความเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย  เป็นทุกข์นี่แหละ  ท่านเรียกว่าวิบากกรรม  ประจำติดอยู่ทุกตัวคน เพราะว่ามนุษย์และสัตว์จะเกิดได้  ก็เพราะกามที่กล่าวมานี้แหละหมู่ท่านทั้งหลาย  อาตมาภาพถึงได้กล่าวยืนยันไว้ว่า ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของหมู่เราท่าน  ต้องการให้ภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์-นักบวชทั้งหลาย  ให้เลิกให้ละ ถึงชนะหมู่มารได้นะท่านชาย-หญิง  การปฏิบัติฝึกหัดเล่าเรียนเพื่อแสวงหาธรรมพิเศษเหล่าใดก็ตาม เพื่อสะสมแห่งกามในความสรรเสริญ  เพื่อดี  เพื่อวัตถุกาม  แห่งองค์ประกอบทุกข์  เพื่อคลุกคลีในหมู่คณะ เพื่อเพลิดเพลินหลงอยู่ในสิ่งต่าง ๆ  ที่ย้อมใจชาย-หญิงแห่งกาม ธรรมเหล่านี้ไม่ใช่พระธรรมพระวินัยวัตถุศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านปราถนา และไม่สรรเสริญธรรมเหล่านี้  เพราะมันเป็นธรรมที่ประกอบทุกข์ เพราะกามนั่นเอง

 

               องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านถึงได้ตรัสทางอริยมรรคมีองค์แปดไว้ให้ ภิกษุ-สามเณร-ชี-พราหมณ์เพื่อให้เดินตาม  เรียกว่าสัมมาทิฐิ  เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  คือปฏิบัติเพื่อออกจากกามนั่นเอง

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:32:13

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom