-
ความรู้แจ้งแห่งโสดาบันบุคคล
|
|
-
ข้อที่ 1
รู้แจ้งว่าธาตุสังขารทั้งหลายเหล่านี้
เป็นแต่เพียงร่างสัตว์บุคคลเท่านั้น
มิใช่ตัวบุคคลเราเขาแต่อย่างใด
ลมไฟที่หายใจเข้าออกอยู่นี้
ที่ให้ความเป็นอยู่สิ่งเหล่านี้เป็นเราเป็นเขา
แต่มิใช่ตัวตนแต่อย่างใด
ธรรมเหล่านี้จะรู้แจ้งได้ด้วยวิปัสสนาพิจารณา
ปัญญาญาณความหยั่งรู้ด้วยปัญญา
จะรู้ได้จำเพาะตนเองนี้เป็นญาณที่
1 ของโสดาบัน
ฯ
|
|
-
ข้อที่
2 วิจิกิจฉา
ความสงสัยลังเลที่ติดอยู่ในสังขารธาตุ
ว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขานี้
ไม่มีการสงสัยในเรื่องกายนี้ไม่มีแก่เราแต่อย่างใด
นี้เป็นญาณขั้นที่
2 ที่บังเกิดขึ้นแก่ใจ
รู้ได้เกิดแก่ใจด้วยปัญญาญาณของผู้โสดาบันเอง
ฯ
|
|
-
ข้อที่ 3
สีลัพพตปรามาส
เป็นศีลพรตเป็นศีลจำพวกอลัชชี
ฤาษี
เดียรถีย์
นิครนณ์
ที่ถือกันว่าเป็นมดเป็นหมอผีเจ้าจ้าวทรง
รักษาธาตุสังขารให้หายเจ็บไข้ได้ป่วย
ก็ว่าเป็นศีลเป็นธรรมอันยิ่ง
ๆ เรียกว่ารักษาศีลธรรมอย่างงม
ๆ งาย
ๆ อยู่
ได้แก่จำพวกถือศีลพรต
โสดาบันรู้แจ้งแล้วว่า
มิใช่เป็นศีลธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่อย่างใด
ศีลพรตเป็นศีลธรรมของพรหมของพราหณ์ถือไปต่าง
ๆ กัน
เดินไปตามทางเดรัจฉานวิชา
โอปาติกะที่ท่องเที่ยวอยู่ในภพทั้งสามนี้
จะหาทางออกทางพ้นทุกข์มิได้แต่อย่างใด
โสดาบันพิจารณาแล้วรู้แจ้งละเว้น
ออกจากทางสายศีลธรรมของศีลพรตได้
รู้แจ้งด้วยปัญญาญาณที่
3 เรียกว่า
บรรลุโสดาบัน
อยู่ในทางมรรค-ผล-นิพพาน
ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้แต่ฝ่ายเดียว
ฯ
|
|
-
ผู้รู้แล้วในศีลธรรมที่กล่าวมานี้
รู้แจ้งด้วยตนเองก็จะมาปฏิสนธิอยู่ในร่างกายสังขารของมนุษย์อยู่อีก
7 ชาติ
(เจ็ดชาติ)
ก็จะได้เป็นพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพานต่อไปเท่านั้น
ตามพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้จะรู้ได้จำเพาะตน
จิตใจโสดาบันนี้มีจิตยึดมั่นอยู่ในทาน-ศีล-ภาวนา
ไตรสรณาคมน์อยู่เสมอ
ๆ ไม่เสื่อมคลายแต่อย่างใด
จะได้รู้ได้ด้วยจิตใจตนเอง
เพราะว่าโสดาบันนี้เป็นผู้รู้แจ้งด้วยตนเอง
เป็นผู้ละสักกายะทิฐิได้แล้ว
จะได้รู้ด้วยตนเอง
ไม่มีวิจิกิจฉาสงสัยในกาย
ว่าเป็นตัวตนแต่อย่างใด
ไม่มีความสงสัยในธรรมทั้งปวง
ละสีลัพพตปรามาสไสยศาสตร์ต่าง
ๆ ได้อย่างสิ้นเชิง
มีแต่ความน้อมนึกอยู่
เรียกว่าภาวนาอยู่
ดังนี้ว่า
พุทธัง
สะระณัง
คัจฉามิ
ธัมมัง
สะระณัง
คัจฉามิ สังฆัง
สะระณัง
คัจฉามิ
ว่าเป็นสรณะที่พึ่งอาศัยสิ่งอื่น
ๆ จะยิ่งกว่าย่อมไม่มีอีกแล้วต่อไป
ดังนี้เรียกว่า
จิตของโสดาบัน
จิตหนึ่งไม่มีสองแต่อย่างใด
จะได้รู้ได้ด้วยตนเองในธรรมเหล่านี้
มิได้ไปยินดีในคำภาวนาคาถาวิชาต่าง
ๆ แต่อย่างใด
เพราะปัญญารู้แจ้งบังเกิดขึ้นแก่จิตใจ
ที่ตนได้ละสักกายะทิฐิได้แล้ว
ละวิจิกิจฉาได้แล้ว
ละสีลัพพตปรามาสได้แล้วนั้นเอง
ความรู้แจ้งแห่งญาณก็หยั่งรู้ในธรรมทั้งปวงมีความอัศจรรย์เกิดขึ้นด้วยตนเอง
ผู้ปฏิบัติจึงให้พิจารณาตนของตนกันบ้างได้ผลดี
|
|