ความรู้แจ้งแห่งโสดาบันบุคคล

 

               ข้อที่ รู้แจ้งว่าธาตุสังขารทั้งหลายเหล่านี้  เป็นแต่เพียงร่างสัตว์บุคคลเท่านั้น มิใช่ตัวบุคคลเราเขาแต่อย่างใด  ลมไฟที่หายใจเข้าออกอยู่นี้  ที่ให้ความเป็นอยู่สิ่งเหล่านี้เป็นเราเป็นเขา แต่มิใช่ตัวตนแต่อย่างใด  ธรรมเหล่านี้จะรู้แจ้งได้ด้วยวิปัสสนาพิจารณา  ปัญญาญาณความหยั่งรู้ด้วยปัญญา จะรู้ได้จำเพาะตนเองนี้เป็นญาณที่ของโสดาบัน ฯ

 

               ข้อที่วิจิกิจฉา  ความสงสัยลังเลที่ติดอยู่ในสังขารธาตุ ว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขานี้ ไม่มีการสงสัยในเรื่องกายนี้ไม่มีแก่เราแต่อย่างใด  นี้เป็นญาณขั้นที่ ที่บังเกิดขึ้นแก่ใจ รู้ได้เกิดแก่ใจด้วยปัญญาญาณของผู้โสดาบันเอง ฯ

 

               ข้อที่ สีลัพพตปรามาส  เป็นศีลพรตเป็นศีลจำพวกอลัชชี  ฤาษี  เดียรถีย์  นิครนณ์ ที่ถือกันว่าเป็นมดเป็นหมอผีเจ้าจ้าวทรง  รักษาธาตุสังขารให้หายเจ็บไข้ได้ป่วย  ก็ว่าเป็นศีลเป็นธรรมอันยิ่ง ๆ  เรียกว่ารักษาศีลธรรมอย่างงม ๆ  งาย ๆ  อยู่  ได้แก่จำพวกถือศีลพรต  โสดาบันรู้แจ้งแล้วว่า มิใช่เป็นศีลธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่อย่างใด  ศีลพรตเป็นศีลธรรมของพรหมของพราหณ์ถือไปต่าง ๆ  กัน  เดินไปตามทางเดรัจฉานวิชา  โอปาติกะที่ท่องเที่ยวอยู่ในภพทั้งสามนี้  จะหาทางออกทางพ้นทุกข์มิได้แต่อย่างใด โสดาบันพิจารณาแล้วรู้แจ้งละเว้น  ออกจากทางสายศีลธรรมของศีลพรตได้  รู้แจ้งด้วยปัญญาญาณที่ เรียกว่า “บรรลุโสดาบัน”  อยู่ในทางมรรค-ผล-นิพพาน  ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้แต่ฝ่ายเดียว ฯ

 

               ผู้รู้แล้วในศีลธรรมที่กล่าวมานี้  รู้แจ้งด้วยตนเองก็จะมาปฏิสนธิอยู่ในร่างกายสังขารของมนุษย์อยู่อีก ชาติ  (เจ็ดชาติก็จะได้เป็นพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพานต่อไปเท่านั้น  ตามพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้จะรู้ได้จำเพาะตน จิตใจโสดาบันนี้มีจิตยึดมั่นอยู่ในทาน-ศีล-ภาวนา  ไตรสรณาคมน์อยู่เสมอ ๆ  ไม่เสื่อมคลายแต่อย่างใด จะได้รู้ได้ด้วยจิตใจตนเอง  เพราะว่าโสดาบันนี้เป็นผู้รู้แจ้งด้วยตนเอง  เป็นผู้ละสักกายะทิฐิได้แล้ว  จะได้รู้ด้วยตนเอง ไม่มีวิจิกิจฉาสงสัยในกาย  ว่าเป็นตัวตนแต่อย่างใด ไม่มีความสงสัยในธรรมทั้งปวง  ละสีลัพพตปรามาสไสยศาสตร์ต่าง ๆ  ได้อย่างสิ้นเชิง  มีแต่ความน้อมนึกอยู่  เรียกว่าภาวนาอยู่  ดังนี้ว่า…พุทธัง  สะระณัง  คัจฉามิ  ธัมมัง  สะระณัง คัจฉามิ  สังฆัง  สะระณัง  คัจฉามิ  ว่าเป็นสรณะที่พึ่งอาศัยสิ่งอื่น ๆ  จะยิ่งกว่าย่อมไม่มีอีกแล้วต่อไป  ดังนี้เรียกว่า จิตของโสดาบัน  จิตหนึ่งไม่มีสองแต่อย่างใด  จะได้รู้ได้ด้วยตนเองในธรรมเหล่านี้  มิได้ไปยินดีในคำภาวนาคาถาวิชาต่าง ๆ  แต่อย่างใด  เพราะปัญญารู้แจ้งบังเกิดขึ้นแก่จิตใจ  ที่ตนได้ละสักกายะทิฐิได้แล้ว  ละวิจิกิจฉาได้แล้ว ละสีลัพพตปรามาสได้แล้วนั้นเอง  ความรู้แจ้งแห่งญาณก็หยั่งรู้ในธรรมทั้งปวงมีความอัศจรรย์เกิดขึ้นด้วยตนเอง ผู้ปฏิบัติจึงให้พิจารณาตนของตนกันบ้างได้ผลดี

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:33:23

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom