เมตตาเจโตวิมุตติญาณ

 

               เมตตาเจโตวิมุตติญาณ  เป็นทางปฏิบัติเพื่อพิจารณาใน ศีล  สมาธิ  ปัญญา  มรรค  ผล นิพพานของพระพุทธเจ้าให้แจ้งให้ได้เป็นอันขาด  ถ้าไม่ได้แม้แต่ธาตุสังขารจะแตกดับไปเสียก็ไม่ว่า ก็เพราะยังดีกว่าเรายังอยู่  ถ้าอยู่ก็หาประโยชน์อันใดมิได้  เพราะเราไม่รู้จักศีล  สมาธิ  ปัญญา  มรรค  ผล  นิพพาน  ก็จะหาประโยชน์เพื่อตนและผู้อื่นก็หามิได้  ถ้าเรารู้แจ้งในทางมรรคผลนิพพานตามทางของพระพุทธเจ้าแล้ว  เราก็จะได้ชี้ทางให้แก่มนุษย์ชายหญิงให้เดินตามไปได้ ฯ

 

               อันนี้เป็นหลักของผู้ปฏิบัติจิตใจของตนให้เข้าถึงเมตตาเจโตวิมุตติญาณ  ถึงได้พิจารณาหาทางใจและจิตของตนให้เข้าสู่ศีล  สมาธิ  ปัญญา  เอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอาศัย ไม่หวั่นไหวต่อสภาวะต่าง ๆ  แต่อย่างใด ฯ  หลักปฏิบัติพิจารณาเมตตาเจโตวิมุตติญาณจะยืน  เดิน  นั่ง  นอน  ให้พิจารณาด้วยปัญญา ให้รู้เท่าสังขารของตนและผู้อื่น  ให้ยกจิตออกจากการคลุกคลีในหมู่คณะ  ยกจิตตนให้เป็นผู้สันโดษมักน้อย ไม่เป็นไปในทางมักใหญ่แต่อย่างใด  ให้ภาวนาเมตตาอยู่ในใจของตนเสมอ ๆ  ว่าดังนี้คือ  “ท่านทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด”  ให้ได้ทุกอิริยาบถทั้งสี่เมตตาเจโตวิมุตติญาณจะเกิดขึ้นแก่จิตใจของท่านเองเร็วที่สุด  เราให้มีเมตตาตนของตน ที่ได้ถูกเหยียดหยามมาแล้วแต่ก่อน ๆ  ที่ผ่านมา  เราให้มีเมตตาสงสารตนของเรา  เราอย่าไปนึกคิดเอาสิ่งโกรธเคือง คับแคบแค้นใจมาเป็นอารมณ์  เป็นที่พึ่งอาศัยแก่จิตใจของท่าน  ให้ท่านวางเฉยเสียอย่าไปปฏิเสธตนเสีย ให้น้อมนึกดูลมหายใจนั้นอยู่เสมอ ๆ  ให้นึกถึงคุณพระพุทธ-คุณพระธรรม-คุณพระอริยสงฆ์  ให้ทำจิตใจของตนให้เบิกบาน  ให้สว่าง ให้แจ่มแจ้งเป็นสรณะ  ที่พึ่งที่อาศัยของตนให้ถาวรถึงท้ายที่สุดคือ  นิพพาน  คือความสุขอันยิ่งที่ปราศจากอามิสทั้งปวงได้แล้ว เป็นสุขอย่างยิ่ง  ให้เอาปัญญาสติของเราน้อมนึกให้ได้ให้น้อมเข้ามาสู่จิตใจของเราให้มีอยู่เสมอๆอย่าให้ขาด เมตตาเจโตวิมุตติญาณจะบังเกิดขึ้นแก่เราได้เร็วที่สุด  ในทางปฏิบัติของเราเอง ผู้ปฏิบัติต้องเดินตามทางสติปัญญานี้ถึงจะถูกทางเมตตาเจโตวิมุตติญาณไปได้ตามพุทธบัญญัติ ฯ

 

               ผู้ปฏิบัติทั้งหลายให้ลองฝึกลองหัดดู  ให้ใช้ปัญญาของตนที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ เพื่อพิจารณาตนและผู้อื่นให้แจ่มแจ้ง ให้พิจารณาในธรรมเหล่านี้ให้ชัดเจนให้จิตใจเรามั่น  จนให้เกิดองค์สมาธิที่ถือใจมั่นไม่หวั่นไหวต่อหลักการในทางปฏิบัติอันใดใดทั้งสิ้น ตัดวิจิกิจฉาความสงสัยลังเลในธรรมทั้งปวงให้ขาดจากสันดานของตนให้สิ้นไป ไม่มีวิจิกิจฉามาเป็นอารมณ์ของเราแต่อย่างใดให้จิตใจตั้งมั่นอยู่ในสมาธิปัญญา  ให้พิจารณาในกายธาตุสังขารในรูปและนาม ให้เห็นว่าเป็นสิ่งอันไม่เที่ยง ว่าเป็นทุกข์  ให้พิจารณาให้ถึงว่าความตายต้องมาถึงวันหนึ่งจนได้  เราจะมิได้ประมาทตนและผู้อื่นแต่อย่างใด ให้รู้จักความตายมีอยู่ 4 อย่างดังต่อไปนี้คือ

 
(1)   ตายเพราะอุบัติเหตุ
คืออายุสังขารยังไม่หมดก็ตายได้
(2)   ตายเพราะกรรมบีบคั้น
คืออายุสังขารยังไม่หมดก็ตายได้
(3)   ตายเพราะโรคบีบคั้น
คืออายุสังขารยังไม่หมดก็ตายได้
(4)   ตายเพราะหมดอายุ
 
 

               สี่อย่างนี้เป็นความตายของสังขารธาตุของมนุษย์และสัตว์  ซึ่งมิใช่ตัวตนบุคคลเราเขาแต่อย่างใด ผู้ปฏิบัตินักบวชชาย-หญิง อย่า ได้ประมาทไปหลงติดในกายธาตุสังขารแห่งธรรมกายว่าเป็นตัวตนบุคคลของเราเขา ในรูปและนามสีแสงต่าง ๆ   กายนอก-กายใน-กายในกาย  กายทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งไม่เที่ยง  มีกายต้องมีเวทนา  มีจิตต้องมีธรรม ทางสายนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่จิตใจของ  ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงจะข้ามภพทั้งสามเข้าสู่นิพพาน ฯ

 

               แต่ถ้าจิตใจยังไม่สงบก็ให้พิจารณาละเว้นโลกธรรมแปดประการโลกวัชชะ  ที่โลกเขาติเตียนกัน ที่โลกเขาถืออยู่กันทุก ๆ  วันนี้เสีย  ตาเห็นเราก็รู้  หูได้ยินเราก็รู้  อะไรๆเราก็รู้  ให้วางเฉยเสีย ให้ยึดเอาสิ่งไม่มีมาเป็นอารมณ์หนึ่งไม่มีสองแล้วจิตใจถึงจะสงบ  เพราะเราละเว้น  ปราศจากส่งคืน  เราไม่อาลัย ต่อโลกธรรมทั้งแปดประการโลกวัชชะแต่อย่างใด  จิตใจก็จะสงบสบายเป็นสุขอย่างยิ่ง  ถ้าเรายังละไม่ได้ ความสงบก็ไม่มีจะเป็นทางนิพพานได้อย่างไร  ก็ไปติดโลกธรรมอยู่นั้นเอง  ท่านเหล่าใดหลงไปติดอยู่ในโลกธรรมแปดประการ ไปยินดีในโลกอยู่  ท่านเหล่านั้นจะรู้แจ้งในมรรคผลนิพพาน  ในทางพระอรหันต์  นิพพานหนึ่ง-นิพพานสองได้อย่างไรกันเล่า เลยเป็นผู้ตาบอดหูหนวกเหยียบย่ำ  ศีล สมาธิ ปัญญา  ของพระพุทธเจ้าอยู่นั้นเอง เลยกลายเป็นผู้ประมาทตนและผู้อื่นไปโดยไม่รู้เหตุและผลในทางพุทธศาสนา  ศีล  สมาธิ  ปัญญา  ว่ามีเหตุผลอย่างไรบ้าง ฯ

 

               ขอให้ผู้ปฏิบัตินักบวชชาย-หญิง  ให้ปฏิบัติจิตใจให้เข้าสู่เมตตาเจโตวิมุตติญาณให้ได้เสียก่อน ท่านจะได้รู้ได้ด้วยตัวเองในทางมรรค-ผล-นิพพานของพระอรหันต์ว่ามีอยู่จริง ยุคนี้สมัยนี้พระอรหันต์ที่จะเข้าสู่พระนิพพาน  ยังมีอยู่ก็คือนักบวชชาย-หญิงผู้ปฺฏิบัติตามศีล-สามธิ-ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ยังมีอยู่นั้นเอง  ผู้ปฏิบัติรู้แล้ว  เห็นแล้ว จะรู้ได้จำเพาะตนเอง  ตนไม่รู้ไม่สว่างในทางมรรคผลนิพพานได้  ก็ไปถือเชื่อด้วยตนเองว่า ในยุคสมัยนี้ไม่ท่านเหล่าใดจะไปพระนิพพานได้ดอกอย่างนี้ก็มี  ก็เพราะความเขลาของตนนั้นเอง ก็เลยประมาทตนและผู้อื่นไปด้วยความคิดเห็นดังนั้นพรมจรรย์ ศีล  สมาธิ  ปัญญา มรรคผลนิพพานพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เปิดเผยไว้ให้พร้อมแล้ว  ท่านอย่าปฏิเสธตนเสีย  ในโอกาสนี้เลย 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:35:07

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom