-
เมตตาเจโตวิมุตติญาณ
|
|
-
เมตตาเจโตวิมุตติญาณ
เป็นทางปฏิบัติเพื่อพิจารณาใน
ศีล
สมาธิ
ปัญญา
มรรค
ผล
นิพพานของพระพุทธเจ้าให้แจ้งให้ได้เป็นอันขาด
ถ้าไม่ได้แม้แต่ธาตุสังขารจะแตกดับไปเสียก็ไม่ว่า
ก็เพราะยังดีกว่าเรายังอยู่
ถ้าอยู่ก็หาประโยชน์อันใดมิได้
เพราะเราไม่รู้จักศีล
สมาธิ
ปัญญา
มรรค
ผล
นิพพาน
ก็จะหาประโยชน์เพื่อตนและผู้อื่นก็หามิได้
ถ้าเรารู้แจ้งในทางมรรคผลนิพพานตามทางของพระพุทธเจ้าแล้ว
เราก็จะได้ชี้ทางให้แก่มนุษย์ชายหญิงให้เดินตามไปได้
ฯ
|
|
-
อันนี้เป็นหลักของผู้ปฏิบัติจิตใจของตนให้เข้าถึงเมตตาเจโตวิมุตติญาณ
ถึงได้พิจารณาหาทางใจและจิตของตนให้เข้าสู่ศีล
สมาธิ
ปัญญา
เอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอาศัย
ไม่หวั่นไหวต่อสภาวะต่าง
ๆ
แต่อย่างใด ฯ
หลักปฏิบัติพิจารณาเมตตาเจโตวิมุตติญาณจะยืน
เดิน
นั่ง
นอน
ให้พิจารณาด้วยปัญญา
ให้รู้เท่าสังขารของตนและผู้อื่น
ให้ยกจิตออกจากการคลุกคลีในหมู่คณะ
ยกจิตตนให้เป็นผู้สันโดษมักน้อย
ไม่เป็นไปในทางมักใหญ่แต่อย่างใด
ให้ภาวนาเมตตาอยู่ในใจของตนเสมอ
ๆ
ว่าดังนี้คือ
ท่านทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
ให้ได้ทุกอิริยาบถทั้งสี่เมตตาเจโตวิมุตติญาณจะเกิดขึ้นแก่จิตใจของท่านเองเร็วที่สุด
เราให้มีเมตตาตนของตน
ที่ได้ถูกเหยียดหยามมาแล้วแต่ก่อน
ๆ
ที่ผ่านมา
เราให้มีเมตตาสงสารตนของเรา
เราอย่าไปนึกคิดเอาสิ่งโกรธเคือง
คับแคบแค้นใจมาเป็นอารมณ์
เป็นที่พึ่งอาศัยแก่จิตใจของท่าน
ให้ท่านวางเฉยเสียอย่าไปปฏิเสธตนเสีย
ให้น้อมนึกดูลมหายใจนั้นอยู่เสมอ
ๆ
ให้นึกถึงคุณพระพุทธ-คุณพระธรรม-คุณพระอริยสงฆ์
ให้ทำจิตใจของตนให้เบิกบาน
ให้สว่าง ให้แจ่มแจ้งเป็นสรณะ
ที่พึ่งที่อาศัยของตนให้ถาวรถึงท้ายที่สุดคือ
นิพพาน
คือความสุขอันยิ่งที่ปราศจากอามิสทั้งปวงได้แล้ว
เป็นสุขอย่างยิ่ง
ให้เอาปัญญาสติของเราน้อมนึกให้ได้ให้น้อมเข้ามาสู่จิตใจของเราให้มีอยู่เสมอๆอย่าให้ขาด
เมตตาเจโตวิมุตติญาณจะบังเกิดขึ้นแก่เราได้เร็วที่สุด
ในทางปฏิบัติของเราเอง
ผู้ปฏิบัติต้องเดินตามทางสติปัญญานี้ถึงจะถูกทางเมตตาเจโตวิมุตติญาณไปได้ตามพุทธบัญญัติ
ฯ
|
|
-
ผู้ปฏิบัติทั้งหลายให้ลองฝึกลองหัดดู
ให้ใช้ปัญญาของตนที่มีอยู่ให้สมบูรณ์
เพื่อพิจารณาตนและผู้อื่นให้แจ่มแจ้ง
ให้พิจารณาในธรรมเหล่านี้ให้ชัดเจนให้จิตใจเรามั่น
จนให้เกิดองค์สมาธิที่ถือใจมั่นไม่หวั่นไหวต่อหลักการในทางปฏิบัติอันใดใดทั้งสิ้น
ตัดวิจิกิจฉาความสงสัยลังเลในธรรมทั้งปวงให้ขาดจากสันดานของตนให้สิ้นไป
ไม่มีวิจิกิจฉามาเป็นอารมณ์ของเราแต่อย่างใดให้จิตใจตั้งมั่นอยู่ในสมาธิปัญญา
ให้พิจารณาในกายธาตุสังขารในรูปและนาม
ให้เห็นว่าเป็นสิ่งอันไม่เที่ยง
ว่าเป็นทุกข์
ให้พิจารณาให้ถึงว่าความตายต้องมาถึงวันหนึ่งจนได้
เราจะมิได้ประมาทตนและผู้อื่นแต่อย่างใด
ให้รู้จักความตายมีอยู่
4
อย่างดังต่อไปนี้คือ
|
|
-
-
-
- (1)
ตายเพราะอุบัติเหตุ
|
- คืออายุสังขารยังไม่หมดก็ตายได้
|
-
-
- (2)
ตายเพราะกรรมบีบคั้น
|
- คืออายุสังขารยังไม่หมดก็ตายได้
|
-
-
- (3)
ตายเพราะโรคบีบคั้น
|
- คืออายุสังขารยังไม่หมดก็ตายได้
|
-
-
- (4)
ตายเพราะหมดอายุ
|
-
|
|
|
-
สี่อย่างนี้เป็นความตายของสังขารธาตุของมนุษย์และสัตว์
ซึ่งมิใช่ตัวตนบุคคลเราเขาแต่อย่างใด
ผู้ปฏิบัตินักบวชชาย-หญิง
อย่า
ได้ประมาทไปหลงติดในกายธาตุสังขารแห่งธรรมกายว่าเป็นตัวตนบุคคลของเราเขา
ในรูปและนามสีแสงต่าง
ๆ
กายนอก-กายใน-กายในกาย
กายทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งไม่เที่ยง
มีกายต้องมีเวทนา
มีจิตต้องมีธรรม
ทางสายนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่จิตใจของ
ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงจะข้ามภพทั้งสามเข้าสู่นิพพาน
ฯ
|
|
-
แต่ถ้าจิตใจยังไม่สงบก็ให้พิจารณาละเว้นโลกธรรมแปดประการโลกวัชชะ
ที่โลกเขาติเตียนกัน
ที่โลกเขาถืออยู่กันทุก
ๆ
วันนี้เสีย
ตาเห็นเราก็รู้
หูได้ยินเราก็รู้
อะไรๆเราก็รู้
ให้วางเฉยเสีย
ให้ยึดเอาสิ่งไม่มีมาเป็นอารมณ์หนึ่งไม่มีสองแล้วจิตใจถึงจะสงบ
เพราะเราละเว้น
ปราศจากส่งคืน
เราไม่อาลัย
ต่อโลกธรรมทั้งแปดประการโลกวัชชะแต่อย่างใด
จิตใจก็จะสงบสบายเป็นสุขอย่างยิ่ง
ถ้าเรายังละไม่ได้
ความสงบก็ไม่มีจะเป็นทางนิพพานได้อย่างไร
ก็ไปติดโลกธรรมอยู่นั้นเอง
ท่านเหล่าใดหลงไปติดอยู่ในโลกธรรมแปดประการ
ไปยินดีในโลกอยู่
ท่านเหล่านั้นจะรู้แจ้งในมรรคผลนิพพาน
ในทางพระอรหันต์
นิพพานหนึ่ง-นิพพานสองได้อย่างไรกันเล่า
เลยเป็นผู้ตาบอดหูหนวกเหยียบย่ำ
ศีล สมาธิ
ปัญญา
ของพระพุทธเจ้าอยู่นั้นเอง
เลยกลายเป็นผู้ประมาทตนและผู้อื่นไปโดยไม่รู้เหตุและผลในทางพุทธศาสนา
ศีล
สมาธิ
ปัญญา
ว่ามีเหตุผลอย่างไรบ้าง
ฯ
|
|
-
ขอให้ผู้ปฏิบัตินักบวชชาย-หญิง
ให้ปฏิบัติจิตใจให้เข้าสู่เมตตาเจโตวิมุตติญาณให้ได้เสียก่อน
ท่านจะได้รู้ได้ด้วยตัวเองในทางมรรค-ผล-นิพพานของพระอรหันต์ว่ามีอยู่จริง
ยุคนี้สมัยนี้พระอรหันต์ที่จะเข้าสู่พระนิพพาน
ยังมีอยู่ก็คือนักบวชชาย-หญิงผู้ปฺฏิบัติตามศีล-สามธิ-ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ยังมีอยู่นั้นเอง
ผู้ปฏิบัติรู้แล้ว
เห็นแล้ว
จะรู้ได้จำเพาะตนเอง
ตนไม่รู้ไม่สว่างในทางมรรคผลนิพพานได้
ก็ไปถือเชื่อด้วยตนเองว่า
ในยุคสมัยนี้ไม่ท่านเหล่าใดจะไปพระนิพพานได้ดอกอย่างนี้ก็มี
ก็เพราะความเขลาของตนนั้นเอง
ก็เลยประมาทตนและผู้อื่นไปด้วยความคิดเห็นดังนั้นพรมจรรย์
ศีล
สมาธิ ปัญญา
มรรคผลนิพพานพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เปิดเผยไว้ให้พร้อมแล้ว
ท่านอย่าปฏิเสธตนเสีย
ในโอกาสนี้เลย
|
|