-
ปัญญาเป็นทางสว่างของจิต
|
|
-
ปัญญาเป็นทางสว่างของจิต
นักบวชผู้ปฏิบัติชายและหญิงเหมือนกันทุกๆท่าน
ศีล
สมาธิ
ปัญญา
เป็นหลักเป็นทางของศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมาทุก
ๆ
พระองค์
มรรคผลของศีล
สมาธิ
ปัญญา
นั้นคือมรรคผลนิพพานนั้นเอง
นิพพานแปลเป็นภาษาไทยเราเรียกว่า
สุขหนึ่งไม่มีสอง
ผู้ปฏิบัตินักบวชทั้งหลาย
จงทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งเถิด
เป็นทางตัดวิจิกิจฉาปัญหาธรรมะทั้งปวง
ไม่มีสงสัย
ไม่มีหลักเกณฑ์ในทางสมาธิสมถะ
วิปัสสนาตามลัทธิต่าง
ๆ
แต่อย่างใด
|
|
-
ผู้ทำปัญญาในความรู้ของตนที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ได้แล้ว
ย่อมเกิดเป็นทางสว่างแห่งปัญญา
รู้ทางมรรค-ผล-นิพพาน
ได้อย่างแท้จริง
ผู้รู้แจ้งมรรคผลนิพพานแล้ว
ไม่มีธรรมะ
ไม่มีปัญหา
ไม่มีอวิชชา
ผู้สงสัยอยู่ต้องมีปัญหา
มีธรรมะ
อยู่เรื่อยไป
มิรู้แจ้งในมรรคผลนิพพานไปได้แต่อย่างใด
เพราะว่าท่านเหล่านี้ไปทำจิตใจตน
หลงใหลตกอยู่ในตัณหาสาม
โลกธรรมแปดประการตามทางโลกผู้ครองเรือนอยู่
ถึงได้มีปัญหาธรรมะอยู่โดยไม่รู้ตัวแต่อย่างใด
|
|
-
วิธีปฏิบัติขั้นปัญญา
ยืน-เดิน-นอน-นั่ง
ได้ทุกอิริยาบถ
จะอาศัยภาวนาก็ได้
มิอาศัยภาวนาก็ได้
ถ้าจะอาศัยภาวนาให้ภาวนาว่า
อะระหัง
ให้ว่าในใจเรื่อย
ๆ ไป
|
|
-
หลักพิจารณาขั้นปัญญามีดังนี้คือ
ตาเห็นเราก็รู้
หูได้ยินเราก็รู้
อะไร ๆ
เราก็รู้
ให้วางเฉยเสีย
ให้ยกจิตเราเข้าไปสู่สิ่งที่ไม่มี
ทำจิตตนให้เบิกบาน
ให้สว่าง ให้แจ่มแจ้ง
ให้รู้ซึ้งโลกซึ้งธรรม
นำจิตใจของตนให้เข้าสู่ความสุขที่ปราศจากอามิสทั้งปวง
เรียกว่ายึดนิพพานเป็นอารมณ์นั้นเอง
|
|
-
ความสุขความเจริญอันใด
ๆ ก็ดี
จะยิ่งกว่ามรรคผลนิพพาน
นั้นย่อมไม่มี
จะเป็นทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม
ไปสิ้นสุดจุดจบที่ความสุขนั้นเอง
|
|
-
เราจะยืน-เดิน-นั่ง-นอน
อันใด ๆ
ก็ทำไปเถิด แต่ให้หยุด
สามคำเท่านั้นจำง่าย
ๆ จบ ศีล
สมาธิ ปัญญา
ของพระพุทธเจ้ามีเท่านี้
ให้ปฏิบัติจิตใจของตนไปเถิด
มรรคผลนิพพาน
เป็นของท่านชาย
และท่านหญิงผู้ปฏิบัติเอง
|
|