ต่อนี้ไปเป็นวิชาสาม

 

               ข้อ 1.  บุพเพนิวาสานุสติฌาน ข้อ 2.  จูตุปปาตฌาน ข้อ 3.  อาสวะคะยะฌาน  สามข้อนี้ท่านเรียกว่าวิชาสาม  ผู้ปฏิบัติอยู่ในอรูปฌานสี่สว่างแจ้งด้วยตนเองแล้ว  ให้เข้าต่อวิชาสามต่อไป

 

               ข้อ 1.  บุพเพนิวาสานุสติฌาน  ให้ใช้สติน้อมนึกเอาวิญญาณของตนให้เข้ามาอยู่ในความสว่างของฌานนี้เสียก่อน ให้เห็นวิญญาณเราให้ชัดเจนด้วยตนเองเสียก่อน  ถึงเข้าสู่วิชาสามดูให้พิจารณาตามรูปนั้น ๆ  ต่อ ๆ  ไป เมื่อเราจะเข้าสู่วิชาสามบุพเพนิวาสานุสติฌาน  ให้เราเอาสติน้อมนึกอธิษฐานถึง คุณพระพุทธคุณ-พระธรรมคุณ-พระอริยสงฆ์  แล้วให้ระลึกถึงคุณบารมีทาน-ศีล-ภาวนา ตั้งแต่อดีตชาติที่ข้าพเจ้าได้สร้างบุญกุศลบารมีมา  ข้าพเจ้าแต่อดีตชาติได้เกิดปฏิสนธิในร่างกายและสังขารสัตว์อะไรมาก่อน  ขอให้เห็นในสัตว์นั้น ๆ  ต่อ ๆ  ไป พอเราอธิษฐานแล้วให้เราดูวิญญาณเรานั้นติดตามดูอยู่ให้เสมอ ๆ   วิญญาณเราจะหายแว๊บไปเข้าร่างที่เราเกิดมาแต่อดีตชาติ  เราก็จะเห็นรูปร่างจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์อะไรมาแต่ชาติก่อน ๆ  เราก็จะรู้ได้  เราให้ดูในรูปนั้นให้ละเอียดจนกระทั่งรูปนั้นแก่ชรามรณะตายไป เราจะเห็นวิญญาณของเราออกมายืนให้เราเห็นอยู่อย่างเดิม  เราจะดูกี่ชาติก็ตามให้เราอธิษฐานตามเดิม วิญญาณเราก็จะให้เข้าเกิดให้ดูเราจะได้รู้ว่าเราเกิดเป็นอะไรมาแล้วในชาติก่อน ๆ   เราก็จะได้รู้เพราะวิญญาณคือตัวเรานั้นเอง  แต่เราท่านพอรู้ได้แต่จำเพาะตัวเองเท่านั้น ไม่เหมือนองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่อย่างใด  เพราะเราเป็นสาวกของท่าน เราจะรู้ละเอียดเหมือนพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้  ถ้ามีผู้สนใจมาถามขึ้นว่าเรารู้ได้อย่างไรเช่นนี้ ผู้ปฏิบัติสมควรตอบไปว่าขอให้ท่านจงปฏิบัติไปตามทางสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเถิด  แล้วจะรู้เห็นได้ด้วยตนเอง ถ้ามีผู้ถามว่าเรารู้ในสัญญาที่จำได้หมายรู้ใช่หรือไม่ดังนี้  ผู้ปฏิบัติเรารู้ทางสว่างในนิมิตรูปฌานสี่อรูปฌานสี่แล้ว ก็จะรู้ขึ้นได้ทันทีว่าสัญญาก็ไม่ใช่  ว่ามิใช่สัญญาก็ไม่ใช่ก็ต้องเป็นอย่างนี้ทุก ๆ  ท่านไป ฯ

 

               ข้อ 2.  จุตูปปาตฌาน  เราจะรู้ในความสว่างที่เห็นวิญญาณของเราเองติดต่อกันไป รู้จักวิญญาณที่ปฏิสนธิและจุติไปตามภูมิต่าง ๆ ได้เพราะวิญญาณที่มาปฏิสนธิอยู่ในสังขารร่างกายของมนุษย์และสัตว์นี้เป็นสิ่งไม่ตาย (ส่วนสังขารร่างกายสัตว์มนุษย์เหล่านี้  มิใช่ตัวตนบุคคลเราเขาแต่ประการใด ผู้สว่างรู้แจ้งในวิชาสามนี้ก็จะรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไรได้ดีไม่มีอาการสงสัยในเรื่องตัวตนแต่อย่างใด เพราะความรู้เห็นในทางการปฏิบัติรู้ซึ้งถึงตัวเองว่า  ความตายนี้ไม่มีแก่เรา) ฯ

 

               ข้อ 3.  อาสะวะคะยะฌาน  จะเกิดความสว่างแจ่มแจ้งแก่จิตใจผู้ปฏิบัติเอง รู้ทางทำอาสวะให้สิ้นได้ด้วยตนเอง  เพราะวิชาสามนั้นเอง  ยกจิตตนเข้าสู่สังฆะตะธรรม  เข้าวิปัสสนาญาณเก้า ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์หนึ่งไม่มีสอง  ก็สิ้นสุดลงคือ  “นิพพาน”  นั้นเองไม่มีอีกต่อไป (ส่วนอภิญญาหก-สมาบัติแปดนั้นเป็นผลมาจากทางปฏิบัติที่กล่าวมา  เกิดมีขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติเอง เราจะไปนึกเอาเดาเอาคาดคะเนเอานั้นไม่ได้ดอกท่านชาย-หญิง  จบเหตุและผลในทางปฏิบัติสมถะแต่เพียงเท่านี้

 

เวลา..วันที่..ขณะนี้...

 

 

Created on..............: Sat, Jul 13, 2002

ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  23/10/2562 10:35:22

ติดต่อผู้ดูแล web:  webmaster@luangpochom.com

luangpochom