-
เปิดหน้าถ้ำพระคัมภีร์
|
|
-
-
-
คัมภีร์ที่ 1. คือ พระสังภิณี
คือ ตา
|
|
-
-
-
คัมภีร์ที่ 2. คือ
พระวิภังค์ คือ
หู
|
|
-
-
-
คัมภีร์ที่ 3. คือพระธาติคาถา
คือจมูก
|
|
-
-
-
คัมภีร์ที่ 4. คือพระบุคคะละบัญญัติ
คือปากกับลิ้น
|
|
-
-
-
คัมภีร์ที่ 5.
คือพระคาถาวัตถุ
คือกายสังขาร
|
|
-
-
-
คัมภีร์ที่ 6.
คือพระยมก
คือหัวใจ
|
|
-
-
-
คัมภีร์ที่ 7.
คือพระมหาสติปัฎฐานสี่คือ-ลมหายใจเข้าออกนั้นเอง
|
|
-
รวมกันเป็นเจ็ดคัมภีร์พอดี
เพราะว่ามนุษย์ชาย-หญิงมีชาติก่อเกิดรวมกันเป็นสังขารเป็นรูปกายเวทนา
และมีจิตมีอะไรเป็นอะไรตั้งแต่เกศาลง
ไปถึงปลายเท้ามีอยู่ทุกคนไป
มีวิญญาณคือตัวรู้เห็นตัวได้ยิน
ตัวนึกคิดมีอยู่พร้อมทุกตัวคน
พระพุทธเจ้าจำแนกธรรมออกมาเป็นคัมภีร์
คัมภีร์ก็จำแนกออกมาตามวิญญาณทั้งเจ็ดนั้นเอง
เพราะว่าวิญญาณเป็นตัวรู้ตัวเห็นตัวบัญญัติ
ก็มีให้เกิดขึ้นให้มีขึ้นรู้ได้ทางวิญญาณทั้งเจ็ดนั้นเอง
คือวิญญาณทางตา
วิญญาณทางหู
วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น
วิญญาณทางกาย
วิญญาณทางใจ วิญญาณทางลมหายใจเข้าออก
จำแนกเป็นธรรมเจ็ดคัมภีร์
คัมภีร์ที่เจ็ดมีเรื่องกายเวทนาจิตธรรม
มีจิตต้องมีเจตสิกมีเจตสิกต้องมีรูป
มีรูปต้องมีนิพพานตามพระธรรมบัญญัติไว้
พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้วก็มาเป็นผู้จำแนกธรรมออกมาให้มนุษย์-เทวดา-อินทร์-พรหม
ได้รู้ตาม ๆ
กันมาทุกวันนี้ตามพระธรรมบัญญัติ
คือพระธรรมบัญญัติไว้แล้วไม่มีท่านเหล่าใดจะจำแนกได้
มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะจำแนกได้
หมู่เราท่านถึงได้รู้สืบต่อ
ๆ
กันมาเท่าทุกวันนี้
ฯ
|
|
-
ส่วนศีลพระวินัยสิกขาบทเป็นของพระพุทธเจ้าบัญญัติมา
ตามพระธรรมเจ็ดคัมภีร์นั้นเอง
ที่เห็นที่ได้ยินที่นึกคิดขึ้นใน
กุศลจิต-อกุศลจิต
ตามแต่ละคัมภีร์ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น
โดยพุทธบัญญัติตามคัมภีร์นั้น
ๆ
ส่วนพระปรมัตถ์ทางโลกุตตระธรรมนั้นมาจากเบญจขันธ์คือ รูป 1 เวทนา 1 สัญญา 1 สังขาร 1 วิญญาณ 1
มาจากพระธรรมบัญญัติ
พุทธบัญญัติด้วยเพราะว่าเป็นธรรมใน-ธรรมในธรรม
มาจากที่กล่าวมานั้นมาตั้งเป็นคัมภีร์พระปรมัตถ์ไว้ให้แก่หมู่เราท่านเท่าทุก
ๆ วันนี้
คือเป็นที่มาของแต่ละคัมภีร์ตามพระพุทธเจ้า
จำแนกไว้มาจำแนกเป็นสายทางปฏิบัติจิตไว้
ส่วนพระสูตรนั้นมาจากธาตุดิน-ธาตุน้ำ-ธาตุลม-ธาตุไฟ
อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ
พระพุทธเจ้าท่านจำแนกไว้เป็นคัมภีร์พระสูตร
เพราะมนุษย์และสัตว์เกิดในกามภพนี้ต้องอาศัยธาตุเหล่านี้
ส่วนกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปดนั้นเป็นสภาวะตัณหา
วิภาวะตัณหา
โดยเป็นไปตามสภาวะนั้นต่อ
ๆ ไป
เพราะมนุษย์และสัตว์เวียนว่ายเกิดตายหลงอยู่ในภพทั้งสามนี้จะหาทางสิ้นสุดลงมิได้เลย
เพราะหลงอยู่ในพระสูตรแห่งธรรมทั้งปวง
เกิดที่ใดสนธิที่นั้นเกิดที่ใดติดที่นั้น
ติดต่อกันอยู่เสมอ
ๆ ไปตามธาตุนั้น ๆ
เพราะความหลงของตนเอง
ตามพุทธเจ้าบัญญัติมาในทางโลกุตระธรรมว่า
เกิดที่ใดสนธิที่ใดให้ดับที่นั้น
เกิดที่ใดติดที่นั้นให้ละเสียจากที่นั้น
|
|
-
ผู้ปฏิบัติทั้งหลายให้สนใจในธรรมเหล่านี้ให้มาก
ๆ
เราถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เกิดที่ใดสนธิที่นั้น
ถ้าเราไม่ดับเราก็ยังไม่รู้ว่า
อะไรเป็นอะไรอยู่นั้นเอง
เราจะดับลงไปชั่วคราวหรือเป็นระยะ
ๆ
ก็ยังดีกว่าไม่ดับเสียเลย
เมื่อเราดับชั่วคราวนั้นได้เราก็พิจารณาว่าอะไรเป็นอะไรมีคุณอย่างไรมีโทษอย่างไร
มันเป็นทุกข์
หรือมันเป็นสุขเราจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเสียบ้าง
ความเกิดก็เป็นทุกข์อย่างนี้ท่านรู้กันได้หรือยัง
ความแก่ก็เป็นทุกข์เช่นนี้
ความเจ็บก็เป็นทุกข์อย่างนี้ท่านก็ต้องรู้กันได้ทุกตัวคน
ความตายก็เป็นทุกข์อย่างนี้ท่านหารู้กันได้ไม่
อะไรเป็นอะไรกายเวทนาอย่างนี้ท่านก็หารู้กันได้ไม่
ว่ามันเป็นทุกข์หรือมันเป็นสุข
ให้รู้ด้วยให้พิจารณาในกายตนและผู้อื่นให้เกิดความบีฑาเบื่อหน่าย
คลายจากความกำหนัดในกายตนและผู้อื่นกันบ้าง
เมื่อเราละหรือปล่อยวางกายเสียได้แล้ว
เราก็จะรู้โทษแห่งกายทั้งหลายเหล่านั้นได้ว่าไม่เป็นที่น่าพึงปรารถนาเลยหนอดังนี้
เราก็จะส่งคืนออกไปเสียได้เราก็จะไม่อาลัยในสิ่งเหล่านั้นได้
เราจะได้รู้ทางพ้นออกจากกองทุกข์
ได้ด้วยปัญญาของผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง
เพราะว่ากายที่มีลมหายใจอยู่นั้นมันมีไฟอยู่
5 กอง
มันถึงได้เกิดช๊อตซึ่งกันและกันอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน รักบ้าง เกลียดบ้าง ก็เพราะไฟ กามตัณหา
1 ไฟโลภะ 1 ไฟโทสะ 1 ไฟโมหะ 1
ไฟธาตุที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
1
ไฟเหล่านี้แหล่ะที่เผาหมู่สัตว์ให้หลงเกิดหลงตายกันอยู่โดยไม่รู้สึกตัว
หลงติดอยู่ในกายตนและผู้อื่นว่าเป็นที่รักที่พึ่งของตนด้วย
ความมืดความหลงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ถึงเมื่อสิ้นไฟดับสนิทไปแล้วไม่มีท่านเหล่าใดพึงปรารถนาพบอีกแล้ว
หมู่ท่านรู้กันได้หรือไม่
ปล่อยร่างกายทิ้งไว้เสมือนท่อนไม้ที่ถูกเผาไฟ
ไม่มีท่านเหล่าใดจะถูกหรือแตะต้องอีกได้แล้วดังนี้
ไฟที่ดับนี้มันเป็นไฟของกองธาตุร่างกายเวทนาเท่านั้น ส่วนไฟ 4
กองนั้นมิได้ดับแต่ประการใด
ต้องติดตามจิตใจของท่านไปตามภพตามภูมิต่อ
ๆ ไปอีก
ไฟเหล่านั้นจะติดตามเผาเราท่านให้เร่าร้อนอยู่ไม่หยุดหย่อน
ถ้าเราไม่ดับมันเสียแล้วมันต้องเผาเราอยู่เสมอ
ๆ ไปนะท่านชาย-หญิง
เพราะไฟกับลมเป็นมิตรกันอยู่
ถ้า
ผู้ปฏิบัติท่านเหล่าใดจับลมหายใจเข้า-ออกที่ปฏิสนธิอยู่ในกายเวทนาได้แล้ว
จะรู้ไฟห้ากองนี้มันเผาจิตใจท่านอยู่
จะรู้เหตุและผลในไฟเหล่านั้นว่ามันเป็นอย่างไร
ถ้าเราไม่รู้ซึ้งถึงไฟห้ากองนี้แล้ว
เราก็จะไม่รู้ว่ามนุษย์และสัตว์
ทั้งหลายทีเกิดมากันอยู่ทุกวันนี้อะไรเผาสัตว์ให้เดือดร้อนอยู่ทุกคืนทุกวันนี้
ก็เพราะไฟที่กล่าวมานี้เองมันถึงได้มืดกันอยู่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ถ้าหมู่เราไม่ดับไฟนี้เสียก่อนเราจะไปรู้แสงสว่างแห่งไฟได้อย่างไรกันเล่า
มีแต่จะนึกเอาเดาเอาคาดคะเนเอา
กล่าววาจาไปตามอาการนึกเอาเดาเอาอย่างนั้นเอง
ว่าเป็นอย่างนั้นว่าเป็นอย่างนี้ไม่รู้ว่าไฟที่เผาตนอยู่ทุกคืนทุกวัน
ก็เพราะไฟสี่กองของตัณหาที่ทำให้เกิดซ่อมสุมกันอยู่ในเรื่องต่าง
ๆ
เห็นผิดเป็นถูกยินดีไปต่าง
ๆ นานา มืดมัวกันไปก็เพราะไฟของกามเป็นมูลฐานอยู่ทุกตัวสัตว์ไป
ผู้ปฏิบัติชาย-หญิงให้รู้ด้วย
ถ้าท่านเหล่าใดไม่รู้ซึ้งถึงไฟเหล่านี้แล้วว่ามันอย่างไร
มันก็เผาจิตใจของหมู่ท่านอยู่ทำให้เกิดความรักความเกลียด
อยู่ในจิตใจของท่าน
ให้เกิดลืมตนของตนจนถูกฆ่าถูกเผากันอยู่ออกมากมาย
ฯ
|
|
-
นักบวชชาย-หญิง
สมควรนึกคิดพิจารณาในตนของตนเสียบ้าง
อย่าไปตามใจของตัณหาในความชอบโดยทางผิด
ๆ
จงให้มีสติกันเสียบ้าง
ตนของตนเป็นที่พึ่งของตนอันนี้โดยถูกต้องให้น้อมนึกเอาไว้
มนุษย์และสัตว์อยู่ด้วยกันทุกวันนี้ต้องอาศัยธาตุทั้งสี่
ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ
เป็นมูลฐานเป็นเครื่องประกอบเป็นสัตว์เป็นมนุษย์อยู่ใน
กามภพนี้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
เราต้องอาศัยลมกับไฟของธาตุที่เป็นอยู่
ถ้าไฟ-ลมแตกทะลายออกไปเสียแล้วธาตุน้ำและธาตุดินก็จะหมดปัญหากันไปทุก
ๆ
อย่าง
ส่วนจิตที่เป็นไฟใจเป็นลมที่ท่านมีความเกิดนึกคิดกันอยู่นี้ก็จะออกไป
ตามกุศลและอกุศล
เหตุผลที่ตนได้กระทำไว้ดีหรือชั่วนั้นเอง
มนุษย์และสัตว์ต้องอาศัยลมกับไฟอยู่เสมอ
ๆ ไป
อยู่ในโลกนี้ต้องอาศัยลมกับไฟที่ปฏิสนธิอยู่ในร่างกายเวทนา
ถ้าลมกับไฟของจิตใจนี้เขาอาศัยลมไฟของตัณหาราคะอยู่จิตใจของท่านชาย-หญิงนี้ก็จะ
เวียนว่ายเกิดตายอยู่ในภพทั้งสามเหล่านี้อยู่เสมอ
ๆ ไป
จะหาทางสิ้นสุดลงไปมิได้เลยแต่ประการใด
เพราะไฟตัณหา-ราคะ-โลภ-โกรธ-หลง
ล้วนแต่เป็นไฟสภาวะเป็นที่น้อมนำไฟลมของจิตใจ
ของมนุษย์และสัตว์ให้หลงไปตามสภาวะนั้น
ๆ
ย้อมจิตใจให้วนเวียนเกิดตายไปตาม กุศลและอกุศลต่อ ๆ
ไป
ท่านผู้สงสัยในพระธรรมเจ็ดคัมภีร์นั้นว่ามาจากที่ใด
ตามพุทธบัญญัติจำแนกไว้มาจาก ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ-ลมหายใจเข้าออก
อย่างละคัมภีร์เป็นเจ็ดคัมภีร์แต่เป็นธรรมนอกอยู่
จงพิจารณาตามธรรมนอกนี้เสียก่อน
อย่าไปถือว่าใคร
ๆ
ก็รู้หรอกเช่นนี้เลยไม่พิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร
ก็เลยไม่รู้ธรรมนอกว่าอะไรเป็นอะไร
ถ้าผู้ปฏิบัติไม่พิจารณาในธรรมนอกนี้เสียก่อน
ให้มันรู้ชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไรเสียก่อน
จึงพิจารณาธรรมในและธรรมในธรรมต่อ
ๆ ไป
จึงจะรู้ในธรรมทั้งปวงไปได้ธรรมนอกนี้มันรวมกันอยู่กับสังขารร่างกาย
เวทนาอยู่เป็นรูปมนุษย์และสัตว์นานาชนิดคือธรรมนอกนั้นเอง
ให้พิจารณาธรรมนอกนี้เสียก่อนว่ามีเหตุมีผลอย่างไรบ้าง
เหตุดีผลก็ดี
เหตุชั่วผลก็ชั่ว
ให้พิจารณาต่อ
ๆ
ไปจนให้จบธรรมนอกนี้เสียก่อนแล้วจึงพิจารณาธรรมในต่อไป
และจงพิจารณาธรรมในธรรมต่อ
ๆ ไป
ธรรมในนั้นคือวิญญาณทั้งเจ็ดนั่นเอง
วิญญาณคือตัวรู้นั้นเองเป็นธรรมใน
ส่วนธรรมในธรรมนั้นคือจิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน นั้นเอง
เป็นคัมภีร์ที่เจ็ดลมหายใจเข้าออกของมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงนั้นเอง
ผู้ปฏิบัติที่สนใจจะรู้ให้พิจารณาด้วยตนเองเพราะ
พระธรรมเจ็ดคัมภีร์นี้มีอยู่ในสังขาร กาย เวทนา วิญญาณ จิต เจตสิก
มีอยู่ทุกตัวตนบุคคลเราเขาครบถ้วนบริบูรณ์อยู่แล้ว
ไม่ชายและหญิงมีสมบูรณ์ทุก
ๆ
ท่าน
ถ้าจะจำแนกไปมากกว่านี้ก็จะฟังไม่ออก
ขอให้พิจารณาเอาเอง
ถ้าพิจารณาแจ้งสว่างแล้วจะรู้ด้วยตนเอง
ฯ
|
|
-
ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะเหตุดับเพราะเหตุ
ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะเหตุไม่มีเหตุไม่มีผล
พระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์
ตามพระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมานั้นมาจากที่ใด
ให้ผู้ปฏิบัติชาย-หญิง
พิจารณากันดูบ้างมาจากที่ใด พระสูตร พระวินัย
มาจากทุกสัตว์เป็นเหตุให้เกิดทุกข์คือ
ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ-ลมหายใจนั้นเอง
ให้พิจารณาถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
พระปรมัตถ์มาจากความจริงคือ
ความเกิดเป็นทุกข์
ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์
พระปรมัตถ์มาจากทุกข์อริยสัจสี่แห่งความเกิดเป็นทุกข์
เป็นเหตุให้รู้ไม่มีเหตุไม่มีผล
ถึงได้ชื่อว่ามรรคสี่
ผลสี่
นิพพานหนึ่ง
เรียกว่านิพพานังปรมังสูญญัง เรียกว่า นิพพานหนึ่ง
ละตัณหาได้เหลืออยู่แต่ธาตุกับเบญจขันธ์ถึงได้เรียกว่า นิพพานังประมังสูญญัง เมื่อธาตุแตกอันตราย ธาตุไฟ-ธาตุลม
หมดไปจากร่างกายเวทนาหายแล้ว
เบญจขันธ์ก็ดับสูญไปก็คงเหลืออยู่แต่
นิพพานังปรมังสุขขัง เป็นสุขอย่างยิ่ง
จบธรรมวินัยโดยย่อเท่านี้
|
|